ในการเริ่มตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกนั้น ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ทุกช่วงอายุ ควรจะเดินทางไปตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำหรือที่เรียกกันว่า การตรวจแป๊บสเมียร์ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะมะเร็งปากมดลูกอาจไม่ได้มีอาการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน การตรวจคัดกรองจึงเป็นสิ่งจำเป็น Show
การตรวจภายใน คือ…การตรวจหาความผิดปกติของระบบสืบพันธ์ุของผู้หญิง ซึ่งมีตั้งแต่ รังไข่ ท่อรังไข่ และมดลูก ผู้หญิงสามารถตรวจภายในได้ทุกช่วงอายุ ยกเว้นคนที่ผ่าตัดมดลูกพร้อมปากมดลูกไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องตรวจภายใน ซึ่งการตรวจภายจะช่วยตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap Smear หรือ Pap Test) ตรวจหาการติดเชื้อที่ช่องคลอด เช็คโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือปัญหาอื่น ๆ เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่สามารถทราบผลภายในหนึ่งวัน ยกเว้นรอผลตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่จะต้องใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ และหลังตรวจภายในสามารถกลับบ้านได้เลย วิธีเตรียมตัว…ก่อนตรวจภายในหากตัดสินใจแล้วว่าจะทำการตรวจภายใน ก็ควรจะเตรียมตัวให้พร้อม ดังนี้
ตรวจภายในเป็นประจำทุกปี…ยิ่งดีเพราะเท่ากับว่าเราจะได้มั่นใจว่าสุขภาพภายในของเราว่าปกติดี หรือหากเกิดสิ่งผิดปกติใดๆ การตรวจภายในเป็นประจำก็จะทำให้เราสามารถพบเจอความผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ นำไปสู่การรักษาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีโอกาสที่จะหายขาดได้นั่นเองเมื่อใด ควรตรวจมะเร็งปากมดลูก
อาการ “คลั่งรัก” ไม่ใช่แค่ศัพท์วัยรุ่นที่เอาไว้แซวคนที่แสดงออกถึงความรู้สึกรักใครสักคนมากๆ กันเล่นๆ เพราะเป็นอาการที่มีอยู่จริงในหลักจิตวิทยา และเริ่มมีการพูดถึงคำนี้อย่างจริงจังเมื่อซีรีส์ แปลรักฉันด้วยใจเธอ มีฉากที่ตัวละครอาจกำลังมีอาการคลั่งรัก อาการนี้เป็นอย่างไร แตกต่างจากอาการตกหลุมรักปกติมากน้อยแค่ไหน และเป็นอันตรายหรือไม่?
อาการคลั่งรัก คืออะไร?ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ @Darlper ระบุว่า "อาการคลั่งรัก (Limerence) เป็นคำที่ถูกคิดขึ้นมาโดย Dr. Dorothy Tennov นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เจ้าของหนังสือ Love and Limerence – the Experience of Being in Love ในปี 1979 โดยอธิบายความหมายของคำว่า Limerence หรืออาการคลั่งรักว่า เป็นความรู้สึกรักที่มีระดับของความรู้สึกมากกว่าแค่ชอบ หรือแค่หลงไหลตามปกติ" อาการของคนคลั่งรักอาการของคนที่มีอาการคลั่งรัก จะมีระดับของความรักความชอบที่มากอย่างชัดเจน เกินการควบคุมของตัวเอง ไม่สามารถหยุดตัวเองให้ลืม ทำใจ หยุดคิด หยุดนึกถึงคนที่ชอบได้ มีความคิดหมกมุ่นที่เกี่ยวกับคนที่เรารักตลอดเวลา และอยากให้คนที่เรารักหันมารักเราตอบ จนเลยเถิดไปถึงความรู้สึกที่อยากครอบครองเขา เขาคนนั้นเหมาะสมกับเราเพียงผู้เดียว นอกจากนี้ ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ @Darlper ยังให้อธิบายเพิ่มเติมว่า "Dr. Dorothy Tennov มองว่าระดับความรู้สึกรัก หรือชอบพอใครสักคน สามารถแบ่งออกมาได้หลากหลาย 'เฉดสี' เป็น 'สเปกตรัม' ตั้งแต่สีอ่อนไปจนถึงสีเข้ม โดยในส่วนของอาการคลั่งรักเป็นส่วนที่มีสีเข้มที่สุด" ในทางจิตวิทยายังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า อาการคลั่งรัก เป็นอาการทางจิตจริงๆ หรือเป็นเพียงนิสัยใจคอเฉพาะบุคคลเท่านั้น ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ @Darlper ระบุว่า "จากการทดลองพบว่า คนที่มีอาการคลั่งรัก มีความเป็นไปได้สูงที่จะผลิตฮอร์โมนลักษณะคล้ายกับฮอร์โมนที่หลั่งออกมาหลังเสพยา ทำให้เราเสพติดการพบหน้า พูดคุย มีปฏิสัมพันธ์กับเขาคนนั้น" นอกจากนี้ผู้ที่มีอาการคลั่งรัก อาจแสดงออกว่าชื่นชอบคนๆ นั้นมากเป็นพิเศษ จนไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้ จนอาจมีอารมณ์ที่รุนแรง และควบคุมการกระทำของตัวเองไม่ได้ ทางด้าน Helen Fisher นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ระบุว่า สมองของกลุ่มคนที่มีอาการคลั่งรักยังทำงานในลักษณะคล้ายกันกับผู้ที่เสพยาโคเคน ระหว่างที่กำลังมีอารมณ์ลุ่มหลงในความรัก ระดับฮอร์โมนเซโรโทนินจะลดลงมาอยู่ในระดับต่ำจนอาจอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับผู้ที่มีอาการย้ำคิดย้ำทำ (OCD) แต่ระดับฮอร์โมนโดพามีนที่สัมพันธ์กับความร่าเริงและตื่นตัวกลับพุ่งสูงขึ้น จึงทำให้ผู้ที่มีอาการคลั่งรักมีลักษณะท่าทาง และพฤติกรรมที่ดูตื่นตัว ย้ำคิดย้ำทำ และยังมีอารมณ์ค่อนข้างแปรปรสนง่ายกว่าคนทั่วไป เรามีอาการ “คลั่งรัก” หรือไม่?อาการที่แตกต่างกันของความรัก กับคนที่คลั่งรัก จะแตกต่างกันมากพอที่เราจะสังเกตได้บ้าง โดยคนที่มีอาการคลั่งรักอาจมีพฤติกรรมเหล่านี้
อันตรายของอาการคลั่งรักแน่นอนว่ากับคนที่เรามีความรักมอบให้ เรามักจะอยากเห็นคนเขาคนนั้นมีความสุข มีรอยยิ้ม มีชีวิตที่ดี แต่ในขณะเดียวกันกับคนที่มีอาการคลั่งรัก จะเป็นความรักที่อยากครอบครอง ให้เขาเป็นของเราคนเดียว ลุ่มหลงมัวเมาจนเห็นผิดเป็นชอบตลอดเวลา เขาทำอะไรก็ดีไปหมด รวมไปถึงแสดงอารมณ์ และการกระทำอันรุนแรงหากเขาคนนั้นไม่สามารถตอบกลับความรักที่เรามีให้เขาได้ เมื่อเป็นความรู้สึกที่รุนแรงจนอาจทำให้ไม่สามารถแยกแยะเหตุผล ผิดชอบชั่วดี หรือไม่สามารถควบคุมการกระทำใดๆ ของตัวเองได้ เมื่อนั้นอาการคลั่งรักก็จะก่อความลำบาก สร้างอันตรายใดๆ ให้กับคนที่รักได้เช่นกัน ดังนั้น สำหรับคนที่กำลังอยู่ในห้วงของความรัก ลองสังเกตความรักของตัวเองดูว่าเป็นความรักที่อยู่บนพื้นฐานของการปรารถนาดีด้วยหรือไม่ เรายอมสละความรู้สึกบางอย่างของเราเพื่อให้เขาได้มีความสุขหรือไม่ เราสามารถหักห้ามใจไม่ให้ทำอะไรเกินเลยจนลืมคำว่ากาลเทศะ หรือหน้าที่ที่เราต้องทำ ต้องรับผิดชอบได้หรือไม่ ความรักของคุณทำให้คุณและอีกฝ่ายเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า หากคุณรักษาความรักของคุณให้เป็นเพียงความรักและความปรารถนาดีต่อกันอย่างจริงใจได้แล้ว ความรักนั้นก็จะไม่ทำร้ายใคร และจะเป็นความรักที่ยั่งยืน หรือหากเป็นความรักที่ไม่สมหวัง ก็ยังคงเหลือเป็นความทรงจำดีๆ ให้นึกถึงได้ในอนาคตเช่นกัน |