การ เด นทาง จากส วรรณภ ม ไปโรงแรม รอย ล เบญจา

เผยแพร่: 26 ก.ค. 2548 12:30 โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

“เยาวเรศ” ส่งทนายยื่นฟ้อง 3 สำนวนคดี ให้ลงโทษ “ลัทธพล-อลงกรณ์-หนังสือพิมพ์-บก.ไทยโพสต์” ฐานหมิ่นประมาท-แจ้งความเท็จ กล่าวหารับสินบน 300 ล้าน โครงการคาร์ปาร์ก ศาลเริ่มนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ 19 ก.ย.นี้ ขณะที่ทนายเผยเตรียมฟ้องฐานละเมิดเรียกค่าเสียหายกว่า 500 ล้านในสัปดาห์นี้

วันนี้ (26 ก.ค.) เวลา 09.30 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาฯ นายธนา เบญจาทิกุล อดีตเลขาธิการสภาทนายความ ได้รับมอบอำนาจจากนางเยาวเรศ ชินวัตร อายุ 53 ปี น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อยู่บ้านเลขที่ 59 ถ.ราชดำริ แขวงและเขตปทุมวัน กทม. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลอาญา 3 สำนวน คือ คดีดำหมายเลขที่ 2454/2548 ให้พิพากษาลงโทษ นายนิธินันท์ หรือนายลัทธพล เกษโกทิน อยู่บ้านเลขที่ 28/35 ม.4 แขวงและเขตบางบอน กทม. เป็นจำเลยในความฐานหมิ่นประมาท, คดีดำหมายเลขที่ 2455/2548 ให้พิพากษาลงโทษ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อยู่บ้านเลขที่ 67 ถ.เศรษฐศิริ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ และนายทวีสิน สถิตย์รัตนชีวิน บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ไทยโพสต์ เป็นจำเลยที่ 1–3 ตามลำดับ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และคดีหมายเลขดำที่ 2456/2548 ให้พิพากษาลงโทษ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในความผิดฐานใช้เอกสารปลอม แจ้งความผิดต่อเจ้าพนักงาน แจ้งความเท็จ และความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม

โดยบรรยายฟ้องเลขคดีดำที่ 2454/2548 ที่มีนายลัทธพลเป็นจำเลย สรุปว่า เมื่อประมาณเดือน ก.ค.48 จำเลยได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างวาระ คือ จำเลยได้ใส่ความโจทก์ด้วยการจัดทำสิ่งบันทึกเสียง ภาพ และถ้อยคำของจำเลยเป็นเท็จลงในแผ่นวีซีดี โดยจำเลยได้กล่าวถึงโจทก์ว่าเป็นผู้เกี่ยวข้องในการเรียกและรับเงินสินบนในการวิ่งเต้นให้ได้รับการประมูลงานก่อสร้างลานจอดรถในโครงการสนามบินสุวรรณภมิจากจำเลย โดยจำเลยอ้างว่าได้จ่ายเงินจำนวน 25 ล้านบาทให้โจทก์ ต่อมาจำเลยมีโอกาสเข้าพบโจทก์และถามถึงเงินดังกล่าวที่จ่ายไปที่โรงแรมอโนมา และกล่าวหาว่าจำเลยพยายามติดต่อโจทก์ตลอดแต่ โจทก์ก็หลบและไม่ยอมรับสาย ภายหลังจากที่จำเลยได้จัดทำแผ่นวีซีดีดังกล่าวแล้ว จำเลยได้ทำการเผยแพร่โฆษณา หรือใช้ จ้างวาน ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใดให้ผู้อื่นเผยแพร่ภาพเสียง และถ้อยคำของจำเลย ซึ่งบันทึกลงไว้ในแผ่นวีซีดีให้เป็นที่ปรากฏแก่ประชาชนทั่วไป โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ทำให้โจทก์ต้องได้รับความเสียหาย

บรรยายฟ้องเลขคดีดำที่ 2455/2548 ที่มีนายอลงกรณ์ และหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ และนายทวีสิน เป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับ สรุปว่า ระหว่างวันที่ 12-13 ก.ค.48 จำเลยที่ 1 ได้ใส่ความโจทก์ โดยให้สัมภาษณ์และแถลงข่าวต่อผู้สื่อข่าวจำนวนมาก ณ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ว่า “มีข้าราชการนิรนามในทำเนียบรัฐบาลติดต่อมายังตน โดยส่งสำเนาเอกสารเกี่ยวกับหนังสือร้องเรียนที่ส่งถึงตู้รับเรื่องราวร้องทุกข์ของนายกฯ ซึ่งเป็นของบริษัทเอกชนรายหนึ่ง ส่งถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ลงวันที่ 28 ม.ค.48 เรื่องขอความเป็นธรรม กรณีญาติใกล้ชิดคนหนึ่งของนายกฯ กับพวกเรียกร้องเงิน 300 ล้านบาท เป็นค่าวิ่งเต้นประมูลงานโครงการหนึ่งเกี่ยวกับงานเฟอร์นิเจอร์ของสนามบินสุวรรณภูมิ มูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท ระยะเวลา 25 ปี มีการทำสัญญาข้อตกลงร่วมระหว่างผู้ร้องเรียนกับทีมงานของญาตินายกฯ และส.ส.รัฐบาลคนหนึ่ง เป็นหลักฐานในการจ่ายค่าคอมมิชชัน 300 ล้านบาท ซึ่งได้จ่ายเงินค่ามัดจำไปแล้ว 25 ล้านบาท ผู้ร้องได้เข้าพบญาติสนิทนายกฯ ก็ยืนยันว่าไม่ต้องกลัวเงินสูญ หากมีปัญหาจะคืนเงินให้ทันที กระทั่งบริษัทของผู้ร้องเรียนไม่ได้รับงานประมูลตามข้อตกลงจึงพยายามขอเงินคืน แต่ทุกคนกลับหนีหน้าไม่ยอมพูดคุย

ต่อมาวันที่ 13 ก.ค.48 จำเลยที่ 2 และ 3 ได้นำข้อความการแถลงข่าวและคำให้สัมภาษณ์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเท็จและเป็นการหมิ่นประมาทโจก์ลงพิมพ์และโฆษณาในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับประจำวันพุธที่ 13 ก.ค.48 และพาดหัวข่าวในหน้า 1 ว่า “แฉญาติแม้วรับสินบน” นอกจากนี้หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับประจำวันที่ 14 ก.ค.48 ยังพาดหัวข่าวว่า “เยาวเรศ” โต้สินบนปัดเศษเงิน 25 ล. คุ้มไหม/แฉ “คุณเจ๊” นัดคืนหลังเลือกตั้ง และพิมพ์คำให้สัมภาษณ์ของจำเลยที่ 1 อันทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และได้รับความเสียหาย

และตามฟ้องเลขคดีดำที่ 2456/2548 ฟ้องนายอลงกรณ์ เป็นจำเลยในความผิดฐานใช้เอกสารปลอม แจ้งความผิดต่อเจ้าพนักงาน แจ้งความเท็จและความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม สรุปว่า จำเลยได้บังอาจนำเอกสาร ได้แก่ หนังสือขอความเป็นธรรมถึงนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 28 ม.ค.48 ลงนามโดยนายลัทธพล กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท ลัทธ์เฟอร์ไทย จำกัด และหนังสือขอคืนเงินของผมคืน ถึงคุณเยาวเรศ ลงวันที่ 25 มี.ค.48 ลงนามโดยนายลัทธพล โดยเอกสารทั้งสองฉบับเป็นเอกสารที่มีผู้ทำปลอมขึ้น อีกทั้งจำเลยยังรู้อยู่แล้วว่าเป็นเอกสารปลอม และจำเลยได้นำมาใช้ในการแถลงข่าวต่อผู้สื่อข่าว แสดงให้ปรากฏต่อประชาชน อีกทั้งยังนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบในการกล่าวโทษโจทก์ต่อ ผบ.ตร. ให้โจทก์ต้องรับโทษทางอาญา ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์

นอกจากนี้ วันที่ 25 ก.ค.48 จำเลยได้นำข้อความอันเป็นเท็จ แจ้งและกล่าวโทษโจทก์ต่อ ผบ.ตร. ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาว่าโจทก์ได้ร่วมกับพวกกระทำความผิดต่อกฎหมาย โดยเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินเพื่อตอบแทนในการจูงใจ อันเป็นการทุจริตหรือผิดกฎหมาย ในการรับสินบนโครงการลานจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งความจริงโจทก์มิได้กระทำความผิดตามที่จำเลยกล่าวโทษ และจำเลยรู้อยู่แล้วจำเลยมิได้กระทำความผิดหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดแต่อย่างใด การกล่าวโทษดังกล่าวของจำเลยเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ต้องได้รับโทษทางอาญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย

นายธนา ทนายความกล่าวภายหลังการยื่นฟ้องว่า การฟ้องร้องครั้งนี้เพื่อต้องการกู้ศักดิ์ศรีให้กับนางเยาวเรศกลับคืนมา หลังจากถูกนายอลงกรณ์ออกมาสร้างกระแสโดยการให้ข่าวรายวัน แต่เพิ่งจะไปแจ้งความดำเนินคดีต่อนางเยาวเรศ วานนี้ (25 ก.ค.48) ซึ่งต่อไปกระบวนการยุติธรรมจะเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งเอกสารที่นายอลงกรณ์เอามากล่าวอ้างว่ามี จม.ของนายลัทธพล เขียนถึงนายกรัฐมนตรี 2 ฉบับ ในการเรียกร้องขอความเป็นธรรม เมื่อวันที่ 28 ม.ค.48 และ 25 มี.ค.48 นั้น ก็ไม่ปรากฏว่าเป็นลายมือของนายลัทธพลจริง และไม่มีข้าราชการคนใด หรือผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องที่ได้รับการติดต่อจากนายลัทธพลว่าจะเร่งรัดให้ได้รับการประมูลงานโครงการคาร์ปาร์กครั้งนี้

นายธนา กล่าวว่า ภายในสัปดาห์นี้ยังจะยื่นฟ้องละเมิดเรียกค่าเสียหายกว่า 500 ล้านบาทกับ นายอลงกรณ์ด้วย และจะพิจารณาผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ นอกจากนี้ จะพิจารณาฟ้องนายอลงกรณ์อีก 1 ข้อหา ในความผิดฐานหมิ่นประมาท กรณีที่นำวีซีดี ไปจำหน่ายจ่ายแจก โดยขณะนี้กำลังติดต่อกับสถานีโทรทัศน์เพื่อขอวีซีดีดังกล่าวมาตรวจสอบ

ทั้งนี้ ศาลอาญาได้รับคำฟ้องไว้พิจารณา และนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์เลขคดีดำที่ 2454/2548 ในวันที่ 19 ก.ย.48 เวลา 09.00 น. เลขคดีดำที่ 2455/2548 ในวันที่ 3 ต.ค.48 เวลา 09.00 น. และเลขคดีดำที่ 2456/2548 วันที่ 10 ต.ค.48 เวลา 09.00 น.