2024 ทำไม windows 10 เป ดเว บ google ไม ได

ก็จะสามารถกลับมาดัง สามารถเปิดคลิป ดูได้เพลินๆเหมือนเดิมตามปกติแล้วละคะ ง่ายแค่นี้เองถ้าเพื่อนคนไหนพบปัญหาลองทำกันดูน๊า วันนี้ทางเราขอลาไปก่อน เอาไว้พบวิธีแก้ปัญหาอะไรอีกจะนำมานำเสนอกันน๊า จุ๊บๆ

บทความนี้ร่วมเขียนโดยเหล่าบรรณาธิการและนักวิจัยที่ผ่านการฝึกฝนมาเพื่อความถูกต้องและครอบคลุมของเนื้อหา

ทีมผู้จัดการด้านเนื้อหาของวิกิฮาว จะตรวจตราผลงานจากทีมงานด้านเนื้อหาของเราเพื่อความมั่นใจว่าบทความทุกชิ้นได้มาตรฐานตามที่เราตั้งไว้

บทความนี้ถูกเข้าชม 193,104 ครั้ง

บทความวิกิฮาวบทความนี้จะมาสอนวิธีแก้ไขปัญหาเมื่อคุณเข้าบางเว็บไซต์ไม่ได้ ถ้าคุณสามารถโหลดเว็บไซต์ดังกล่าวได้ในคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือเครือข่ายอื่น เป็นไปได้ว่าอุปกรณ์ เว็บเบราเซอร์ หรือ Wi-Fi ของคุณอาจมีปัญหา โดยเฉพาะหากมีข้อความแสดงข้อผิดพลาดขึ้นมาว่า "This site can't be reached." เราจะมาช่วยคุณไขข้อข้องใจว่าทำไมบางเว็บไซต์ถึงไม่โหลดไม่ได้ บอกวิธีแก้ไขปัญหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับการท่องเว็บไซต์ที่รวดเร็วทันใจ และทำให้คุณสามารถกลับเข้าเว็บไซต์โปรดได้ในทันที

  1. ถ้าคุณเข้าไม่ได้แค่เว็บไซต์เดียว เป็นไปได้ว่าคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ตของคุณปกติดี หากคุณอยากรู้ว่าเว็บไซต์ล่มหรือเปล่า ให้ไปที่ https://downforeveryoneorjustme.com และใส่ชื่อโดเมน (เช่น wikiHow.com) และคลิกปุ่มสีน้ำเงิน ถ้าเว็บไซต์ใช้งานได้ปกติ คุณจะเห็นข้อความ "It's just you." แต่ถ้ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับเว็บไซต์ คุณจะเห็นข้อความยืนยันว่าเว็บล่ม
    • ถ้าเว็บไซต์ล่ม คุณก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอมันกลับมา หลังจากผ่านไปแล้วสักพักค่อยกลับมาเช็กใหม่ว่ามีอะไรคืบหน้าไหม ถ้าคุณรู้ว่าเว็บไซต์กลับมาใช้งานได้แล้วแต่ว่าคุณก็ยังเข้าไม่ได้ ให้ล้างแคชของเว็บบราวเซอร์แล้วลองใหม่อีกครั้ง
    • บางครั้งเว็บไซต์อาจใช้งานได้ตามปกติแต่เครือข่ายระหว่างคอมพิวเตอร์ของคุณกับเว็บไซต์นั้นอาจมีปัญหา ถ้าเว็บไซต์ไม่ได้ล่ม ให้อ่านต่อด้านล่างเพื่อแก้ไขต่อไป
  2. เปลี่ยนอุปกรณ์หรือเครือข่ายที่ใช้เข้าเว็บไซต์. ถ้าอุปกรณ์อื่นสามารถเข้าเว็บไซต์ได้ ปัญหาอาจมาจากอุปกรณ์หรือเว็บเบราเซอร์ของคุณ แต่ถ้าเปลี่ยนอุปกรณ์หรือเครือข่ายแล้วก็ยังไม่สามารถเข้าเว็บไซต์ได้ เว็บไซต์หรือเครือข่ายน่าจะมีปัญหาเรื่องการเชื่อมต่อ
    • ถ้าทำได้ พยายามเข้าเว็บไซต์จากอุปกรณ์อื่นที่เชื่อมกับเครือข่ายเดียวกัน (เช่นเครือข่าย Wi-Fi ของคุณ) และเข้าเว็บไซต์จากอุปกรณ์อีกเครื่องที่ ไม่ได้ เชื่อมต่อกับเครือข่ายของคุณ (เช่น เชื่อมกับข้อมูลมือถือ)
  3. ลองเข้าเว็บไซต์ในโหมด Incognito, Private หรือ Secret. ถ้าอุปกรณ์อื่นๆ สามารถเข้าเว็บไซต์ได้ เป็นไปได้ว่าหนึ่งในปลั๊กอินหรือส่วนขยายเว็บเบราเซอร์ไม่อนุญาตให้เว็บไซต์โหลด ถ้าเว็บไซต์โหลดได้ในโหมดเบราเซอร์แบบ Private โดยทั่วไปคุณสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการปิดการใช้งานส่วนขยายเบราเซอร์ ลบคุกกี้ หรือตั้งค่าเบราเซอร์ใหม่ให้กลับไปเป็นค่าเริ่มต้น วิธีการเปิดโหมด Private, Incognito หรือ Secret ในเบราเซอร์ต่างๆ มีดังนี้ :
    • คอมพิวเตอร์ :
      • Chrome, Edge และ Safari: กด Command + Shift + N (Mac) หรือ Control + Shift + N (PC)
      • Firefox: กด Command + Shift + P (Mac) หรือ Control + Shift + P (PC)
    • โทรศัพท์มือถือ :
      • Chrome: แตะที่จุดสามจุดข้าง Address Bar แล้วเลือก New Incognito tab
      • Safari: แตะรูปสี่เหลี่ยมสองช่องซ้อนกันตรงมุมขวาล่าง แล้วแตะ Private ตรงมุมซ้ายล่าง
      • Samsung Internet: แตะรูปสี่เหลี่ยมสองช่องซ้อนกันตรงด้านล่าง แล้วแตะ Turn on Secret mode
  4. รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต. บ่อยครั้งการปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่ช่วยแก้ไขปัญหาได้ หลังจากปิดเครื่องและเปิดใหม่แล้ว ลองเข้าเว็บไซต์นั้นอีกครั้ง
  5. ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสอาจรบกวนความสามารถในการโหลดของบางเว็บไซต์ เพราะฉะนั้นลองปิดการใช้งานซอฟต์แวร์แล้วลองเข้าเว็บไซต์อีกครั้ง
    • ถ้าปิดการใช้งานซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสแล้วเว็บไซต์สามารถโหลดได้ เป็นไปได้ว่ากฎของไฟร์วอลล์หรือการตั้งค่าอื่นๆ บางอย่างทำให้ซอฟต์แวร์ปิดกั้นเว็บไซต์นั้นๆ ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าเว็บไซต์นั้นมีปัญหา! แต่ถ้าคุณมั่นใจว่าเว็บไซต์นั้นปลอดภัยดี ให้เปิดโปรแกรมป้องกันไวรัส หาหัวข้อที่ให้คุณอนุญาตหรือบล็อกเว็บไซต์และแอปฯ และปรับการตั้งค่าตามความจำเป็น
    • อย่าลืมเปิดการใช้งานโปรแกรมป้องกันไวรัสเหมือนเดิมหลังจากทดสอบเสร็จแล้ว
  6. ตรวจสอบการตั้งค่าวันที่และเวลาในคอมพิวเตอร์. ถ้าคุณเห็นข้อผิดพลาดเกี่ยวกับความปลอดภัยระหว่างพยายามโหลดเว็บไซต์ วันที่และเวลาในคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ตอาจไม่ถูกต้อง ตรวจสอบนาฬิกาในคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่เพื่อให้แน่ใจว่า เวลาและวันที่ที่ตั้งไว้ถูกต้องแล้ว
    • ถ้าเวลาหรือวันที่ใน Windows ไม่ถูกต้อง คลิกเวลาที่อยู่ใน Taskbar เลือก Date and time settings จากนั้นปลดสลัก "Set time automatically" เพื่อเปิดการใช้งาน แล้วคลิก Sync now เพื่อซิงค์นาฬิกาของคุณใหม่
    • ถ้าเวลาหรือวันที่ใน Mac ไม่ถูกต้อง เปิดเมนู Apple เลือก System Preferences คลิก Date & Time จากนั้นคลิกกุญแจเพื่อแก้ไข ติ๊กเครื่องหมายในช่องที่อยู่ถัดจาก "Set date and time automatically" ตราบใดที่ Mac ของคุณเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต มันจะแสดงวันที่และเวลาที่ถูกต้องเสมอ
  7. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่ได้เปิดใช้งานการควบคุมโดยผู้ปกครอง. ถ้าในเครื่องมีซอฟต์แวร์การควบคุมโดยผู้ปกครอง มันก็อาจจะปิดกั้นการเข้าถึงบางเว็บไซต์ ถ้าคุณสามารถเข้าถึงซอฟต์แวร์นั้นได้ ให้ปิดการใช้งานซอฟต์แวร์การควบคุมโดยผู้ปกครองและลองเข้าเว็บไซต์อีกครั้ง
  8. ถ้าคอมพิวเตอร์ของคุณติดไวรัสหรือมัลแวร์ชนิดอื่นๆ คุณอาจจะพบปัญหาในการเข้าถึงเว็บไซต์ หากเป็นเช่นนี้บางเว็บไซต์อาจจะไม่โหลด หรือมันอาจจะพาคุณเปลี่ยนเส้นทางไปที่เว็บไซต์อื่น! เมื่อคุณสแกนตรวจจับไวรัสหรือมัลแวร์ ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยจะนำทางคุณไปที่ขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ทีละขั้นตอน และ (หวังว่า) คุณจะสามารถเข้าเว็บไซต์ได้อีกครั้ง โฆษณา
  1. ถ้าอุปกรณ์เครื่องอื่นสามารถโหลดเว็บไซต์ได้ตามปกติแต่ไม่สามารถโหลดจากเว็บเบราเซอร์ของคุณได้ (แม้จะเปิดโหมด Private หรือ Secret) ให้ลองใช้เบราเซอร์อื่น ถ้าคุณติดตั้งเบราเซอร์ไว้แค่อันเดียว คุณก็สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งเบราเซอร์ฟรีอีกอัน เช่น Firefox, Chrome หรือ Opera ได้อย่างรวดเร็ว และลองเข้าเว็บไซต์จากเบราเซอร์ที่เพิ่งติดตั้งอีกครั้ง
    • ถ้าเว็บไซต์สามารถโหลดได้ในเบราเซอร์อีกอันหนึ่ง ลองปิดการใช้งาน Ad Blocker ในเบราเซอร์ที่คุณใช้เป็นประจำและลบคุกกี้ บางครั้ง Ad Blocker และคุกกี้ที่ล้าสมัยก็ปิดกันไม่ให้เว็บไซต์สามารถโหลดได้
  2. JavaScript เปิดใช้งานตามค่าเริ่มต้นของเว็บเบราเซอร์ ถ้า JavaScript ถูกปิดการใช้งาน คุณจะไม่สามารถโหลดเว็บไซต์ยอดนิยมได้หลายเว็บไซต์ ตรวจสอบการตั้งค่าเบราเซอร์เพื่อดูให้แน่ใจว่า JavaScript ถูกเปิดใช้งาน :
    • คอมพิวเตอร์ :
      • Chrome: คลิกเมนูสามจุด เลือก Settings จากนั้นคลิก Advanced ในแผงควบคุมซ้ายมือ คลิก Site settings ใต้ "Privacy and security" ถ้า JavaScript ถูกปิดใช้งาน ให้คลิกและเลือก Allowed
      • Edge: คลิกเมนูสามจุด เลือก Settings คลิก Cookies and site permissions ในแผงควบคุมซ้ายมือ จากนั้นหา "JavaScript" ใต้ "All Permissions" ถ้ามันขึ้นว่า "Allowed" ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าไม่ได้เปิดอยู่ ให้คลิกและปลดสลักเพื่อเปลี่ยนเป็น On
      • Firefox: ใส่ about:config ใน Address Bar และยืนยันว่าคุณต้องการทำรายการถัดไป พิมพ์ "javascript.enabled" ลงในช่องค้นหาและดูให้ดีว่าค่าที่ตั้งเป็น "True" ถ้าไม่ใช่ ให้ดับเบิลคลิกคำว่า false เพื่อเปลี่ยนเป็น True
      • Safari: คลิกเมนู Safari เลือก Preferences จากนั้นคลิกแท็บ Security ถ้าไม่มีเครื่องหมายถูกตรง "Enable JavaScript" ให้ติ๊กเครื่องหมายถูกในช่อง
    • อุปกรณ์เคลื่อนที่ :
      • Chrome สำหรับ Android: ถ้าคุณใช้ Chrome บน iPhone/iPad JavaScript จะเปิดใช้งานและไม่สามารถปิดการใช้งานได้ หากคุณใช้อุปกรณ์ Android ให้แตะจุดสามจุดข้าง Address Bar เลือก Settings แตะ Site settings จากนั้นเลือก JavaScript ถ้ามันปิดอยู่ให้เปิดใช้งาน
      • Safari: เปิดการตั้งค่า iPhone หรือ iPad แล้วเลือก Safari เลื่อนลงมาแล้วแตะ Advanced และปลดสลัก "JavaScript" หากมันถูกปิดการใช้งานอยู่
    • Samsung Internet: แตะเมนูที่เป็นเส้นสามเส้น เลือก Settings เลือก Advanced จากนั้นเปิดการใช้งาน JavaScript หากมันปิดอยู่
  3. หากคุณยังไม่สามารถเชื่อมต่อได้ ทั้ง Chrome และ Firefox มีตัวเลือกในการกู้คืนเบราเซอร์ให้กลับไปเป็นการตั้งค่าเดิมจากโรงงาน ซึ่งวิธีนี้สามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสองเบราเซอร์นี้ที่ตัวเลือกอื่นๆ ทำไม่ได้ วิธีนี้จะเป็นการรีเซ็ตการตั้งค่าและทางลัดของคุณทั้งหมด ปิดการใช้งานส่วนขยายและส่วนเสริม และลบข้อมูลเว็บไซต์ชั่วคราวออกไป
    • Chrome: คลิกเมนูจุดสามจุด เลือก Settings และคลิก Advanced ตรงแผงควบคุมซ้ายมือ ใต้"Advanced" คลิก Reset and clean up จากนั้นคลิก Restore settings to their original defaults
    • Firefox: ใน Firefox คลิกที่ลิงค์นี้หรือวางลงใน Address Bar : เมื่อมีข้อความขึ้นมา คลิก Refresh Firefox เพื่อดำเนินการต่อ โฆษณา
  • รีเซ็ตโมเด็มและเราเตอร์. ถ้าคุณสามารถเข้าเว็บไซต์ได้จากเครือข่ายข้อมูลมือถือในโทรศัพท์หรือแท็บเล็ตแต่ไม่สามารถเข้าจากเครือข่ายบ้านได้ ลองรีสตาร์ทไวร์เลสเราเตอร์และ/หรือโมเด็ม เพราะโมเด็มหรือเราเตอร์ของคุณอาจขัดขวางการรับหรือส่งข้อมูลจากบางเว็บไซต์
  • ถอดปลั๊กสายไฟสำหรับโมเด็มและเราเตอร์ (ถ้าคุณใช้สายแยกกัน) แล้วรอประมาณ 1 นาที. โมเด็มและเราเตอร์ของแต่ละบ้านจะมีลักษณะต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไปแล้วมันจะมีไฟกระพริบอย่างน้อย 1 ดวง ตามปกติโมเด็มจะต่อกับแจ๊กร่วมแกนหรือแจ๊กโทรศัพท์บนผนัง
  • เสียบโมเด็มกลับเข้าไปใหม่และรอจนกว่าไฟจะสว่าง
  • เสียบเราเตอร์กลับเข้าไปใหม่และรอจนกว่าไฟจะสว่าง
  • ลองเข้าเว็บไซต์อีกครั้ง
  • DNS (ระบบชื่อโดเมน) เป็นบริการที่แปลงชื่อโดเมนเว็บเป็น IP Address เพื่อให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ต่างๆ ได้ คอมพิวเตอร์ของคุณอาจมีแคช DNS ที่ล้าสมัยหรือใช้งานไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้คุณไม่สามารถเข้าบางเว็บไซต์ได้ การล้างแคช DNS จะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงเว็บไซต์โปรดได้อีกครั้ง
  • Windows: กด Windows key + R พิมพ์ cmd จากนั้นกด Enter เมื่อมีข้อความขึ้นมา ipconfig /flushdns แล้วกด Enter
  • Mac: เปิด Terminal จากโฟลเดอร์ Utilities พิมพ์ dscacheutil -flushcache และกด Return จากนั้นพิมพ์ sudo dscacheutil -flushcache; sudo killall -HUP mDNSResponder และกด Return เพื่อรีสตาร์ทบริการ DNS และจะมีข้อความแจ้งให้คุณใส่รหัสแอดมิน
  • ลองเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ DNS. เซิร์ฟเวอร์ DNS ที่ตั้งค่ามากับอุปกรณ์ของคุณอาจปิดกั้นเว็บไซต์ที่คุณกำลังพยายามเข้าถึง ซึ่งเป็นเรื่องปกติหากผู้ให้บริการ DNS ของคุณใช้บัญชีดำด้านความปลอดภัยในการบล็อกเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย ตามปกติคอมพิวเตอร์จะถูกตั้งค่ามาให้รับข้อมูลเซิร์ฟเวอร์ DNS โดยอัตโนมัติ แต่คุณก็สามารถระบุเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการได้
  • ค้นหาเซิร์ฟเวอร์ DNS สาธารณะ/ฟรีที่เชื่อถือได้ เช่น เซิร์ฟเวอร์จาก Google, Cloudflare และ OpenDNS คุณควรจด IP Address สำหรับเซิร์ฟเวอร์ DNS หลักและรอง
    • Google: 8.8.8.8 และ 8.8.4.4
    • Cloudflare: 1.1.1.1 และ 1.0.0.1
    • OpenDNS: 208.67.222.222 และ 208.67.220.220
    • Verisign: 64.6.64.6 และ 64.6.65.6.
  • เปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ DNS ใน Windows: กด Windows key + R และพิมพ์ ncpa.cpl เพื่อเปิดการเชื่อมต่อเครือข่าย คลิกขวาที่อะแดปเตอร์เครือข่ายของคุณ เลือก Properties ไฮไลต์ "Internet Protocol Version 4" ที่อยู่ในรายการและคลิกปุ่ม Properties ในการระบุเซิร์ฟเวอร์นั้น ให้เลือก Use the following DNS server addresses และใส่ Address ของเซิร์ฟเวอร์ที่คุณเลือกลงไป หากมี Address ระบุไว้แล้ว คุณจะแทนที่ Address นั้นหรือลองใช้ Address อัตโนมัติเพื่อดูว่ามันใช้ได้ไหมก็ได้
  • เปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ DNS ใน Mac: เปิดเมนู Apple เลือก System Preferences เลือก Network จากนั้นคลิกกุญแจเพื่อแก้ไข คลิกที่เครือข่ายของคุณ จากนั้นคลิก Advanced และแท็บ DNS ใส่เซิร์ฟเวอร์ที่คุณอยากเชื่อมต่อ ถ้ามี Address ระบุไว้แล้ว คุณสามารถย้ายอันใหม่ไปไว้บนสุดของรายการหรือจะลบอันเก่าออกก็ได้

หากคอมพิวเตอร์ของคุณถูกตั้งค่าให้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตผ่าน Proxy Server และเซิร์ฟเวอร์นั้นใช้งานไม่ได้ (หรือโดยเฉพาะหากมันปิดกั้นบางเว็บไซต์) คุณอาจจะเลี่ยง Proxy Server ได้

Chrome error แก้ยังไง

อันดับแรก ลองทำตามวิธีแก้ไขปัญหา Chrome ขัดข้องที่พบได้บ่อยเหล่านี้.

ปิดแท็บ ส่วนขยาย และแอปอื่นๆ ... .

รีสตาร์ท Chrome. ... .

รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ ... .

ตรวจหามัลแวร์ ... .

เปิดหน้าเว็บในเบราว์เซอร์อื่น ... .

แก้ไขปัญหาเครือข่ายและรายงานปัญหาที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์ ... .

แก้ไขปัญหาแอป (เฉพาะคอมพิวเตอร์ Windows) ... .

ตรวจสอบว่า Chrome เปิดอยู่แล้วหรือไม่.

กูเกิลเป็นอะไร

กูเกิล (อังกฤษ: Google LLC; เป็นบริษัทย่อยอเมริกัน มีรายได้หลักจากการโฆษณาออนไลน์ที่ปรากฏในเสิร์ชเอนจินของกูเกิล อีเมล แผนที่ออนไลน์ ซอฟต์แวร์จัดการด้านสำนักงาน เครือข่ายออนไลน์ และวิดีโอออนไลน์ รวมถึงการขายอุปกรณ์ช่วยในการค้นหา กูเกิลสำนักงานใหญ่ที่รู้จักในชื่อกูเกิลเพล็กซ์ตั้งอยู่ที่เมืองเมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย ...

ทำไมติดตั้ง Google Chrome ไม่ได้

คุณอาจประสบปัญหา หากมีพื้นที่ว่างบนคอมพิวเตอร์ไม่เพียงพอสำหรับ Chrome. เคลียร์พื้นที่ฮาร์ดไดรฟ์ด้วยการลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นออก เช่น ไฟล์ชั่วคราว ไฟล์แคชของเบราว์เซอร์ หรือไฟล์เอกสารและโปรแกรมเก่าๆ ดาวน์โหลด Chrome อีกครั้งจาก google.com/chrome. ลองติดตั้งใหม่