๑๐ วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ Show กระบวนการพัฒนาการเรียนรู้ด้วยวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ ทั้ง 10 วิธี สุมน อมรวิวัฒน์, วศิน อินทสระ และ เสนาะ ผดุงฉัตร ต่างก็ได้ศึกษาเรื่องโยนิโสมนสิการ และ วรรณา สุติวิจิตร (๒๕๔๑ : ๙–๑๓) ได้ประมวลตัวอย่างมาประกอบเข้ากับวิธีคิดแต่ละวิธีของพระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังนี้ 1. วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย คือ การพิจารณาปรากฏการณ์ที่เป็นผลให้รู้จักสภาวะที่เป็นจริง หรือพิจารณาปัญหา หาหนทางแก้ไขด้วยการค้นหาสาเหตุและปัจจัยต่างๆ ที่สัมพันธ์ส่งผลสืบทอดกันมา 2. วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ เป็นวิธีคิดแบบจำแนกแยกแยะองค์รวมของสรรพสิ่งออกเป็นองค์ประกอบย่อยๆ หรือคิดวิเคราะห์และจัดหมวดหมู่ขององค์ประกอบย่อยๆ นั้น 3. วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์ หรือวิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา คือ มองอย่างรู้เท่าทันความเป็นไปของสิ่งทั้งหลาย ซึ่งจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ ตามธรรมดาของมันเอง 4. วิธีคิดแบบแก้ปัญหา (แบบอริยสัจ) มีลักษณะทั่วไป ๒ ประการ คือ 4.1 เป็นวิธีคิดตามเหตุและผล สืบสาวจากผลไปหาเหตุแล้วแก้ไขและทำ การที่ต้นเหตุ 4.2 เป็นวิธีคิดที่ตรงจุด ตรงเรื่อง ตรงไปตรงมาไม่ฟุ้งซ่านออกไปเรื่องอื่นและต้องเป็นการแก้ไขที่ปฏิบัติได้จริง 5. วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ หรือคิดตามหลักการและความมุ่งหมาย เมื่อรู้ว่าหลักการเป็นอย่างไร ความมุ่งหมายเป็นอย่างไร ก็ทำให้ถูกต้องตามหลักการและจุดมุ่งหมายนั้น 6. วิธีคิดแบบคุณโทษและทางออก เป็นการมองสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง 7. วิธีคิดแบบคุณค่าแท้และคุณค่าเทียม เป็นวิธีคิดที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับความต้องการ และการประเมินค่าของบุคคล 8. วิธีคิดแบบปลุกเร้าคุณธรรม เป็นวิธีคิดที่รู้จักนำเอาประสบการณ์ที่ผ่านพบมาคิดปรุงแต่งไปในทางที่ดีงาม เป็นประโยชน์เป็นกุศล ทำให้มีทัศนคติที่ดีต่อบุคคล เหตุการณ์และสิ่งแวดล้อม มีจิตใจที่สะอาดผ่องแผ้ว แล้วแสดงออกเป็นพฤติกรรมในทางสร้างสรรค์ต่อไป 9. วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในปัจจุบัน คิดตามแบบมหาสติปัฏฐานสูตร เพ่งพิจารณามีสติระลึกอยู่กับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ เกิดขึ้นหรือรู้การกระทำทุกขณะจิต เป็นแนวคิดแห่งปัญญาไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นอยู่ขณะนี้ ล่วงไปแล้ว หรือเป็นเรื่องของการภายหน้า หากเป็นการคิดด้วยปัญญาถูกต้องตามหลักการของพระพุทธศาสนา ก็นับเป็นความคิดในปัจจุบันทั้งสิ้น 10. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท วิภัชชวาท มาจาก วิภัชช + วาท วิภัชช แปลว่า แยกแยะ แบ่งออก จำแนก หรือ แจกแจง ใกล้เคียงกับคำว่า วิเคราะห์ วาท แปลว่า การกล่าว การพูด การแสดงคำสอน วิภัชชวาท แปลว่า การพูดแยกแยะ พูดจำแนก หรือ พูดแจกแจง หรือ แสดงคำสอนแบบวิเคราะห์ ที่มา: http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/24196-036207/
หรือพิจารณาปัญหา หาหนทางแก้ไขด้วยการค้นหาสาเหตุและปัจจัยต่างๆ ที่สัมพันธ์ ส่งผลสืบทอดกันมาวิธีคิดแบบนี้อาจเรียกว่า วิธีคิดแบบอิทัปปัจจยตา หรือคิดตามหลักปฏิจจสมุปบาท ตัวอย่างการคิดแบบนี้มี
2.วิธีแบบแยกแยะส่วนประกอบ (วิเคราะห์) วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ (หรือคิดกระจายเนื้อหา) คือการคิดที่มุ่งให้มองและให้รู้จักสิ่งทั้งหมายตามสภาวะของมันเอง เช่น ใช้พิจารณาให้เห็นความไม่มีแก่นสาร หรือความไม่เป็นตัวตนที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลาย ให้หายยึดติดมั่นในสมมติบัญญัตเห็นสัตว์บุคคลเป็นเพียงการประชุมกันเข้า ขององค์ประกอบต่างๆ ของขันธ์ 5แบ่งเป็นนามกับรูปเท่านั้น เป็นต้น วิธีนี้จะช่วยทำให้เห็นความเป็นอนัตตา ทำให้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปอยู่ตลอดเวลา ไม่เที่ยงแท้ ไม่คงที่ ไม่ยั่งยืน วิธีคิดแบบที่ 2 นี้ต้องใช้วิธีที่1(สืบสาวเหตุปัจจัย) และวิธีที่ 3 (สามัญลักษณ์) ประกอบการคิดด้วยตัวอย่างการคิดแบบนี้ เช่น "เพราะคุมส่วนประกอบทั้งหลายเข้า จึงมีศัพท์ว่ารถฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ สมมติว่าสัตว์ จึงมีฉันนั้น" 3.วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์ (รู้เท่าทันธรรมดา) วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์ (หรือวิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา) คือ มองอย่างรู้เท่านั้น ความเป็นไปของสิ่งทั้งหลาย ซึ่งจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ ตามธรรมดาของมันเอง ในฐานะที่มันเป็นสิ่งที่เกิดจากเหตุปัจจัยต่างๆ ปรุงแต่งขึ้น จะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยรู้เท่าทันตามกฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง (ไม่ยั่งยืน เกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป) ทุกขัง (เกิดขัดแย้ง)อนัตตา (ไม่เป็นของใคร บังคับไม่ได้) สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามกฎนี้ เป็นของธรรมดาวิธีคิดแบบนี้มี 2ขั้นตอน
4. วิธีคิดแบบอริยสัจจ์ (แก้ปัญหา) วิธีคิดแบบอริยสัจจ์ (คิดแบบแก้ปัญหา) หรือวิธีแห่งความดับทุกข์ ลักษณะการคิดแบบอริยสัจจ์ มี 2ประการคือ
5. วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ (หลักการและความมุ่งหมาย) วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ (หรือคิดตามหลักการและความมุ่งหมาย) คือพิจารณาให้เข้าใจ ความสัมพันธ์ระหว่าง ธรรม กับ อรรถ หรือ หลักการ กับความมุ่งหมาย เพื่อให้ได้ผลตามความมุ่งหมาย ไม่กลายเป็นการกระทำที่เคลื่อนคลาด เลื่อนลอย หรืองมงายไร้ผล หรือเกิดโทษ ธรรม แปลว่า หลักการ หลักความดีงาม หลักการปฏิบัติ หลักที่จะเอาไปใช้ปฏิบัติ หลักคำสอนที่จะนำไปประพฤติปฏิบัติได้อย่างถูกต้องดีงาม อรรถ แปลว่า ความหมาย ความมุ่งหมาย จุดหมาย ประโยชน์ที่ต้องการ สาระที่พึงประสงค์ในการทำการตามหลักการใดๆ ต้องเข้าใจความหมาย และความมุ่งหมายของธรรมหรือ หลัก การนั้นๆ ว่า ปฏิบัติหรือทำไปเพื่ออะไร ธรรมหรือหลักการนั้นกำหนดวางไว้เพื่ออะไร จะนำไปสู่ผลหรือที่หมายใดบ้าง ทั้งจุดหมายสุดท้ายปลายทาง และเป้าหมายท่ามกลางในระหว่างที่จะส่งทอดต่อไปยังธรรมหรือหลักการข้ออื่นๆ ความเข้าใจถูกต้องเรื่องหลักการและความมุ่งหมายนี้ จะนำไปสู่การปฏิบัติถูกต้องที่เรียกว่า ธรรมานุธรรมปฏิบัติ แปลง่ายๆ คือ ปฏิบัติธรรมถูกหลัก คือทำให้ข้อปฏิบัติย่อยเข้ากันได้สอดคล้องกัน และส่งผลแก่หลักการใหญ่ๆ เป็นไปเพื่อจุดหมายที่ต้องการ "การบำเพ็ญอรรถ (ประโยชน์) โดยคนที่ไม่รู้จักอรรถ (ประโยชน์ที่พึงหมาย) ไม่ช่วยนำสุขมาให้ เลย คนเขลาย่อมผลาญอรรถ (ประโยชน์) เสีย เหมือนดังลิงเผ้าสวน"ในแง่ปรมัตถ์ นั้น ศีล สมาธิและปัญญา ต่างก็มีจุดหมาย สุดท้ายคือนิพพานเหมือนกัน แต่ละอย่างมีขอบเขตของตนที่จะต้องไปต่อเชื่อมกับอย่างอื่น จึงจะบรรลุจุดหมายสุดท้ายได้ ลำพังอย่างเดียวหาสำเร็จผลล่วงตลอดไม่ จะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดเสียทีเดียว ก็ไม่ได้ จึงมีหลักว่า ศีลเพื่อสมาธิ สมาธิเพื่อปัญญา ปัญญาเพื่อวิมุตติ ถ้าปฏิบัติศีลขาดเป้าหมาย ก็จะกลายเป็นสีลัพพตปรามาส (รักษาศีล โดยมีวัตถุประสงค์ผิด) ถ้าบำเพ็ญสมาธิโดยไม่คำนึงถึงอรรถ ก็อาจติดหลงอยู่ในฤทธิ์ปาฏิหาริย์(ส่งเสริมให้เกิดดิรัจฉานวิชา) ถ้าเจริญปัญญาที่ไม่มุ่งไปสู่วิมุตติก็จะคลาดไปจากการเดินสายกลาง 6.วิธีคิดแบบเห็นคุณโทษและทางออก (ข้อดี ข้อเสียและทางออก) วิธีคิดแบบเห็นคุณ โทษ และทางออก หรือพิจารณาให้เห็นครบทั้ง อัสสาทะ อาทีนวะ และ นิสสรณะ เป็นการมองสิ่งทั้งหลายตามความจริงอีกแบบหนึ่ง เน้นการยอมรับความจริงตามสิ่งนั้น ๆ ทุกแง่ ทุกด้าน ทั้งด้านดี ด้านเสีย และเป็นวิธีคิดที่ต่อเนื่องกับการปฏิบัติมาก ก่อนจะแก้ปัญหาจะต้องเข้าใจปัญหาให้ชัดเจน และรู้ที่ไปให้ดีก่อน หรือก่อนจะละจากสิ่งหนึ่งไปหาอีกสิ่งหนึ่ง ต้องรู้จักทั้งสองฝ่ายดีพอ ว่าเป็นการกระทำที่รอบคอบสมควรและดีจริง อัสสาทะ แปลว่า ส่วนดี ส่วนอร่อย ส่วนหวานชื่นมีคุณค่า ข้อที่น่าพึงพอใจ อาทีนวะ หรือ อาทีนพ แปลว่า ส่วนเสีย ข้อเสีย ช่องเสีย โทษ ข้อบกพร่อง นิสสรณะ แปลว่า ทางออก ทางรอด ภาวะหลุดรอด ปลอดพ้น หรือสลัดออกได้ ภาวะที่ ปราศจากปัญหา มีความสมบูรณ์ในตัว ดีงามจริง โดยไม่ต้องขึ้นต่อข้อดี ข้อเสียการคิดลักษณะมีลักษณะที่พึงย้ำ2 ประการคือ
7. วิธีคิดแบบรู้คุณค่าแท้ - คุณค่าเทียม (แท้ - เทียม) วิธีคิดแบบรู้คุณค่าแท้ - คุณค่าเทียม หรือการพิจารณาถึงการใช้สอยหรือบริโภค เป็นวิธีคิด แบบสกัดหรือบรรเทาตัณหาเป็นขั้นฝึกหัดขัดเกลากิเลสหรือตัดทางไม่ให้กิเลสเข้ามาครอบงำจิตใจ แล้วชักจูงพฤติกรรมต่อๆ ไป วิธีคิดแบบนี้ใช้มากในชีวิตประจำวันเพราะเกี่ยวกับการบริโภคใช้สอยปัจจัย4 และวัสดุอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ เมื่อเรามีความต้องการและเห็นว่าสิ่งนั้นๆ จะตอบสนองความต้องการของเราได้ สิ่งนั้นก็มีคุณค่าแก่เรา มี 2ชนิดคือ คุณค่าแท้ และคุณค่าเทียม คุณค่าแท้ หมายถึง คุณค่าหรือประโยชน์ของสิ่งทั้งหลายในแง่ที่สนองความต้องการของชีวิต โดยตรง หรือนำมาใช้แก้ปัญหาของตน เพื่อประโยชน์สุขทั้งของตนเองและของผู้อื่น คุณค่าแท้ต้องอาศัยปัญญาเป็นเครื่องตีค่าหรือวัดราคา เช่นอาหารมีคุณค่าอยู่ที่ประโยชน์สำหรับหล่อเลี้ยงร่างกาย ให้มีสุขภาพดี เป็นอยู่ผาสุข เกื้อกูลต่อการบำเพ็ญกิจหน้าที่ เกื้อกูลต่อความเจริญงอกงามของกุศลธรรม เช่น มีสติ เป็นต้น คุณค่าเทียม หรือ คุณค่าพอกเสริม หมายถึง คุณค่าหรือประโยชน์ของสิ่งทั้งหลายเพื่อปรนเปรอการเสพเสวยเวทนา คุณค่านี้อาศัยตัณหาเป็นเครื่องตีค่าหรือวัดราคา เรียกว่าเป็นคุณค่าสนองตัณหา ก็ได้ เช่น อาหารมีคุณค่าอยู่ที่ความเอร็ดอร่อย เสริมความสนุกสนานเป็นเครื่องแสดงฐานะความโก้หรูหรา มุ่งเอาความสวยงามและความเด่น ซึ่งไม่ค่อยเกื้อกูลแก่ชีวิต บางทีเป็นอันตรายแก่ชีวิต ทำให้เกิดอกุศลธรรม เช่นความโลภ ความมัวเมา ความริษยา หนักไปทางเบียดเบียน
ตัวอย่างเช่น การคิดถึงความตายแล้วคิดไม่ถูกวิธี ก็จะเกิดอกุศลธรรมขึ้นเกิดสลดหดหู่ เศร้า เหี่ยวแห้งใจ หวั่นไหวหวาดกลัว เสียใจ และอาจดีใจเมื่อเป็นความตายของคนที่เกลียดชัง แต่ถ้าคิดให้ถูกวิธี จะเกิดกุศลธรรม เกิดความรู้สึกตื่นตัว เร้าใจ ไม่ประมาท เร่งขวนขวายปฏิบัติหน้าที่นำสิ่งดีงามเป็นประโยชน์ ประพฤติปฏิบัติธรรม รู้เท่าทันความจริงเป็นคติธรรมดาของสังขาร 9.วิธีคิดแบบอยู่กับปัจจุบัน(สติตามทันธรรม) วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบันหรือมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ เป็นการมองอีกด้านหนึ่งของการคิดแบบอื่น จะว่าแทรกหรือคลุมวิธีคิดแบบก่อนที่กล่าวมาแล้วก็ได้ วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบันนี้มีเนื้อหารวมอยู่ในสติปัฏฐาน 4 หรืออริยมรรค ข้อ สัมมาสติ วิธีคิดที่ไม่เป็นอยู่ในปัจจุบันคือความคิดที่เกาะติดกับอดีต และเลื่อนลอยไปในอนาคต เป็นการ คิดด้วยอำนาจตัณหา ตกอยู่ในอำนาจอารมณ์ โหยหาอาลัยอาวรณ์ถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว เพ้อฝัน ปรุงแต่งซึ่งไม่มีฐานแห่งความจริงในปัจจุบัน ไม่พอใจสภาพที่ประสบอยู่ในปัจจุบัน ต้องการจะหนีไปจากปัจจุบัน วิธีคิดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นการคิดในแนวทางของความรู้คิดด้วยอำนาจปัญญา ไม่ว่าจะเป็น เรื่องที่เป็นไปอยู่ในขณะนี้ หรือเป็นเรื่องล่วงไปแล้ว หรือเป็นเรื่องของกาลภายหน้า ก็จัดเข้าในการเป็นอยู่ในปัจจุบันทั้งนั้น เช่นสั่งสอนบทเรียนจากอดีต ความไม่ประมาท ระมัดระวังป้องกันภัยในอนาคต ข้อสังเกต คำว่าปัจจุบันในทางธรรมหมายถึงมีสติตามทันสิ่งที่รับรู้เกี่ยวข้องหรือต้องทำอยู่ใน เวลานั้น แต่ละขณะทุกๆ ขณะจิต ไม่หลุดลอยไปจากขณะปัจจุบัน อาจเป็นเรื่องอดีต ปัจจุบัน อนาคต ก็ได้ 10. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท (คิดและพูดแยกแยะทุกแง่ทุกด้าน) วิภัชชวาทไม่ใช่วิธีคิดโดยตรง แต่เป็นวิธีพูดหรือการแสดงหลักการแห่งคำสอนแบบหนึ่ง การคิดกับการพูดเป็นกรรมใกล้ชิดกันที่สุด ก่อนจะพูดก็ต้องคิดก่อน บางทีเรียกว่า วัชชวาที วิภัชช แปลว่า แยกแยะ แบ่งออก จำแนก หรือแจกแจง หรือวิเคราะห์ วาทแปลว่า การกล่าว การพูด การแสดงคำสอน ดังนั้น วิภัชชวาท จึงแปลว่า การพูดแยกแยะ พูดจำแนก หรือพูดแจกแจง หรือแสดงคำสอนแบบวิเคราะห์ ลักษณะการคิดและพูดแบบนี้คือ การมองและแสดงความจริง โดยแยกแยะออกให้เห็นแต่ละแง่ละด้าน ครบทุกแง่ทุกด้าน ไม่ใช่จับเอาแง่หนึ่ง แง่เดียว หรือบางแง่ขึ้นมาวินิจฉัยตีคลุมลงไปอย่างนั้นทั้งหมด หรือประเมินคุณค่าความดีงาม เป็นต้น โดยถือเอาส่วนเดียวหรือบางส่วนเท่านั้น แล้วตัดสินพรวดลงไปวาทะที่ตรงข้ามกับวิภัชชวาท เรียกว่า เอกังสวาท แปลว่า พูดแง่เดียว คือจับได้เพียงแง่หนึ่ง ด้านหนึ่ง หรือส่วนหนึ่งก็วินิจฉัยตีคลุมลงไปอย่างเดียวทั้งหมด หรือพูดตามตัวอย่างเดียว วิธีการจำแนกในลักษณะต่างๆ ดังนี้
1.1 จำแนกตามแง่ด้านต่าง ๆ ตามที่เป็นจริงของสิ่งนั้น คือมองความจริงให้ตรงตามที่เป็น อยู่ในแง่นั้นด้านนั้น ไม่ใช่จับความจริงแง่หนึ่งด้านหนึ่ง หรือแง่อื่น ด้านอื่น แล้วมาตีคลุมเป็นอย่างนั้นไปหมด เช่นถ้าจะประเมินคุณค่า ก็ตกลงหรือกำหนดลงว่าจะเอาแง่ใดด้านใดบ้าง แล้วพิจารณาที่ละแง่ประมวลลงตามอัตราส่วน 1.2 จำแนกโดยมอง หรือแสดงความจริงของสิ่งนั้นๆ ให้ครบทุกแง่ทุกด้าน ไม่มองส่วนเดียว หรือแง่เดียวว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร
4)จำแนกโดยความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย คือสืบสาวสาเหตุปัจจัยต่างๆ ที่สัมพันธ์สืบทอดกันมาของสิ่งหรือปรากฏการณ์ต่างๆ ทำให้ มองเห็นความจริงที่สิ่งทั้งหลายไม่ได้ตั้งอยู่ลอยๆ ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ ไม่ได้ดำรงอยู่เป็นอิสระจากสิ่งอื่นๆ และไม่ได้ดำรงอยู่โดยตัวของมันเอง แต่เกิดขึ้นด้วยอาศัยเหตุปัจจัย จะดับไปและสามารถดับได้ด้วยการดับที่เหตุปัจจัย(ตรงกับวิธีคิดแบบที่ 1)ความสับสนของเหตุปัจจัยและผลที่ได้รับ มีดังนี้ 1. การนำเอาเรื่องราวอื่นๆ นอกกรณีมาปะปน สับสนกับเหตุปัจจัยเฉพาะกรณี เช่นคนทำดี ทำไมไม่ได้รับผลดี ดังนั้นต้องวิเคราะห์ แล้วจับผลให้ตรงกับเหตุด้วย ต้องรู้ว่าเหตุใดให้ผลใด และผลใดเกิดจากเหตุใดให้มองเห็นตรงตามนั้นไม่ไขว้เขวสับสน 2. ความไม่ตระหนักถึงภาวะที่ปรากฏการณ์หรือผลที่คล้ายกัน อาจเกิดจากเหตุปัจจัยต่างกัน ได้ และเหตุปัจจัยอย่างเดียวกัน อาจไม่นำไปสู่ผลอย่างเดียวกัน เช่น ภิกษุอยู่ป่า พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญก็มี ไม่สรรเสริญก็มี โดยทรงพิจารณาสุดแห่งเหตุ หรือตัวอย่างการได้ทรัพย์มา มาจากการขยัน จากมีผู้ให้ทรัพย์ จากการลักขโมย วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ มีอะไรบ้างเป็นต้น กล่าวโดยสรุป วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการนั้น คือ “ การรู้จักคิดใคร่ครวญในใจอย่างมี วิจารณญาณ” หมายถึง “ การรู้จักคิดพิจารณาใคร่ครวญในใจถึงเรื่องราวสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบคอบ และครอบคลุมลุ่มลึก มีสติสัมปชัญญะคิดไปตามสภาพความเป็นจริง ตามเหตุตามปัจจัย มีความ สร้างสรรค์พัฒนาและนำไปสู่การแก้ปัญหาได้” ng. การคิดแบบโยนิโสมนสิการคืออะไรโยนิโสมนสิการเป็นหลักธรรมภาคปฏิบัติที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในการดําเนินชีวิตประจําวัน เพื่อประโยชน์สุขแก่ตัวเราเองและผู้อื่น เป็นการส่งเสริมคุณลักษณะที่ดีในการฝึกอบรมตนอย่างมีสติ รู้จักคิดอย่างถูกวิธีคิดอย่างมีระบบ คิดวิเคราะห์ไม่มองสิ่งต่างๆอย่างผิวเผิน คิดตามเหตุผล และ วิธีคิดแบบใดตรงกับความหมายของวิธีคิดแบบคุณและโทษและทางออกโยนิโสมนสิการ คือ วิธีคิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม และวิธีคิดแบบคุณ-โทษ และทางออกหรือการพัฒนาจิตตามแนวทางของศาสนาที่ตนนับถือ สาระสำคัญ โยนิโสมนสิการ เป็นวิธีคิดตามหลักพระพุทธศาสนาที่สอนให้คิดพิจารณาอย่างถ่องแท้ แยบคาย และรอบคอบก่อนการตัดสินใจกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยความมีสติ การคิดแบบคุณโทษ และทางออก มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตอย่างไรวิธีคิดแบบคุณโทษและทางออก คือวิธีคิดพิจารณาทั้งด้านดีและด้านเสียของสรรพสิ่งต่าง ๆ เพื่อ ให้เกิดการยอมรับสภาวะนั้น ๆ อย่างไม่เป็นทุกข์ สรรพสิ่งทั้งหลายที่มีหรือปรากฏอยู่ในโลกนี้ เมื่อมนูษย์จะนำมาใช้ย่อมมีทั้งคุณและโทษ ขึ้นอยู่กับวิธีการนำมาใช้ว่าผู้ที่จะนำมาใช้นั้นมีความรู้หรือมีปัญญามากน้อยเพียงไร ที่จะใช้ทรัพยากรต่างๆ ... |