โพลิเมอร์ประเภทนี้จะมีโครงสร้างโมเลกุลของสายโซ่โพลิเมอร์เป็นแบบเส้นตรงหรือแบบกิ่งสั้นๆ สามารถละลายได้ดีในตัวทำละลายบางชนิด เมื่อได้รับความร้อนจะอ่อนตัว และหลอมเหลวเป็นของเหลวหนืดเนื่องจาก โมเลกุลของโพลิเมอร์ที่พันกันอยู่สามารถเคลื่อนที่ผ่านกันไปมาได้ง่ายขึ้นเมื่อได้รับความร้อน และเมื่อเย็นตัวลงก็จะแข็งตัว ซึ่งการหลอมเหลวและเย็นตัวนี้ สามารถเกิดกลับไปกลับมาได้โดยไม่ทำให้สมบัติทางเคมีและทางกายภาพ หรือโครงสร้างของโพลิเมอร์เปลี่ยนไปมากนัก
พลาสติกประเภทนี้สามารถขึ้นรูปโดยการฉีดขณะที่พลาสติกถูกทำให้อ่อนตัวและไหลได้ด้วยความร้อนและความดัน เข้าไปในแม่แบบที่มีช่องว่างเป็นรูปร่างตามต้องการ ภายหลังจากที่พลาสติกไหลเข้าจนเต็มแม่พิมพ์จะถูกทำให้เย็นตัว และถอดออกจากแม่พิมพ์ ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีรูปร่างตามต้องการ สามารถนำไปใช้งานได้ เมื่อใช้เสร็จแล้วสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้โดยการบด และหลอมด้วยความร้อนเพื่อขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ได้อีก แต่พลาสติกประเภทนี้มีข้อเสียและขีดจำกัดของการใช้งาน คือไม่สามารถใช้งานที่อุณหภูมิสูงได้ เพราะอาจเกิดการบิดเบี้ยวหรือเสียรูปทรงไป ตัวอย่างเช่น ขวดน้ำดื่มไม่เหมาะสำหรับใช้บรรจุน้ำร้อนจัดหรือเดือด
เทอร์โมเซตติ้ง (Thermosetting)
โพลิเมอร์ประเภทนี้จะมีโครงสร้างเป็นแบบร่างแห ซึ่งจะหลอมเหลวได้ในขั้นตอนการขึ้นรูปครั้งแรกเท่านั้น ซึ่งในขั้นตอนนี้จะมีปฏิกิกริยาเคมีเกิดขึ้นทำให้เกิดพันธะเชื่อมโยงระหว่างโมเลกุล ทำให้โพลิเมอร์มีรูปร่างที่ถาวร ไม่สามารถหลอมเหลวได้อีกเมื่อได้รับความร้อน และหากได้รับความร้อนสูงเกินไป จะทำให้พันธะระหว่างอะตอมในโมเลกุลแตกออก ได้สารที่ไม่มีสมบัติของความเป็นโพลิเมอร์ต่อไป
การผลิตพลาสติกชนิดเทอร์โมเซตจะแตกต่างจากพลาสติกชนิดเทอร์โมพลาสติกคือ ในขั้นตอนแรกต้องทำให้เกิดปฏิกิริยาโพลิเมอไรเซชันเพียงบางส่วน มีการเชื่อมโยงโมเลกุลเกิดขึ้นบ้างเล็กน้อย และยังสามารถหลอมเหลวเมื่อได้รับความร้อน จึงสามารถขึ้นรูปภายใต้ความดันและอุณหภูมิสูงได้ เมื่อผลิตภัณฑ์มีรูปร่างตามต้องการแล้ว ให้คงอุณหภูมิไว้ประมาณ 200-300 องศาเซลเซียส เพื่อให้ได้โครงสร้างแบบร่างแหที่เสถียรและแข็งแรง สามารถนำผลิตภัณฑ์ออกจากแบบโดยไม่ต้องรอให้เย็น เนื่องจากผลิตภัณฑ์จะแข็งตัวอยู่ภายในแม่พิมพ์ ดังนั้นการให้ความร้อนในกระบวนการผลิตพลาสติกเทอร์โมเซตกลับทำให้วัสดุแข็งขึ้น ต่างจากกระบวนการผลิตพลาสติกเทอร์โมพลาสติที่การให้ความร้อนจะทำให้พลาสติกนิ่ม และหลอมเหลว พลาสติกเทอร์โมเซตเมื่อใช้งานเสร็จแล้วไม่สามารถนำมาผ่านการหลอมและผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่หรือรีไซเคิล (recycle) ได้อีก และถ้าให้ความร้อนมากเกินไป จะทำให้พลาสติกเกิดการสลายตัวหรือไหม้ โดยไม่เกิดการหลอมเหลว ตัวอย่างของพลาสติกในกลุ่มนี้เช่น เบคเคอไลต์ และเมลามีน เป็นต้น
ตารางแสดงความแตกต่างระหว่างเทอร์โมพลาสติกและเทอร์โมเซต
เทอร์โมพลาสติก
เทอร์โมเซต
1. เป็นโพลิเมอร์แบบเส้นหรือแบบกิ่ง
1. เป็นโพลิเมอร์แบบเชื่อมโยงหรือแบบร่างแห
2. จะอ่อนตัวหรือหลอมเหลวเมื่อได้รับความร้อน
2. จะแข็งตัวเมื่อได้รับความร้อน
3. ต้องทำให้เย็นก่อนเอาออกจากแม่แบบ
มิฉะนั้นจะเสียรูปทรงได้
3. ไม่ต้องรอให้เย็นก่อนเอาออกจากแม่แบบ
4. ไม่เกิดปฏิกิริยาโพลิเมอร์ไรเซชันในแม่พิมพ์
4.เกิดปฏิกิริยาโพลิเมอร์ไรเซชันในแม่พิมพ์
5. นำมารีไซเคิลโดยการหลอมและขึ้นรูปใหม่ได้5.ไม่สามารถนำมารีไซเคิลได้พลาสติกที่ใช้มากในปัจจุบัน
พลาสติกที่ถูกนำมาใช้ในปริมาณมากในปัจจุบันมีอยู่หลายชนิดที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ จึงมีการใส่สัญลักษณ์ตัวเลขเพื่อให้ง่ายต่อการแบ่งประเภทของพลาสติก ตัวเลขทั้ง 7 ตัวนี้ จะอยู่ในสัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมที่มีลูกศรสามตัววิ่งตามกันและมักพบบริเวณก้นของภาชนะพลาสติก
พลาสติกชนิด PP
พลาสติก PP หรือชื่อเต็มว่า โพลิโพรพิลีน เป็นพลาสติกประเภทเทอร์โมพลาสติก หรือพลาสติกที่สามารถขึ้นรูปโดยใช้ความร้อนได้หลายครั้ง พลาสติก PP เป็นเทอร์โมพลาสติกประเภทที่มีน้ำหนักเบาที่สุด ส่วนมากจะนิยมนำมาทำบรรจุภัณฑ์สำหรับบรรจุอาหาร พลาสติก PP ยังได้รับการจำแนกชนิดของพลาสติก ว่าเป็นพลาสติกประเภทที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) ได้
บทความที่เกี่ยวข้อง
- กระบวนการฉีดขึ้นรูป (Injection molding)
- เม็ดพลาสติกมีความชื้นแก้ไขได้อย่างไร
- พลาสติกชนิด PP
พลาสติก PP หรือชื่อเต็มว่า โพลิโพรพิลีน เป็นพลาสติกประเภทเทอร์โมพลาสติก หรือพลาสติกที่สามารถขึ้นรูปโดยใช้ความร้อนได้หลายครั้ง พลาสติก PP เป็นเทอร์โมพลาสติกประเภทที่มีน้ำหนักเบาที่สุด ส่วนมากจะนิยมนำมาทำบรรจุภัณฑ์สำหรับบรรจุอาหาร พลาสติก PP ยังได้รับการจำแนกชนิดของพลาสติก ว่าเป็นพลาสติกประเภทที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) ได้
คุณสมบัติของพลาสติก PP
- ในกรณีที่ไม่ได้ผสมสี พลาสติก PP จะมีลักษณะขาวขุ่น ไม่ทึบแสง แต่ก็ไม่ใส
- สามารถทนต่อแรงกระแทกได้ดี และสามารถทนต่อรอยขีดข่วนได้ มีความคงตัวไม่เสียรูปง่าย มีความแข็งแรง
- พลาสติก PP มีจุดหลอมตัวที่ 165 องศาเซลเซียส สามารถทนต่อความร้อนได้สูง จึงสามารถทนต่อการฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิ 100 องศาได้ ทนทานต่อสารเคมี ซึ่งรวมถึงน้ำมันชนิดต่าง ๆ ด้วย
- แก๊สออกซิเจนและไอน้ำ สามารถซึมผ่านเข้าไปได้น้อย
- มีน้ำหนักเบา สามารถลอยน้ำได้
พลาสติก PP นำมาใช้อะไรได้บ้าง
เครื่องมือแพทย์
ด้วยคุณสมบัติเด่น ที่สามารถทนต่อความร้อนได้ถึง 165 องศา พลาสติก PP จึงนิยมนำมาใช้ทำเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่เป็นพลาสติก เนื่องจากสามารถนำไปอบเพื่อฆ่าเชื้อได้
ภาชนะบรรจุอาหาร
นอกจากนี้ก็นำมาทำเป็นภาชนะบรรจุอาหารที่สามารถเข้าเครื่องล้างจาน และเข้าไมโครเวฟได้ นำมาทำเป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารกึ่งสำเร็จรูปที่ต้องผ่านความร้อน เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือโจ๊กกึ่งสำเร็จรูป
ฟิล์ม หรือ ถุงร้อน
นอกจากนี้ยังมีการนำพลาสติก PP ไปลามิเนตเป็นฟิล์ม เพื่อนำไปทำถุงร้อนได้อีกด้วย และอีกคุณสมบัติเด่น คือมีความเหนียว ทนต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วนได้ดี จึงทำให้พลาสติก PP นิยมนำมาใช้ในงานอุตสาหกรรมในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ แต่ถึงแม้จะทนต่อความร้อนได้ดี แต่พลาสติก PP กลับไม่ทนต่อความเย็น จึงไม่เหมาะกับการนำไปบรรจุอาหารประเภท Frozen Food
ขวดบรรจุสารเคมี
การทนต่อสารเคมี น้ำมัน และไขมันต่าง ๆ ได้ดี พลาสติก PP จึงมีความสำคัญในการนำมาทำเป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับเก็บสารเคมี หรือบรรจุภัณฑ์ในอุตสาหกรรมที่ต้องเจอกับความร้อนและน้ำมัน ซึ่งพลาสติก PP เป็นฉนวนความร้อนที่ดีมาก แม้อยู่ในอุณหภูมิสูง
อะไหล่รถยนต์
ในส่วนของการเป็นเทอร์โมพลาสติกที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ จึงนิยมนำพลาสติก PP มาผลิตเป็นกล่องแบตเตอรี่รถยนต์ อะไหล่หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็นพลาสติก และชิ้นส่วนของรถยนต์ที่เป็นพลาสติก เช่น กันชนรถ เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ
นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น พลาสติก PP ยังถูกนำไปผลิตเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันที่คนส่วนมากไม่ค่อยรู้สักเท่าไร เช่น ตลับเครื่องสำอาง ปกแฟ้มเอกสาร กระสอบข้าว ถุงปุ๋ย ขวดใส่สารเคมีชนิดต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง น้ำยาล้างห้องน้ำ หรือแม้กระทั่งพลาสติกหุ้มซองบุหรี่ ก็เป็นการลามิเนตฟิล์มจากพลาสติก PP