การวางแผนก าล งการผล ต ม ก ข นตอน

Page 48 - การวางแผน การออกแบบ และการผลิตสื่อชุมชน

  1. 48

` 10-38 การวางแผน การออกแบบและการผลติ ส่อื ชมุ ชน เรื่องท่ี 10.2.1 กระบวนการผลิตส่ือวัตถุของชุมชน

   เน่อื งจาก “สือ่ วัตถ”ุ มสี ถานะเป็นท้งั “วัตถุ/สิง่ ของ” และเปน็ “สอื่ ” ทบ่ี รรจคุ วามหมายต่างๆ  
เพอ่ื เชอ่ื มความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผสู้ ง่ สารกบั ผรู้ บั สาร ดงั นน้ั ในแงน่ กี้ ารพจิ ารณากระบวนการผลติ “สอ่ื วตั ถ”ุ จึงไม่เพียงพิจารณาเฉพาะในส่วนของกระบวนการผลิตเชิงเทคนิค ว่าการผลิต “สื่อวัตถุ” ขึ้นมาหนึ่งช้ิน นั้นต้องมีข้ันตอนอย่างไรเท่าน้ัน หากแต่ต้องพิจารณาถึงกระบวนการประกอบสร้างความหมายให้ “ส่ือ วตั ถุ” ซ่งึ กาญจนา แกว้ เทพ (2554: 281–285) อธิบายวา่ ศึกษาขั้นตอนการผลติ วตั ถุ จะมกี ระบวนการ ศึกษาทส่ี �ำคญั ใน 3 มติ ิ ดงั น้ี

  1. มติ เิ ชงิ เทคนคิ ของการผลติ การศกึ ษากระบวนการผลติ สอื่ วตั ถใุ นแนวทางนใ้ี ชก้ ารรบั รู้ “วตั ถ”ุ

    ในฐานะท่ีเป็น “สิ่งของ” (material as artifact/object) ส่วนวิธีการท่ีใช้ศึกษา มักอธิบายถึงขั้นตอน การผลติ ในเชงิ เทคนคิ วทิ ยา ตวั อยา่ งเชน่ งานการศกึ ษาเรอ่ื งการทำ� เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาบา้ นสทง้ิ หมอ้ จ.สงขลา ของสภุ าคย์ อินทองคง (2528 อ้างถึงใน กาญจนา แกว้ เทพ, 2554: 282) ไดบ้ รรยายกรรมวธิ ี/อุปกรณ์/ เทคนคิ การผลิตการทำ� เครอื่ งป้นั ดินเผาบ้านสทิ้งหมอ้ ดงั น ี้

       กรณศี กึ ษาของสภุ าคย์ เลอื กศกึ ษาตน้ แบบของการผลติ เครอื่ งปน้ั ดนิ เผา เนอื่ งจากมขี อ้ สงั เกตวา่  
    
    กระบวนการนัน้ มีการเปลีย่ นแปลงน้อยมาก โดยได้ระบวุ สั ดุอปุ การณ์ที่ใชใ้ นแตล่ ะข้ันตอนคือ
            ขั้นเตรียมดิน กจิ กรรมคอื การนวดดนิ /ผสมดนิ กอ่ นน�ำมาขน้ึ รปู ขนั้ ตอนนจี้ ะใชแ้ รงงานคน  
    
    อปุ กรณ์ทใ่ี ช้คือ จอบ เสยี ม
            ขั้นตอนการผสมดิน ใชก้ ารประมาณการ ใชส้ ายตาคาดคะเนเอาเอง       
            การขึ้นรูป โดยใชแ้ ปน้ หมุนชนดิ หมนุ ท้งั หมด          
            การตบแต่งรูปทรงและลวดลาย มไี มม่ ากนกั มเี พยี งการขัดผวิ ท�ำก้น ตลี าย ขดี ลายและ  
    
    ฉลลุ าย
            การเผา จะใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิงทั้งหมด การก�ำหนดอุณหภูมิ จะไม่มีการใช้เคร่ืองมือวัด  
    
    แตจ่ ะใชก้ ารสงั เกตสีของเครอ่ื งป้ันและสขี องปล่องไฟ จึงตอ้ งอาศัยประสบการณข์ องผเู้ ผาเป็นหลัก
            ส�ำหรับการเผาเคลอื บนัน้ ในอดตี จะไม่มี ปัจจุบนั มีการทดลองเผาเคลือบบา้ ง ส่วนเตาเผา  
    
    นนั้ มี 3-4 ประเภทคอื เตากลม เตายนื เตากบู และเตานอน ขนาดกลางและขนาดเลก็ ความสามารถของ เตาเผาใชด้ ินไดอ้ ย่างเดยี ว
       อยา่ งไรกด็ กี ารพจิ ารณากระบวนการผลติ “สอ่ื วตั ถ”ุ ในเชงิ เทคนคิ วธิ ี แมจ้ ะเปน็ เพยี งการอธบิ าย  
    
    ขน้ั ตอนของการผลติ วา่ จะตอ้ งประกอบดว้ ยขน้ั ตอนอยา่ งไรบา้ ง แตใ่ นขณะเดยี วกนั การศกึ ษาขน้ั ตอนการ ผลติ “สอ่ื วตั ถ”ุ กม็ คี วามสำ� คญั ในแงข่ องการสบื ทอดภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชมุ ชน เชน่ กรณศี กึ ษา ของ รัตติกาล เจนจัด (2548) ซึ่งศึกษาของเล่นพ้ืนบ้านในฐานะท่ีเป็นส่ือเช่ือมสายสัมพันธ์ ค้นพบว่า ผสู้ ูงอายไุ ด้สาธิตการท�ำของเลน่ ใหเ้ ดก็ ๆ ดูเป็นตวั อยา่ ง รวมทง้ั แนะน�ำของเล่นตา่ งๆ ให้เด็กๆ ไดร้ ู้ กอ่ น

    `

สำหรับโรงงานที่ต้องผลิตวัตถุดิบ วัสดุ หรือสินค้าต่างๆ ขึ้นมา หากในการผลิตไม่ได้มี “ระบบ” หรือ “กระบวนการ” เข้ามาช่วยจัดการ โรงงานคงไม่สามารถควบคุมและคาดการณ์ต้นทุน-ผลลัพธ์อะไรจากการผลิตได้เลย

ซึ่งบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจ ความสำคัญของ ระบบการผลิต (Production System) ว่าส่งผลต่อการผลิตอย่างไร และระบบนี้จะสร้างประโยชน์อย่างไรให้กับธุรกิจของคุณได้บ้าง

ระบบการผลิต (Production System) คืออะไร

ระบบการผลิต คือ กลุ่มขั้นตอนและองค์ประกอบต่างๆ ในการผลิตเพื่อให้ได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาจากวัสดุ วัตถุดิบ ทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิตต่างๆ โดยผ่านกระบวนการแปรสภาพ

ซึ่งระบบการผลิต ก็จะประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่

  • ปัจจัยการผลิต
  • กระบวนการแปลงสภาพ
  • ผลผลิต ที่มารูปภาพ slideteam.net

1. ปัจจัยการผลิต (Input/Material)

หมายถึง องค์ประกอบตั้งต้นที่จะต้องมีเพื่อให้ระบบการผลิตสามารถสร้างผลผลิตขึ้นมาได้ เช่น แรงงานคน วัสดุ/วัตถุดิบ เครื่องมือจักร พลังงานไฟฟ้า เงิน ข้อมูล ฯลฯ

2. กระบวนการแปลงสภาพ (Processing)

หมายถึง ขั้นตอนต่างๆ ที่จะช่วยแปรสภาพปัจจัยการผลิตให้กลายเป็นผลผลิตที่ต้องการได้ ตัวอย่างเช่น การเตรียมวัตถุดิบ การขึ้นรูปทรง การหล่อ การหลอม การปรุง การตกแต่ง ฯลฯ

3. ผลผลิต (Output/Product)

หมายถึง ผลลัพธ์จากกระบวนการแปรสภาพ หรือผลลัพธ์สุดท้ายที่เราต้องการจากระบบการผลิต ซึ่งก็คือ ผลิตภัณฑ์ (Products)

ในระบบการผลิตจะขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งไปไม่ได้ เพราะจะส่งผลให้ระบบไม่สมบูรณ์ และไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ออกมาให้ได้

กระบวนการผลิต Production Process มีอะไรบ้าง

การจะสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง นอกจากองค์ประกอบของการผลิตที่ต้องมีแล้ว ในขั้นตอนการสร้างระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพ จะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นปริมาณ คุณภาพ เวลา ต้นทุนและราคา ซึ่งทำให้กระบวนการผลิตต้องการการวางแผนและการควบคุมที่ดี

ภายในกระบวนการผลิต (Production Process) โดยทั่วไป มีอยู่ 3 กิจกรรมสำคัญด้วยกัน คือ การวางแผน (Planning) การดำเนินงาน (Operation) และการควบคุม (Control)

  1. ขั้นตอนการวางแผน (Planning) หมายถึง ขั้นตอนของการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่เพื่อนำมาวางแผนการผลิตและการใช้ทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิตต่างๆ ทั้งวัสดุ วัตถุดิบ แรงงาน เวลา รวมไปถึงการควบคุมกรอบเวลา (timeline) และค่าใช้จ่าย ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  2. ขั้นดำเนินงาน (Operation) หมายถึง ขั้นตอนของการดำเนินการทำตามแผนการผลิตที่วางไว้ ใช้ทรัพยากรอะไร อย่างไร ปริมาณเท่าไหร่ และลำดับขั้นตอนในการแปลงสภาพหรือผลิต
  3. ขั้นการควบคุม (Control) หมายถึง ขั้นตอนในขณะที่ระบบการผลิตกำลังดำเนินการอยู่ แล้วเราพยายามควบคุมการทำงานให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ซึ่งเป็นได้ตั้งแต่การควบคุมเวลา การควบคุมแรงงาน การควบคุมการใช้ทรัพยากร ไปถึงการตรวจสอบและให้คำแนะนำ (Feedback) ตัวระบบหรือผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

ทำความรู้จัก “ประเภทของระบบการผลิต” และเลือกใช้ให้ถูก

แต่ละธุรกิจผลิตโปรดักต์ที่แตกต่างกันไป ดังนั้นระบบการผลิตเพียงรูปแบบเดียวจึงไม่สามารถใช้กับทุกโรงงานหรือธุรกิจได้ เพื่อที่จะเลือกระบบที่ใช้ได้เหมาะสม มาทำความรู้จักประเภทของระบบการผลิตดู ว่าโรงงานหรือผลิตภัณฑ์แบบไหน ควรใช้ระบบการผลิตประเภทใด

1. การผลิตแบบโครงการ (Project Manufacturing)

การผลิตแบบโครงการ คือ ระบบการผลิตที่ผลิตสิ่งของขนาดใหญ่ มีมูลค่าสูง มีลักษณะเฉพาะที่ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า และต้องอาศัยทรัพยากรในการผลิตสูง ซึ่งต้องผลิตเสร็จเป็นโครงการโครงการไป เช่น งานก่อสร้างอาคาร การสร้างเขื่อน การสร้างเรือ การต่อเครื่องบิน เป็นต้น

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า การผลิตแบบนี้ใช้เวลาค่อนข้างนานเพื่อที่จะผลิตโปรดักต์ชิ้นหนึ่ง (หรือหนึ่งโครงการ) จนแล้วเสร็จ การผลิตจึงเกิดขึ้นที่สถานที่ตั้งของโครงการ (Site) ทรัพยากรต่างๆ จะถูกนำมาไว้ ณ สถานที่นั้นให้พร้อม และเมื่อจบโครงการจึงค่อยย้ายทรัพยากร เช่น เครื่องจักร แรงงาน วัสดุ ฯลฯ ไปเก็บหรือย้ายไปสถานที่การผลิตโครงการต่อไป

ลักษณะของการผลิตแบบโครงการ

  • ผลิตทีละชิ้น ความต้องการซื้อต่ำ
  • มูลค่าสูงมาก
  • ใช้ทรัพยากรสูงและหลากหลาย (แรงงาน วัสดุ เครื่องจักร พลังงาน เวลา)
  • ใช้เครื่องมือหรือเครื่องจักรเฉพาะตามฟังก์ชัน
  • ต้องอาศัยแผนการผลิตที่ละเอียด ซับซ้อน

2. การผลิตแบบไม่ต่อเนื่อง (Job Shop หรือ Intermittent Production)

การผลิตแบบไม่ต่อเนื่อง หรือ Job Shop หมายถึง การผลิตโปรดักต์ในจำนวนไม่มาก เพราะโปรดักต์มีความเฉพาะเจาะจง ตามดีไซน์หรือเงื่อนไขของลูกค้า โดยจะผลิตเป็นล็อตๆ ทำให้ปริมาณในการผลิตไม่สูงและโปรดักต์ที่ได้จะมีความหลากหลาย ตัวอย่างเช่น เฟอร์นิเจอร์ที่ดีไซน์ออกมาเป็นรุ่น หรือสมาร์ทโฟนที่ออกมาเป็นรุ่นๆ เป็นต้น

การผลิตประเภทนี้ ต้องการเครื่องจักร เทคโนโลยี หรือฝีมือในการผลิตที่เฉพาะเจาะจงเพื่อผลิตชิ้นส่วนต่างๆ แต่กระบวนการผลิตจะสม่ำเสมอ ได้ผลลัพธ์ที่คาดเดาได้ และเมื่อผลิตสินค้าเสร็จตามปริมาณที่วางแผนไว้ ก็จะผลิตสินค้าชิ้นหรือรุ่นต่อไป

ลักษณะของการผลิตแบบไม่ต่อเนื่อง

  • โปรดักต์มีความหลากหลาย แต่ความต้องการไม่ได้มาก (Mass)
  • ใช้เครื่องมือหรือเครื่องจักรเฉพาะตามฟังก์ชัน
  • อาศัยความรู้หรือความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างความแตกต่างจากโปรดักต์ประเภทเดียวกัน
  • แผนการผลิตชัดเจน มีรายละเอียดมาก

3. การผลิตแบบกลุ่ม (Batch Production)

การผลิตแบบกลุ่ม หรือ Batch Production จริงๆ แล้วคล้ายคลึงกับการผลิตแบบไม่ต่อเนื่อง เพียงแต่การผลิตแบบกลุ่มจะผลิตโปรดักต์ที่ “แมส” (Mass) มากกว่า และการผลิตแบบกลุ่มจะเน้นผลิตโปรดักต์ที่หลากหลาย มีความโดดเด่นเฉพาะตัว

แต่จะเหมือนกันตรงที่ผลิตโปรดักต์ออกมาเป็นล็อตๆ ใช้เครื่องมือ/เครื่องจักรที่ตรงฟังก์ชั่นตามกระบวนการผลิตต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การผลิตเสื้อยืดเป็นล็อตๆ ที่มีความต้องการสูง (Mass)

การผลิตแบบกลุ่ม (Batch) จะผลิตตามออร์เดอร์เป็นล็อตๆ หรือผลิตเพื่อทำเป็นสต็อกสินค้าเพื่อรอจำหน่ายก็ได้

อ่านเพิ่มเติม: ระบบจัดการคลังสินค้าใช้ทำอะไร? มีประโยช์อย่างไรกับธุรกิจ

ลักษณะของการผลิตแบบกลุ่ม

  • เน้นผลิตโปรดักต์ที่มีความต้องการสูง
  • ผลิตเป็นล็อตๆ ตามออร์เดอร์หรือเพื่อสต็อกสินค้าได้
  • แผนการและกระบวนการผลิตชัดเจน
  • เมื่อต้องการผลิตโปรดักต์ชิ้นใหม่ ต้องกำหนดค่าการผลิตใหม่
  • Lead time (ระยะเวลาที่ลูกค้ารอสินค้า) และต้นทุนการผลิตต่ำ

4. การผลิตแบบไหลผ่าน (Mass Production)

การผลิตแบบไหลผ่าน หรือ Mass Production คือ การผลิตโปรดักต์หรือสินค้าที่เหมือนกันในปริมาณมากๆ เช่น การผลิตน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก สบู่ แชมพู ฯลฯ

โดยการผลิตแบบไหลผ่านจะใช้เครื่องมือในการผลิตที่เฉพาะแยกตามสายผลิต ไม่ใช้เครื่องจักรร่วมกัน เครื่องมือไหนผลิตโปรดักต์อะไร ก็ใช้ผลิตสิ่งนั้นเท่านั้น การผลิตประเภทนี้ผลิตได้ปริมาณมากและผลิตได้รวดเร็ว เหมาะกับการผลิตโปรดักต์ที่รอจำหน่ายได้

ลักษณะของการผลิตแบบไหลผ่าน

  • โปรดักต์มีความต้องการสูง
  • โปรดักต์และกระบวนการผลิตมีมาตรฐาน
  • เครื่องมือจักรหนึ่งเครื่อง หนึ่งฟังก์ชั่นการทำงาน ใช้ผลิตโปรดักต์เดียว
  • ระบบการผลิตมีความแน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลงไปมา
  • ควบคุมแผนและการผลิตง่าย
  • ระบบการผลิตง่ายต่อการทำให้เป็นระบบอัตโนมัติ

5. การผลิตแบบต่อเนื่อง (Continuous Flow Production)

การผลิตแบบต่อเนื่อง (Continuous Flow Production) เป็นการผลิตโปรดักต์ชนิดเดียวในปริมาณมากๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้เครื่องจักรในการผลิตที่เฉพาะและทำงานต่อเนื่องไม่หยุด ส่วนใหญ่แล้วระบบการผลิตประเภทนี้จะเป็นการแปรสภาพทรัพยากรธรรมชาติ ให้เป็นวัตถุดิบหรือวัสดุตั้งต้นที่มีความต้องการสูงมาก เช่น การกลั่นน้ำมัน การหลอมเหล็ก การทำสารเคมี การทำกระดาษ ฯลฯ

ลักษณะของการผลิตแบบต่อเนื่อง

  • โปรดักต์มีความต้องการสูงมาก และมักจะผลิตวัสดุหรือสารตั้งต้น (Raw Materials)
  • โปรดักต์และกระบวนการผลิตมีมาตรฐาน
  • เครื่องมือจักรหนึ่งเครื่อง หนึ่งฟังก์ชั่นการทำงาน ใช้ผลิตโปรดักต์เดียว
  • ระบบการผลิตมีความแน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลงไปมา
  • ควบคุมแผนและการผลิตง่าย
  • ระบบการผลิตง่ายต่อการทำให้เป็นระบบอัตโนมัติ

ประโยชน์ของระบบการผลิตและแนวทางการปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ

เมื่อพิจารณาประเภทการผลิตในรูปแบบต่างๆ แล้ว เราก็สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ระบบการผลิตแบบใด แต่เมื่อจะนำมาใช้จริงนั้น ก็มีคำแนะนำการนำระบบไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพจริงในโรงงานหรือธุรกิจ

สรุปประโยชน์ของระบบการผลิต

  • ช่วยให้ธุรกิจมองภาพรวมของการผลิต เพื่อการวิเคราะห์และวางแผนการผลิต ทั้งทรัพยากรที่ต้องใช้ กระบวนการผลิต เพื่อผลิตโปรดักต์หนึ่งชิ้นขึ้นมา
  • ช่วยให้ธุรกิจมีแนวทางในการควบคุมการผลิต รู้ว่าต้องใช้ทรัพยากรเท่าไหร่ บริหารทรัพยากรต่างๆ ให้เป็นไปตามแผน
  • ช่วยให้มีแนวทางในการตรวจสอบ รีวิว และสอบทานข้อผิดพลาด ตลอดจนปรับปรุงและพัฒนากระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ช่วยให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์ค่าใช้จ่าย ต้นทุน และคำนวณผลประกอบการได้อย่างเป็นรูปธรรม
  • ช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนการผลิตเพื่อเสนอต่อลูกค้า วางแผนการตลาด การส่งมอบงานให้กับลูกค้าได้

คำแนะนำในการใช้ระบบให้เกิดประสิทธิภาพจริงๆ ในการผลิต

  • เลือกใช้ระบบการผลิตที่เหมาะสมกับการผลิตโปรดักต์สำเร็จ (Final product)
  • วางระบบโดยพิจารณาองค์ประกอบของระบบการผลิตทั้ง 3 ได้แก่ ทรัพยากร/ปัจจัยการผลิต กระบวนการแปรสภาพ และผลผลิตอย่างรอบคอบ
  • ยึดกระบวนการในการทำระบบการผลิต ทั้ง 3 กระบวนการ ได้แก่ วางแผน ดำเนินงาน และควบคุมกระบวนการให้เป็นไปตามแผน
  • ควรตรวจสอบและรีวิวระบบผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดการใช้ทรัพยากรลง
  • ระบบการผลิตควรดำเนินงานตามความต้องการสินค้าในตลาด ไม่ผลิตสินค้าออกมาล้นเกิน ซึ่งก่อให้เกิดต้นทุนการสต็อก
  • บางระบบการผลิตควรยืดหยุ่น
  • บางระบบการผลิตที่มีกระบวนการชัดเจน ควรปรับเป็นระบบอัตโนมัติ
  • คำนึงถึงต้นทุนและความคุ้มค่าในการผลิตตามสถานการณ์อยู่เสมอ ไม่ยึดระบบจนเกินไป

สรุปท้ายบทความ

ระบบการผลิต ประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ทรัพยากร กระบวนการแปรสภาพ และผลผลิต ซึ่งการจะผลิตโปรดักต์หนึ่งๆ ขึ้นมาได้ ต้องอาศัยองค์ประกอบข้างต้นและกระบวนการที่รอบคอบทั้งการวางแผน การดำเนินงาน และการควบคุม

โดยระบบการผลิตมีหลากหลากประเภทขึ้นอยู่กับผลผลิตและปริมาณ โรงงานและธุรกิจควรเลือกใช้ให้เหมาะสม ปรับใช้ระบบเพื่อให้สามารถควบคุมงาน จัดการและบริหารการผลิตได้ ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนลงได้