แนะนำวิธีเช็กสายดินป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่ว พร้อมแนะนำข้อควรรู้ และวิธีป้องกันปัญหาไฟอื่นๆ เพื่อให้บ้านปลอดภัย จาก AP Thai Show
เรื่องของความปลอดภัย ระวังเอาไว้ย่อมดีกว่า ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าในบ้านแล้วนั้น ยิ่งไม่ควรละเลย เพราะอันตรายจากไฟฟ้าอาจสร้างความสูญเสียแก่ทรัพย์สินและชีวิตได้ หนึ่งในปัญหากระแสไฟฟ้าที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษคือปัญหากระแสไฟฟ้ารั่ว ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมของระบบไฟตามอายุใช้งานในบ้านที่อยู่มานานหรือในบ้านที่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชิ้น สำหรับคนที่สงสัยว่า แล้วจะป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่วได้อย่างไร? ขอตอบว่าจะต้องพึ่งการติดตั้ง ’สายล่อไฟ’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ สายกราวด์ สายสีเขียว หรือชื่อที่น่าจะคุ้นเคยกันที่สุดก็คือ ‘สายดิน’ นั่นเอง ในบ้านมักมีการติดตั้งสายดินอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ควรให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือการตรวจสอบการทำงานของสายดินว่าใช้งานได้จริงไหม หรือยังมีประสิทธิภาพอยู่หรือไม่ บทความนี้จะมาแนะนำวิธีเช็กสายดินในแบบต่างๆ อธิบายว่าสายดินป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่วได้อย่างไร พร้อมข้อควรรู้และวิธีป้องกันปัญหาไฟฟ้าอื่นๆ ที่น่าสนใจ อย่ารอช้า ไปเริ่มกันที่ 5 วิธีตรวจสอบสายดินให้ปลอดภัยก่อนเลยดีกว่า 1.ใช้เครื่องมัลติมิเตอร์มัลติมิเตอร์ เป็นเครื่องมือวัดปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้สำหรับทดสอบอุปกรณ์หรือระบบไฟฟ้าต่างๆ มีข้อดี คือมีขนาดเล็ก ใช้งานง่าย และพกพาสะดวก สามารถหาค่าไฟฟ้าทั้งกระแสตรงและกระแสไฟฟ้าสลับ รวมถึงแสดงค่าแรงดันไฟฟ้า (โวลท์มิเตอร์) กระแสไฟฟ้า (แอมป์มิเตอร์) และความต้านทานไฟฟ้า (โอห์มมิเตอร์) ได้ วิธีเช็กสายดินโดยใช้มัลติมิเตอร์เริ่มจากต่อสายตรวจสอบเข้ากับเต้าเสียบ จากนั้นตั้งมิเตอร์วัดไฟย่านกระแสสลับ (VAC) โดยตั้งที่ "ค่าสูงสุด" เพื่อความปลอดภัย และใช้ปลายสายมิเตอร์ วัดไฟจากขั้วของเต้าเสียบทั้ง 3 ช่อง ดังนี้
หากวัดแล้วตรงทุกข้อแสดงว่าสายดินใช้ได้ไม่มีปัญหา แต่หากไม่ได้ค่าตามที่ระบุไปข้างต้น อาจเป็นสัญญาณว่าสายดินเสียหาย ชำรุด หรือใช้งานไม่ได้ และต้องได้รับการแก้ไขในทันที 2.ทดสอบด้วยหลอดไฟการใช้หลอดไฟมาตรวจสอบเป็นวิธีเช็กสายดินง่ายๆ สำหรับผู้ที่ไม่มีเครื่องมือ โดยนำสายไฟมาต่อเข้ากับหลอดไฟ แล้วทดลองเสียบเข้ากับเต้าเสียบเพื่อดูว่าไฟติดหรือไม่ หากไฟติดก็แปลว่ามีไฟฟ้าไหลอยู่ในวงจร สิ่งต่อไปที่สามารถทำได้คือ ทดลองย้ายสายไฟไปยังช่องอื่นในเต้าเสียบ แล้วสังเกตว่าความสว่างของหลอดไฟเท่ากับช่องก่อนหน้าหรือไม่ หากไม่เท่า นั่นแปลว่ากระแสไฟสองช่องไม่เท่ากัน และสายดินอาจจะขาดอยู่ สำหรับหลอดไฟที่แนะนำให้ใช้ในการทดลองคือหลอดไฟ LED 5 วัตต์ เพราะเป็นหลอดขนาดเล็กใช้งานได้ง่ายนั่นเอง ทั้งนี้ ก่อนใช้วิธีนี้ต้องสวมรองเท้า เพื่อป้องกันกระแสไฟไหลเข้าร่างกายของเรา 3.นำแท่งกราวด์ต่อเข้ากับสายดินในตู้คอนซูมเมอร์ตู้คอนซูมเมอร์หรือกล่องไฟ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ติดตั้งร่วมกับระบบป้องกันไฟฟ้าอื่นๆ มีหน้าที่ควบคุมและป้องกันอันตรายจากการใช้ไฟฟ้า ส่วนหลักของกล่อง คือ เบรกเกอร์สำหรับป้องกันไฟดูด และวงจรสำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า วิธีเช็กสายดินวิธีนี้ ให้ใช้แท่งกราวด์หรือหลักดินซึ่งเป็นหลักทองแดงที่เสียบลงในดิน เชื่อมกับเครื่องคอนซูมเมอร์หลัก และใช้แอมป์มิเตอร์ดูค่าการทำงานของกระแสไฟ โดยมาตรฐานของหลักดินที่ดีจะต้องมีขนาดสูงไม่ต่ำกว่า 2.4 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 16 มิลลิเมตร หรือ ⅝ นิ้ว 4.ตรวจสอบความสมบูรณ์ส่วนทองแดงของสายดินไม่ให้เสียหายสายดินที่ไม่ได้เก็บในกล่องพักสาย โดยเฉพาะสายแบบเปลือย จะเสี่ยงเกิดความเสียหายได้ โดยหากสายขาดอาจทำให้ไฟดูดเมื่อสัมผัสโลหะ ดังนั้น ควรตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ สังเกตว่าสายมีรอยขีดข่วน มีการปริขาด มีร่องรอยการไหม้ หรือประกายไฟออกมาหรือไม่ หากมีลักษณะดังกล่าว อาจเพราะส่วนที่เป็นทองแดงของสายดินได้รับความเสียหาย วิธีป้องกันคือ ควรเก็บสายหรือตรึงสายให้หลบทางที่อาจทำให้เกิดการกระทบ และไม่ควรปล่อยให้สายม้วนงอ หรือถูกกดทับ เพราะจะทำให้สายขาดง่ายขึ้น 5.ใช้ไขควงลองไฟไขควงลองไฟ เป็นไขควงขนาดเล็ก มีปลายโลหะแบน ด้ามทำจากพลาสติกหรือแก้ว มีปุ่มโลหะที่ก้นด้าม ภายในด้ามบรรจุหลอดแก้วนีออนและตัวต้านทานที่ต่ออนุกรมจากปลายไขควงมาที่ปุ่มโลหะก้นด้ามเพื่อทำหน้าที่แสดงผลแรงดัน มีประเภทใช้งานอยู่ 2 แบบคือ ไขควงแบบธรรมดา และแบบดิจิตอล วิธีใช้งานไขควงแบบธรรมดา ให้นำส่วนปลายของไขควงไปสัมผัสกับสายไฟหรือส่วนที่เป็นโลหะ หากมีแสงไฟขึ้นบริเวณแท่งหลอดแก้วซึ่งอยู่ภายในด้ามจับ แสดงว่าเกิดปัญหากระแสไฟรั่วหรือขัดข้อง สำหรับไขควงดิจิตอล หากมีค่าตัวเลขความดันไฟฟ้า แสดงว่ามีกระแสไฟรั่ว ทั้งนี้ วิธีเช็กสายดินวิธีนี้ควรจับด้ามไขควงให้ดีและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับส่วนที่เป็นโลหะ เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้า หากไม่ตรวจเช็กสายดิน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างก่อนอื่นอาจต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสายดินป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่วได้อย่างไร สายดินเป็นตัวนำที่ต่ออยู่กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อกระแสไฟฟ้ารั่ว ตัวนำนี้จะทำให้กระแสไฟฟ้าไหลไปที่ระบบตัดไฟ หรือไหลลงสู่ดิน ไฟจึงไม่เข้าสู่ร่างกายหรือรั่วออกไปที่อื่นนั่นเอง ดังนั้น หากไม่ได้ตรวจเช็กสายดินเลย เมื่อถึงคราวชำรุดเสียหาย อาจส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาภายหลังได้ ดังนี้
นอกจากสายดินแล้ว มีอะไรที่สามารถป้องกันกระแสไฟฟ้าเหล่านี้ได้บ้างนอกจากวิธีเช็กสายดินจะถูกใช้เพื่อตรวจสอบว่าสายดินยังทำงานเป็นปกติหรือไม่แล้ว ยังมีวิธีการอื่นๆ ที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดกระแสไฟฟ้ารั่ว ไฟดูด หรือปัญหาอื่นๆ มาแนะนำกันอีกด้วย โดยมีวิธีและอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
ข้อควรรู้ในการใช้งานสายดินแม้ว่าการติดตั้งสายดินและหมั่นใช้วิธีเช็กสายดินที่ถูกต้องจะเพิ่มความปลอดภัยให้กับชีวิตได้ แต่หากติดตั้งไม่รัดกุม ใช้เกินอายุการใช้งาน หรือเลือกขนาดไม่เหมาะสมก็อาจทำให้สายดินมีความบกพร่อง และเกิดอันตรายตามมาได้เช่นกัน ข้อควรรู้ในการใช้งานสายดินให้ป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่วได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีดังนี้ การติดตั้งสิ่งแรกที่ควรทำเสมอก่อนการติดตั้งสายดิน คือ ปิดเบรคเกอร์ทุกครั้ง เพื่อป้องกันปัญหาไฟฟ้าขัดข้องระหว่างการติดตั้ง เมื่อจัดการเบรคเกอร์เรียบร้อยแล้วจึงติดตั้งสายดินตามขั้นตอนดังนี้
อายุการใช้งานสายดินมีอายุการใช้งานยาวนาน ประมาณ 10-15 ปี ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยควรเปลี่ยนสายดินทุกๆ 10 ปี หากใช้งานเกินอายุโดยไม่มีการตรวจสอบหรือไม่ได้ใช้วิธีเช็กสายดินที่ถูกต้อง ก็อาจทำให้มองไม่เห็นจุดที่ชำรุดและทำให้เกิดอันตรายในการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านตามมาได้ ขนาดของสายดินการเลือกสายดินดูได้จากขนาดของเบรกเกอร์ มีขนาดตั้งแต่ 25 ตร.มม. ขึ้นไป หรือเลือกโดยดูจากขนาดของสายตัวนำประธาน โดยการไฟฟ้าได้กำหนดขนาดของสายประธานดูจากขนาดของมิเตอร์ไฟฟ้าไว้ ดังนั้น ให้ตรวจสอบกับเขตการไฟฟ้าของตัวเองให้แน่ชัดก่อนเลือกขนาดของสายดินที่เหมาะกับบ้านของเรา โดยแนะนำให้ติดตั้งในท่อโลหะหรือท่ออโลหะ
ปัญหาไฟฟ้ารั่วนั้นถือเป็นอุบัติเหตุภายในบ้าน ที่อาจรุนแรงจนถึงชีวิตได้ ดังนั้น เมื่อรู้แล้วว่าสายดินป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่วได้อย่างไร ก็ควรเช็กสายดินเพื่อป้องกันปัญหาไว้ก่อนจึงดีที่สุด หากเจ้าของบ้านไม่พร้อมหรือไม่มีความเคยชินกับการทำงานช่าง แนะนำให้ติดต่อช่างมืออาชีพมาช่วยดำเนินการแทน อย่างชาว AP สามารถเรียกช่างผู้เชี่ยวชาญผ่านแอปพลิเคชัน SMART WORLD ได้เลยเพียงไม่กี่คลิกเท่านั้น จัดการปัญหาไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว บ้านก็จะปลอดภัยขึ้นแน่นอน |