ธาตุพนม เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดนครพนมที่มีชื่อเสียงและเป็นสถานที่ประดิษฐานพระธาตุพนม มีประวัติศาสตร์เก่าแก่และเกี่ยวข้องกับพัฒนาการสำคัญของพระพุทธศาสนาในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ประกอบด้วย 12 ตำบล 136 หมู่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 12 แห่ง Show
ชื่อ[แก้]อำเภอธาตุพนมเดิมมีฐานะเป็นเมืองกัลปนาขนาดใหญ่ชื่อ เมืองพนม (พระนม) หรือ เมืองธาตุพนม (ภาษาอังกฤษ: M. Penom, Muong Peunom, Moeuong Dhatou Penom, Phapanom) หรือ เมืองภูกำพ้า คัมภีร์อุรังคธาตุหลายฉบับรวมทั้งพงศาวดารย่อเวียงจันทน์ พงศาวดารเมืองมุกดาหาร พื้นธาตุพระนม พื้นธาตุหัวอก มหาสังกาสธาตุพนมโคดมเจ้า และพงศาวดารล้านช้างออกนามเมืองว่า พระนม (พนม) จารึกฐาปนาอูบสำริดเมืองจันทะปุระของพระขนานโคษออกนามว่า ธาตุประนม ส่วนหลักศิลาเลกบูรณะพระธาตุพนม พ.ศ. 2444 จารึกว่า ธาตุภนม คัมภีร์อุรังคธาตุฉบับวัดอับเปวันนัง บ้านบกท่ง เมืองจำพอน แขวงสะหวันนะเขด แสดงฐานะธาตุพนมว่าเป็นนครใหญ่แห่งหนึ่งโดยเรียกว่า นครต่อนดินพระมหาธาตุเจ้า คัมภีร์เดียวกันบางฉบับบ้างเรียกว่า น้ำท่อนต่อนดินพระมหาธาตุเจ้า หลักฐานบางแห่งออกนามเมืองเป็นสร้อยท้ายนามเมืองมรุกขนครว่า มรุกขนคร บวรพนม ประถมเจดีย์ ส่วนคัมภีร์ใบลานเรื่องนิมิตหลักกงแก้วหัวเอิกธาตุเจ้าก้ำเหนือระบุนามต่างกันไปทั้ง เมืองนครโอกาสแก้วเวียงสีพนมธาตุ เวียงธาตุพนมแก้ว เมืองแก้วโอกาสพนมธาตุ เมืองแก้วราชธาตุพนมหลวง เมืองธาตุพนมภูกำพร้า เป็นต้น คำว่า พนม ตรงกับภาษาเขมร (วนํ, บนาม) แปลว่า ภูเขา แต่คัมภีร์อุรังคธาตุหลายฉบับเขียนว่า พระนม (พฺรนม) ซึ่งมาจากภาษาเขมร (พระ) และภาษาลาว (นม) หมายถึงหน้าอกของพระพุทธเจ้า ชาวลาวออกสำเนียงว่า ปะนม (ประนม) คำนี้ปราฏในหนังสือพงศาวดารของแขวงสุวรรณเขตด้วย สำเนียงคนท้องถิ่นนิยมเรียกนามเมืองว่า เมืองปะนม คู่กับ เมืองละคร (เมืองนครพนม) และเรียกชาวธาตุพนมว่า ไทพนม หรือ ไทปะนม สมัยโบราณเรียกที่ตั้งศูนย์กลางเมืองนี้ว่า กปณคีรี (ภูเพียงกำพร้าเข็ญใจ) บางแห่งเขียนเป็น ภูกามพ้า หรือ ภูก่ำฟ้า คนทั่วไปเรียกว่า ภูกำพร้า ซึ่งเป็นที่ตั้งพระมหาธาตุโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ชื่อว่า พระมหาธาตุเจ้าพระนมบุรมมะเตชะเจดีย์ หรือ พระมหาธาตุเจ้าพระนมบุรมมสถาน หรือ พระมหาธาตุเจ้าพระนมบุรมมหัวอกพระพุทธเจ้า หลักฐานบางแห่งเรียกว่า ธาตุภูกำพร้า หรือ อูบมุงภูกำพร้า คนทั่วไปเรียกว่า ธาตุปะนม หรือ ธาตุหัวอก ปัจจุบันคือพระธาตุพนม วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ซึ่งเดิมเรียกวัดพนม (วัดธาตุหรือวัดพระธาตุ) นับถือแต่โบราณว่าพระมหาธาตุนี้ประดิษฐานพระอุรังคธาตุ (อรกธาตุหรือธาตุหัวอก) ของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ ชาติพันธุ์สองฝั่งโขงนับถือว่าเป็นพระปฐมเจดีย์ของลาว พื้นเวียงจันทน์ยกย่องว่าพระธาตุพนมคือหลักโลกของชาวลาว ส่วนเอกสารประวัติบ้านชะโนดยกย่องว่าธาตุพนมคือเสใหญ่ (หลักเมือง) ของลาว เอกสารพื้นเมืองพนมระบุว่าก่อนการเข้ามาของพระพุทธศาสนาธรรมยุติกนิกายจากสยาม ท้องถิ่นนี้เชื่อว่าธาตุพนมคือสถานที่ประสูติและบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์เมื่อครั้งเสวยชาติเป็นพระยานกคุ่มไฟ ธาตุพนมจึงถูกเรียกว่า ธาตุนกคุ่ม (พระวฏฺฏกธาตุนกคุ่ม) หรือฮังนกคุ่ม สอดคล้องกับพื้นเมืองจันทะบูลีซึ่งระบุว่าก่อนสร้างพระธาตุพนมได้ปรากฏเฮือนหินหรือปราสาทบนภูกำพร้าก่อนแล้ว ส่วนตำนานขุนบูลมระบุว่าธาตุพนมเป็นเมืองสำคัญ 1 ใน 7 หัวเมืองทางศาสนายุคแรกที่ประดิษฐานพระสารีริกธาตุก่อนหัวเมืองทั้งหลายในสุวรรณภูมิประเทศของลาว แม้แต่อาณาจักรล้านนาก็ยอมรับให้เป็นพระบรมธาตุสำคัญประจำปีสันหรือนักษัตรวอกตามคติชุธาตุด้วย คัมภีร์อุรังคธาตุระบุถึงสถานะของธาตุพนมว่าเป็น พุทธศาสนานคร หรือ ศาสนานคร ตำนานของเมืองจึงถูกเรียกว่า ศาสนานครนิทาน จารึกเจ้าพระยาหลวงนครพิชิตราชธานีศรีโคตรบูรหลวงเรียกนามเมืองว่า สาสสนาพระนม สถานะความเป็นเมืองพุทธศาสนานครของธาตุพนมหมายถึงนครศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางศาสนา จิตวิญญาณ ศรัทธาและความเชื่อของชาวลาวและกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ดังกล่าว ถึงขนาดชาวต่างชาติขนานนามว่า เมืองเมกกะของลาว และ มหานครแห่งพระพุทธศาสนาของลาว (Métropole religieuse des Laociens) ประวัติศาสตร์[แก้]อาณาจักรล้านช้าง[แก้]ธาตุพนมเป็นเมืองโบราณบริเวณลุ่มน้ำโขงที่มีอาณาเขตไปถึงปากเซบั้งไฟและสายภูซ้างแฮ่ในฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ทั้งครอบคลุมพื้นที่ตาลเจ็ดยอดในตัวเมืองมุกดาหาร เป็นเมืองที่มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศาสนาร่วมกับเมืองศรีโคตรบูรและเมืองมรุกขนคร โดยสถาปนาขึ้นก่อนสมัยพระเจ้าฟ้างุ้มมหาราชจะรวบรวมอาณาจักรล้านช้างให้เป็นปึกแผ่นในก่อน พ.ศ. 1896 หรือก่อนพุทธศตวรรษที่ 18-19 และสถาปนาก่อนเมืองนครพนมกับเมืองมุกดาหาร นับเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดในบรรดาหัวเมืองลาวแถบจังหวัดนครพนมและภาคอีสาน มีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์บริเวณตำบลกุดฉิม โบราณวัตถุในอารยธรรมหินตั้ง และพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์สมัยศรีโคตรบูรหรือก่อนทวารวดีอีสานมากกว่า 10 แห่ง จนถึงหลักฐานสมัยจามปา ขอม และล้านช้างทั้งในตัวเมืองและปริมณฑล นักโบราณคดีและนักการศาสนาสันนิษฐานว่าธาตุพนมเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาเถรวาทที่สำคัญแห่งหนึ่งของสุวรรณภูมิและภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เนื่องจากค้นพบจารึกใบเสมาศรีโคตรบูรที่วัดศิลามงคล ตำบลพระกลางทุ่ง ปรากฏคาถา เย ธมฺมา เช่นเดียวกับนครปฐม อู่ทอง และซับจำปา คัมภีร์อุรังคธาตุนิทานระบุถึงตำนานเมืองว่าถูกสร้างขึ้นโดยพระยา 5 นคร บางฉบับระบุว่า 6 นครหลังการสร้างอูบมุงภูกำพร้าสำเร็จ พระยาทั้ง 5 ให้คนนำหลักหิน หินรูปอัสสมุขี หินรูปม้าวลาหก และหินรูปม้าอาชาไนมาปักไว้ตามทิศต่าง ๆ ของอูบมุงเพื่อเป็นหลักหมายเมืองมงคลในชมพูทวีป ยุคแรกเมืองธาตุพนมประด้วยหมู่บ้านข้าโอกาส 7 แห่งและมีประชากรไม่น้อยกว่า 3,000 คน พัฒนาการความเป็นเมืองเริ่มชัดเจนมากขึ้นในสมัยพระยาสุมิตตธัมมวงศา ในสมัยล้านช้างปรากฏหมู่บ้านข้าโอกาสมากกว่า 30 แห่ง หลายแห่งตั้งอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงแต่มีศูนย์กลางปกครองที่บ้านธาตุพนมในฝั่งขวาแม่น้ำโขง ภายในตัวเมืองมีกำแพง 3 ชั้นล้อมรอบเวียงพระธาตุโดยมีวัดหัวเวียงรังษีตั้งอยู่ทิศหัวเมือง สันนิษฐานว่าเดิมคือวัดสวนสวัร (วัดสวรสั่งหรือวัดสมสนุก) ที่ถูกสร้างในสมัยล้านช้างตอนต้นตามคัมภีร์อุรังคธาตุ สมัยโบราณธาตุพนมถูกรายล้อมด้วยเวียงข้าพระธาตุ 4 แห่งคือเวียงปากเซหรือเมืองกะบอง (ปัจจุบันคือเมืองเซบั้งไฟของลาว) เวียงปากก่ำกรรมเวรหรือเมืองปากก่ำ (ปัจจุบันคือตำบลน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม) เวียงขอมกระบินหรือเมืองกบิล (ปัจจุบันคืออำเภอนาแก) และเวียงหล่มหนองหรือเมืองมรุกขนคร (ปัจจุบันคือตำบลพระกลางทุ่ง นักวิชาการบางกลุ่มเชื่อว่าคือบ้านดอนนางหงส์ท่า) เนื่องจากเป็นเมืองที่กษัตริย์อาณาจักรศรีโคตรบูรและกษัตริย์อาณาจักรล้านช้างถวายเป็นเขตแดนกัลปนาแด่พระธาตุพนมสืบต่อมาไม่ขาดสาย นัยหนึ่งธาตุพนมมีสถานะเป็นเมืองข้าโอกาสหยาดทานหรือเมืองข้อยโอกาส เจ้านายปกครองเมืองจึงมีสถานะพิเศษต่างจากเจ้าเมืองทั่วไป จารึกผูกพัทธสีมาวัดพระธาตุพนมของเจ้าพระยาจันทสุริยวงสาเจ้าเมืองมุกดาหารเรียกตำแหน่งผู้ปกครองธาตุพนมว่า ขุนโอกาส (ขุนเอากฺลาษฺ) ส่วนคัมภีร์อุรังคธาตุฉบับบ้านเชียงยืน กำแพงนครเวียงจันทน์ เมืองจันทะบูลีอย่างน้อย 2 ฉบับเรียกว่า เจ้าโอกาส (เจ้าโอกาด) หมายถึงผู้เป็นใหญ่แห่งข้าโอกาสพระธาตุพนม สถานะดังกล่าวคล้ายตำแหน่งขุนสัจจพันธคีรีรัตนไพรวัน เจติยาสันคามวาสี นพคูหาพนมโขลน หรือ ขุนโขลน เจ้าเมืองพระพุทธบาท (เมืองสุนาปรันตประเทศ) หัวเมืองกัลปนาชั้นจัตวาของสยาม สถานะเมืองคล้ายระบบการปกครองกรุงจัมปา เมืองอุกกัฏฐะ เมืองเสตัพยะ หมู่บ้านโอปาสาทะ หมู่บ้านขาณุมัต และหมู่บ้านสาลวติกา ที่พระเจ้าพิมพิสารและพระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทานแก่เจ้าหรือพราหมณ์ให้เป็นส่วนแห่งพรหมไทย (พรหฺมเทยฺย) ในสมัยพุทธกาล สมัยขอมปรากฏตำแหน่งผู้ปกครองในฐานะเจ้าเมืองกัลปนาคล้ายกันคือ โขลญพล (โขฺลญฺ วล กํมฺรเตงฺ อญฺ) เช่น เมืองลวปุระ (ลพบุรี) เมืองสุกโขทัย เป็นต้น สมัยอาณาจักรล้านช้างปรากฏตำแหน่งผู้ปกครองในสถานะเดียวกัน เช่น กวานนาเรือเมืองนาขาม เมืองหินซน และเมืองซนูแถบถ้ำสุวรรณคูหาในจังหวัดหนองบัวลำภูช่วงรัชกาลพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชมหาราช เป็นต้น บันทึกการเดินทางในลาวของเอเจียน เอมอนิเย ระบุว่าผู้ปกครองธาตุพนมมีอำนาจสิทธิ์ไม่ขึ้นกับเมืองใดและเป็นอนุชาเจ้าเมืองมุกดาหาร ใบลานพื้นเมืองเวียงจันทน์อย่างน้อย 3 ฉบับระบุว่าผู้ถูกกษัตริย์เวียงจันทน์สถาปนาให้รักษาธาตุพนมเป็นกุมารเชื้อสายเดียวกับกษัตริย์เวียงจันทน์ทั้ง 3 พระองค์คือพ่ออีหลิบ สมเด็จพระเจ้านันทเสน และสมเด็จพระเจ้าอินทวงศ์ ธาตุพนมมีภูมิศาสตร์การวางผังเมืองขนานแม่น้ำโขงหันหน้าไปทิศตะวันออกตามคติจักรวาลวิทยาในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยกำแพงล้อมรอบ 3 ชั้น แบ่งพื้นที่สำคัญเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกคือหัวเมืองทางทิศเหนือเป็นที่ตั้ง วัดหัวเวียง (วัดหัวเวียงรังษี) และชุมชนข้าโอกาสเดิมคือบ้านหัวบึง บ้านหนองหอย เป็นต้น ส่วนตัวเมืองคือที่ตั้งพระธาตุพนมซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจพุทธจักร จารึกวัดพระธาตุพนมระบุว่าวัดนี้เป็นที่ประทับของพระสังฆราชและสงฆ์ชั้นปกครองเรียกว่าเจ้าด้านทั้ง 4 นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งหอเจ้าเฮือน 3 พระองค์ตัวแทนอำนาจผีบรรพบุรุษซึ่งแต่เดิมตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นที่ตั้งบึงธาตุซึ่งเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่ตั้งกำแพงเมืองโบราณทิศตะวันออกริมฝั่งโขงตัวแทนอำนาจการปกครองของอาณาจักร ส่วนทิศตะวันตกเป็นที่ตั้งชุมชนข้าโอกาสเดิมคือบ้านดอนกลางหรือบ้านดอนจัน ส่วนท้ายเมืองทางทิศใต้เป็นที่ตั้งแม่น้ำก่ำซึ่งคัมภีร์อุรังคธาตุระบุว่าตอนใต้ลำน้ำเคยเป็นราชสำนักกษัตริย์ที่มาร่วมสร้างพระธาตุพนม ทั้งเป็นที่ตั้งชุมชนข้าโอกาสเดิมคือบ้านน้ำก่ำยาวไปถึงบังทรายและตาลเจ็ดยอดในเขตตัวเมืองพาลุกากรภูมิและมุกดาหาร ด้านการปกครองคัมภีร์อุรังคธาตุและพื้นธาตุพนมระบุว่าเค้าอุปถากพระธาตุพนมองค์แรกคือ พระยานันทเสน (ใบลานบางแห่งระบุนามว่าพระยาอนันทเสนหรือพระยาอินทเสนหรือพระยานันทเสนา) กษัตริย์เมืองศรีโคตรบูร ในราวพุทธศตวรรษที่ 1-3 หรือ 3-6 จากนั้นพระองค์แต่งตั้งเจ้า 3 พี่น้องซึ่งเป็นราชนัดดาให้ปกครองข้าโอกาสพระธาตุพนมโดยแบ่งเป็น 3 กองคือ พระยาสหัสสรัฏฐา (เจ้าแสนเมือง) ปกครองนอกกำแพงพระมหาธาตุ พระยาทักขิณรัฏฐาˈ (เจ้าเมืองขวา) ปกครองในกำแพงพระมหาธาตุ และ พระยานาคกุฏฐวิตถาร (เจ้าโต่งกว้าง) ปกครองฝั่งซ้ายน้ำโขงตั้งแต่ปากน้ำเซไหลตกปากน้ำก่ำ เจ้านายทั้ง 3 ถูกยกย่องเป็นมเหสักหลักเมืองธาตุพนมสืบถึงปัจจุบันและนับถือว่าเป็นวิญญาณบรรพบุรุษรุ่นแรกของข้าโอกาสพระธาตุพนมเรียกว่า เจ้าเฮือนทั้ง 3 หรือ เจ้าเฮือน 3 พระองค์ ต่อมาคัมภีร์อุรังคธาตุผูกเดียวระบุว่าธาตุพนมถูกอุปถากโดย พระยาปะเสน หรือพระยาปัสเสน สมัยพระยาสุมิตธรรมวงศาเจ้าเมืองมรุกขนครพระองค์แต่งตั้ง หมื่นลามหลวง (หมื่นหลวงหรือหมื่นฮาม) เป็นเค้าอุปถากโดยมีนายด่านนายกองช่วยปกครอง ทรงพระราชทานทรัพย์สินจำนวนมากเป็นเครื่องตอบแทนพร้อมสละข้าโอกาส 3,000 คนเพื่อสร้างเมือง สมัยพระยาสุบินราชพระองค์โปรดให้ หมื่นมาหารามหลวง และ พวกเฮือนหิน เป็นเค้าอุปถาก รัชกาลสุดท้ายของเมืองมรุกขนครคือพระยานิรุฏฐราชธาตุพนมถูกปกครองโดย พระยามหาทาดตุเจ้าพระนมบุรมมเจดีเจ้า หลังอาณาจักรขอมเสื่อมอำนาจในสมัยล้านช้างตอนต้นคือรัชกาลพระเจ้าโพธิสาลราช (พ.ศ. 2063-2090) ธาตุพนมถูกปกครองโดยเจ้านายข้าหัตบาสใกล้ชิดพระองค์ซึ่งเป็นชาวเมืองส่วยหรือเมืองเสวยและถูกส่งมาจากราชสำนักหลวงพระบางในตำแหน่ง พันเฮือนหิน (พันเฮือหีน) พระองค์พระราชทานบริวารติดตามให้ 30 คนเรียกว่ากะซารึม 30 ด้ามขวาน ส่วนขุนพันกินเมืองทั้งหลายส่งบริวารเพิ่มอีก 300 คน แสดงให้เห็นว่าผู้ปกครองธาตุพนมสมัยนั้นมีอำนาจมาก ขณะเดียวกันยังแต่งตั้ง พันซะเอ็ง (ข้าชะเอ็งหรือข้าราชเอ็ง) พี่ชายพันเฮือนหินให้ร่วมปกครองด้วย ต่อมาพันเฮือนหินกลับคืนไปหลวงพระบางแล้วทำหน้าที่อัญเชิญเครื่องสักการะบูชาของพระองค์มานมัสการพระธาตุพนมในวันสังขานปีใหม่ สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชมหาราช (พ.ศ. 2091-2114) พระองค์เสด็จมาบูรณะพระธาตุพนมและโปรดแต่งตั้ง พระยาธาตุพระนม หรือ พระยาพระมหาธาตุเจ้า (พญาธาตุ) ขึ้นรักษานครต่อนดินพระมหาธาตุพนมโดยมี พระยาทั้ง 4 เป็นผู้ช่วย ถัดนั้นรัชกาลพระเจ้าวรวงศาธรรมิกราช (พ.ศ. 2140-2065) เจ้าพระยาหลวงนครพิชิตราชธานีสีโคตรบูรหลวงกษัตริย์เมืองนครได้เสด็จบูรณะพระธาตุพนม พระองค์พระราชทานโอวาทแก่ พระยาทาด (พระยาธาด) พร้อมแต่งตั้งพระยาทั้ง 2 คือ พระยาทด และ พระยาสีวิไซ ให้ร่วมปกครองข้าโอกาส ระบบการปกครองพิเศษของล้านช้างในรูปแบบเจ้าเฮือนอาจพัฒนาขึ้นในยุคนี้ จากนั้นพื้นธาตุพระนมฉบับวัดใหม่สุวันนะพูมารามเมืองหลวงพระบางระบุว่ารัชกาลพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชแห่งนครเวียงจันทน์ (พ.ศ. 2181-2238) พระองค์โปรดพระราชทานเขตดินชั้นนอกถวายพระธาตุพนมพร้อมแต่งตั้ง พระเจ้าเฮือนทั้ง 3 หรือ พระยาเจ้าทั้ง 3 ปกครองข้าโอกาสคือ เจ้าตนปู่เลี้ยง (เจ้าตันปู่เริง) เป็นใหญ่แก่ข้าโอกาสภายในพระมหาธาตุ ส่วนทิศใต้และทิศเหนือโปรดให้ พระยาเคาะยดทะราดธาดพระนม (หมื่นเคาะ) และ พระยาเคายดทะราดธาดพระนม (หมื่นเคา) ปกครอง ปลายรัชกาลของพระองค์เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กสังฆราชเวียงจันทน์อพยพผู้คนจากนครหลวงเวียงจันทน์บางส่วนมาถวายเป็นข้าพระธาตุจำนวนมาก พร้อมทั้งต่อเติมเสริมยอดพระธาตุพนมให้สูงขึ้น ตำนานบ้านดงนาคำหมู่บ้านข้าโอกาสฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงระบุว่าเจ้าราชครูแต่งตั้งให้สงฆ์ฝ่ายปกครอง 4 รูปดูแลวัดวาอาราม 4 ทิศในเขตกัลปนาของเมือง และขออนุญาตผู้ปกครองกองข้าโอกาสทั้ง 3 กองให้นำพาชาวเวียงจันทน์แยกย้ายไปตั้งหมู่บ้านใหม่เพื่อให้ข้าโอกาสมีจำนวนเพิ่มขึ้นคือ แสนกลางน้อยศรีมุงคุล หัวหน้าข้าโอกาสนำพาไพร่พลตั้งบ้านหมากนาว แสนพนม นำพาไพร่พลตั้งบ้านดงใน แสนนามฮาช (แสนนาม) นำพาไพร่พลตั้งบ้านดงนอก นับถือกันว่าทั้ง 3 ท่านเป็นบรรพบุรุษข้าโอกาสพระธาตุพนมทั้ง 2 ฝั่งโขงสืบถึงปัจจุบัน พ.ศ. 2256 หลังสมเด็จพระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรสถาปนาอาณาจักรจำปาสัก ธาตุพนมกลายเป็นหัวเมืองขอบด่านต่อแดนระหว่างอาณาจักรเวียงจันทน์และอาณาจักรจำปาสัก โดยมีเมืองละคร (นครพนม) ซึ่งขึ้นกับเวียงจันทน์และเมืองบังมุก (มุกดาหาร) ซึ่งขึ้นกับจำปาสักทั้งสองเมืองร่วมกันปกครองธาตุพนมโดยแบ่งเขตเมืองที่หน้าลานพระธาตุพนม ลักษณะการแบ่งเขตแดนดังกล่าวคล้ายพื้นที่พระธาตุศรีสองรักเมืองด่านซ้ายซึ่งเป็นเมืองขอบด่านระหว่างอาณาจักรล้านช้างกับอยุธยา อย่างไรก็ตามนครพนมมักมีอำนาจแต่งตั้งเจ้านายชั้นสูงมาปกครองธาตุพนมเนื่องจากมุกดาหารเป็นเมืองใหม่และมีอำนาจน้อยกว่า จารึกลานเงินบรรจุในพระธาตุพนมช่วงปลายรัชกาลพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชหรือพระยาจันทสีหราช (พระยาเมืองแสน) ระบุว่าเจ้านครวรกษัตริย์ขัติยราชวงศา (พ.ศ. 2238) ได้สิทธิพระพรนามกรให้ แสนจันทรานิทธสิทธิมงคลสุนทรอมร สันนิษฐานว่าแสนจันทรานิทธคือผู้ปกครองธาตุพนมในสมัยนั้น ราวปลายอยุธยาเมืองธาตุพนมที่มีประชากรเบาบางถูกฟื้นฟูอีกครั้งโดยกลุ่มตระกูลเจ้านายราชวงศ์เวียงจันทน์คือ เจ้าพระยาหลวงบุตรโคตรวงศากวานเวียงพระนม (คำอยู่ รามางกูร) หรือเจ้าพระยาเมืองฮามนามฮุ่งศรี โอรสสมเด็จพระเจ้าสิริบุญสารแห่งเวียงจันทน์ (พ.ศ. 2294-2322) ได้อพยพไพร่พลมาตั้งรกรากที่ธาตุพนม หลังสงครามเวียงจันทน์-ธนบุรีสมเด็จพระเจ้าอินทวงศ์และสมเด็จพระเจ้านันทเสนเสด็จมาตั้งเมืองธาตุพนมแล้วแต่งตั้ง เจ้าพระรามราชรามางกูรขุนโอกาส (ราม รามางกูร) บุตรคนโตของเจ้าพระยาหลวงบุตรโคตรเป็นผู้ปกครองธาตุพนมซึ่งพื้นเมืองพนมระบุพระนามเต็มว่า พระอาชญาหลวงเจ้าพระรามราชปราฑีสีโสธัมมราชาสหัสสคามเสลา มหาพุทธปริสัทธปัวรปัตติโพธิสัตขัตติยวรราชวงสาพระหน่อรามาพุทธังกูร เจ้าโอกาสศาสนานครพระมหาธาตุเจ้าพระนมพีพักบุรมมหาเจติยวิสุทธิรัตตนบุรมมสถาน คนทั่วไปเรียกว่า เจ้าพ่อขุนราม หรือ เจ้าพ่อขุนโอกาส (พ.ศ. 2291-2371) โดยคัมภีร์ใบลานเรื่องพื้นตำนานธาตุเจ้ามหาพนมหัวอกฉบับวัดหัวเวียงรังษีระบุพระนามว่ายาหลวงลามลาสหรือพระลามลาสหรือพระรามลาชโพธิสัตว์เจ้าตนเสวยเมืองพระนมธาตุองค์หลวงล้ำ รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. 2348-2371) พระองค์เสด็จมาบูรณะพระธาตุพนม ร่วมกับเจ้าเมืองนครพนมและเจ้าเมืองมุกดาหารแล้วแต่งตั้งบุตรเจ้าพระรามราชคือ เจ้าพระรามราชปราณีศรีมหาพุทธปริษัท (ศรี รามางกูร) หรืออาดยาหลวงกลางน้อยศรีวรมุงคุลขึ้นปกครองธาตุพนมต่อจากพระบิดา คัมภีร์อุรังคธาตุนิยมออกนามว่าแสนกางน้อยศรีมุงคุรร์หรือแสนคานน้อยสีมุงคุร คัมภีร์อุรังคธาตุบางฉบับระบุว่าถูกแต่งตั้งโดยเจ้าอุปราชนองแห่งเวียงจันทน์ (พ.ศ. 2273-2322) ซึ่งเกิดจากความคลาดเคลื่อนของจุลศักราช เจ้านายกลุ่มนี้และทายาทมีอำนาจสืบมาจนสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาลและกลายเป็นตระกูลเก่าแก่หลายตระกูลของอำเภอธาตุพนมในปัจจุบัน เช่น บุคคละ ประคำมินทร์ จันทศ (จันทร์ทศ) จันทนะ ธีระภา ชุณหปราณ มันทะ (มันตะ) สารสิทธิ์ ลือชา (ฤๅชา) ทามนตรี พุทธศิริ รัตโนธร ครธน สุมนารถ มนารถ อุทา สายบุญ วงษ์ขันธ์ (วงศ์ขันธ์) ทศศะ เป็นต้น กลุ่มตระกูลเหล่านี้มีบทบาทสูงในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในเมืองธาตุพนมและวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร นายกองและกรมการธาตุพนมยุคต่อมาล้วนมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับตระกูลขุนโอกาสเดิมทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามพื้นเมืองพนมระบุลำดับพงศาวดารผู้ปกครองธาตุพนมก่อนการมีอำนาจของราชวงศ์เวียงจันทน์โดยละเอียดว่ามีจำนวนไม่น้อยกว่า 40 องค์จากเชื้อสายเมืองศรีโคตรบูรซึ่งบางกลุ่มสืบทางเจ้าเฮือน 3 พระองค์ ในรัชกาลเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ (พ.ศ. 2348-2371) เกิดปัญหาการรุกรานแย่งชิงข้าเลกพระธาตุพนมตลอดมา เนื่องจากสยามมอบอำนาจเจ้าเมืองนครราชสีมาและกาฬสินธุ์มาสักเลกข้าพระธาตุจนเบาบาง ความเดือดร้อนวุ่นวายกลายเป็นชนวนเหตุหนึ่งในการก่อสงครามกอบกู้เอกราชของเจ้าอนุวงศ์และอานามสยามยุทธ์ รัชกาลที่ 5 ถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง[แก้]ปัญหาการแย่งชิงข้าเลกพระธาตุยืดเยื้อถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2432 หลังสงครามเวียงจันทน์เจ้าเมืองนครพนม มุกดาหาร และสกลนครต่างแย่งชิงข้าเลกพระธาตุไปเป็นของตนหนักขึ้น ขณะนั้นธาตุพนมขึ้นกับหัวเมืองลาวฝ่ายเหนือมีพระยาสุริยเดชวิเศษฤทธิ์ (กาจ สิงหเสนี) เป็นข้าหลวงใหญ่ตั้งที่หนองคาย ต่อมา พ.ศ. 2434 จึงขึ้นกับหัวเมืองชั้นนอกแขวงลาวพวนมีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม เป็นข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการตั้งอยู่หนองคาย เอกสารบันทึกการเดินทางในลาวสมัยอาณานิคมฝรั่งเศสระบุว่าก่อน พ.ศ. 2424 ธาตุพนมเป็นเมืองอิสระจากอำนาจรัฐ ความขัดแย้งของเจ้านายท้องถิ่นเป็นเหตุให้ธาตุพนมขอความคุ้มครองจากนครพนมและมุกดาหาร ข้าเลกพระธาตุจำนวนมากถูกแย่งไปขึ้นกับ 2 เมืองนี้ ธาตุพนมไม่สามารถตั้งเจ้าเมืองและยกขึ้นเป็นเมืองได้ชั่วระยะหนึ่ง ชาวธาตุพนมต่างไม่พอใจต่อสถานการณ์ดังกล่าว ข้าเลกพระธาตุที่มีจำนวนมหาศาลเหลือราว 2,000 คน ภายหลังสยามพยายามแทรกแซงและจัดการปัญหาดังกล่าว เอกสารพื้นเมืองพนมระบุว่าชนวนวิวาทเจ้านายธาตุพนมเกิดจากการแย่งชิงกันขึ้นปกครองข้าโอกาสของพระอัคร์บุตร (บุญมี บุคคละ) พระอุปราชา (เฮือง รามางกูร) และพระปราณีศรีมหาพุทธบริษัท (เมฆ รามางกูร) ทั้ง 3 เป็นบุตรหลานขุนโอกาสเดิม คัมภีร์อุรังคธาตุฉบับม้วนอานิสงส์และพื้นธาตุหัวอกระบุถึงปัญหาดังกล่าวว่ามีมาตั้งแต่สมัยพระยานิรุฏฐราชก่อนเมืองมรุกขนครล่มสลาย การชิงข้าเลกพระธาตุพนมไปใช้สอยในราชการของพระองค์เป็นสาเหตุสำคัญในการล่มสลายของมรุกขนคร หลังสงครามเวียงจันทน์ธาตุพนมในฐานะหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่รายรอบด้วยหมู่บ้านขนาดเล็กมีผู้คนอาศัยเบาบางจนพระธาตุไม่ได้รับการดูแล ศูนย์กลางการปกครองคงตั้งอยู่บ้านธาตุพนม (B. Panom) ขณะนั้นคนท้องถิ่นเห็นว่าธาตุพนมมีฐานะเป็นเมืองดังหลักฐานในเอกสารแผนที่อินโดจีนของฝรั่งเศสมากกว่า 3 ฉบับยังคงเรียกว่าเมืองพนมหรือเมืองธาตุพนม รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสยามจัดการปกครองธาตุพนมไม่เต็มที่เนื่องจากเหตุการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ซึ่งไม่สามารถตั้งค่ายหรือกองทหารในเขต 25 กิโลเมตรจากน้ำโขงมาทางฝั่งขวา เจ้านายท้องถิ่นปกครองกันเองตามธรรมเนียมเดิมและบางส่วนฝักใฝ่อำนาจฝรั่งเศสเช่นเดียวกับเจ้าเมืองนครพนม พาลุกากรภูมิ และเรณูนคร เจ้าเมืองธาตุพนมในเอกสารต่างชาติถูกระบุครั้งสุดท้ายในบันทึก ดร.เปแนซ์ หมอชาวฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2425 จารึกบูรณะพระธาตุพนมระบุถึงผู้ปกครองธาตุพนมก่อนถูกยุบเป็นกองบ้านธาตุพนม นัยว่าถูกลดอำนาจตั้งแต่หลังสงครามเจ้าอนุวงศ์และมีอายุยืนมาถึงรัชกาลที่ 5 คือ พระปราณีศรีมหาพุทธบริษัท (เมฆ รามางกูร) หรืออาดยาหลวงปาฑี (ก่อน พ.ศ. 2444) หลังยุคเสื่อมอำนาจของกลุ่มขุนโอกาสเดิมตำนานบ้านชะโนดซึ่งเป็นหมู่บ้านข้าโอกาสพระธาตุพนมเก่าและพื้นเมืองพนมระบุว่า ธาตุพนมถูกปกครองจากนายกองข้าพระธาตุที่สำเร็จวิชาการปกครองจากกรุงเทพฯ อย่างน้อย 3 ท่านซึ่งเป็นเจ้านายท้องถิ่นและเป็นญาติกลุ่มขุนโอกาสเดิมคือ พระอามาตย์ราชวงสา (อำนาจ รามางกูร) หรือกวานอามาถย์ ท้าวสุริยะราชวัตร (อ้วน รามางกูร) หรือท้าวสุริยะ และท้าวสุริยะราชวัตร (คูณ รามางกูร) หรือท้าวราชวัตริ์ ซึ่งตั้งรกรากอยู่บ้านชะโนดเมืองมุกดาหาร จากนั้นกลุ่มนายกองถูกเปลี่ยนสายมายังบ้านธาตุพนมอีกครั้งคือ ท้าวอุปละ (มุง รามางกูร) ใน พ.ศ. 2417 ปัญหาแย่งชิงข้าเลกพระธาตุพนมดำเนินตลอดมาจนถึงก่อนปฏิรูปการปกครองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล (พ.ศ. 2444) หลังสยามเข้ามาจัดการหัวเมืองลาว เอกสารฝ่ายสยามเรียกธาตุพนมว่า บ้านทาษพนม หมายถึงหมู่บ้านแห่งข้าพระธาตุพนม พ.ศ. 2422 สยามยกฐานะบ้านธาตุพนมขึ้นเป็น กองข้าพระธาตุพนม หรือ กองบ้านทาษพนม โดยแต่งตั้งนายกองเชื้อสายท้าวอุปละ (มุง) ทายาทขุนโอกาสเดิมเป็นผู้ปกครอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ผู้สำเร็จราชการกรมมหาดไทย สมุหนายกอัครมหาเสนาบดีว่าราชการหัวเมืองลาวซึ่งมีเชื้อสายกษัตริย์เวียงจันทน์ทางพระมารดาให้มีอำนาจแต่งตั้งนายกองธาตุพนมโดยพระราชทานบรรดาศักดิ์ว่า พระพิทักษ์เจดีย์นายกอง ขึ้นเมืองนครพนม และ หลวงโพธิ์สาราชปลัดกอง ขึ้นเมืองมุกดาหาร ตำแหน่งพระพิทักษ์เจดีย์พระธาตุพนมถูกแต่งตั้งคู่กับพระพิทักษ์เจดีย์พระธาตุเชิงชุมของเมืองสกลนคร และสืบทอดมาถึง 4 ท่าน (พ.ศ. 2422) สยามพระราชทานตราประจำตำแหน่งรูปเทวดานั่งแท่นหัตถ์ทรงพระขรรค์และพวงมาลัย ได้แก่ พระพิทักษ์เจดีย์ (ถง รามางกูร) บรรดาศักดิ์เดิมที่ท้าวอุปละ พระพิทักษ์เจดีย์ (แก่น รามางกูร) บรรดาศักดิ์เดิมที่ท้าวพระละคร พระพิทักษ์เจดีย์ (ศรี รามางกูร) บรรดาศักดิ์เดิมที่พระศรีชองฟ้า และพระพิทักษ์เจดีย์ (เทพจิตต์ บุคคละ) 3 ท่านแรกถึงแก่กรรมที่กรุงเทพฯ ด้วยสาเหตุเดินทางไปฟ้องร้องเจ้าเมืองรายรอบที่เข้ามาชิงข้าเลกพระธาตุพนม พระพิทักษ์เจดีย์ท่านสุดท้ายพยายามยกกองบ้านธาตุพนมเป็น เมืองทาษพนม ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเห็นว่าเป็นปัญหาขัดแย้งผลประโยชน์กันเองของเจ้านายท้องถิ่น ส่วนปลัดกองคนสุดท้ายคือ อาชญาโพธิสาร (พ.ศ. 2439) จากนั้นหัวเมืองลาวเกิดปัญหากบฏผีบุญประชาชนท้องถิ่นพยายามตั้งเมืองธาตุพนมเป็นศูนย์กลางการปกครองอีกครั้งโดยแผนการขององค์พระบาทและองค์ขุดซึ่งมีองค์มั่นเป็นหัวหน้า สยามปราบปรามด้วยอาวุธอย่างรุนแรงแผนการตั้งเมืองธาตุพนมจึงไม่สำเร็จ เอกสารพื้นพระบาทใช้ชาติระบุว่าปัญหาดังกล่าวเกิดจากพระอัคร์บุตร (บุญมี) ไม่พอใจสยามที่ตั้งพระพิทักษ์เจดีย์เป็นนายกองจึงขอความช่วยเหลือจากขบวนการผีบุญเข้ายึดธาตุพนมเพื่อให้ตนได้ปกครองธาตุพนมเหมือนบิดาและปู่ เมื่อไม่สำเร็จพระอัคร์บุตร (บุญมี) จึงข้ามไปอยู่ในอารักขาฝรั่งเศสที่เซบั้งไฟและถูกแต่งตั้งเป็น พระมหาสมเด็จราชาธาตุพระนมบุรมราชาเจดีย์มหาคุณ ปกครองกองข้าพระธาตุพนมฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเพียง 12 หมู่บ้านโดยกอมมิแชร์ข้าหลวงฝรั่งเศสตั้งขึ้นเป็นเมืองธาตุพนมทำให้ข้าพระธาตุพนมแยกเป็น 2 ฝ่าย ต่อมาได้สละตำแหน่งให้บุตรชายคือหลวงโพธิ์สาราชปกครองตามคำชักชวนของเจ้าเมืองสุวรรณเขตในตำแหน่ง สมเด็จเจ้าพระยาโพสาราชกัตติยะวงสาโอกาสะราชาพนมเจ้าเมืองพระธาตุพนมฝ่ายบ้านด่านปากเซ ภายหลังฝรั่งเศสย้ายเมืองธาตุพนมที่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงบ้านด่านปากเซไปเป็นเมืองปากเซจึงให้พระยาโพสาราชเป็นเจ้าเมืองต่อและตั้งท้าวกัตติยะ (ท้าวขัติยะ) หลานพระอัครบุตร์ (บุญมี) เป็นอุปฮาด ซึ่งก่อนนั้นไม่กี่ปีพระครูวิโรจน์รัตโนบล (บุญรอด นนฺตโร) เดินทางจากอุบลราชธานีเพื่อบูรณะพระธาตุพนมครั้งใหญ่ตามคำเชิญของพระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล) และพระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต) ธาตุพนมจึงถูกฟื้นฟูจากความเสื่อมอีกครั้ง หลังปฏิรูปการปกครองโดยยกเลิกระบบอาญาเมืองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. 2443 กองบ้านธาตุพนมถูกยกขึ้นเป็นบริเวณธาตุพนม สังกัดมณฑลอุดร (มณฑลลาวพวน) ตั้งศูนย์กลางราชการที่เมืองนครพนมโดยปกครองเมืองนครพนม ไชยบุรี ท่าอุเทน มุกดาหาร เรณูนคร อาษามารถ กุสุมาลย์มณฑล อากาศอำนวย โพธิไพศาล รามราช หนองสูง และพาลุกากรภูมิ มีพระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ (เลื่อง ภูมิรัตน์) หรือพระยาสุนทรนุรักษ์เป็นข้าหลวงประจำบริเวณ ขณะเดียวกันธาตุพนมก็ถูกยกขึ้นเป็นเมืองมีพระยาพนมนัครานุรักษ์ (กา พิมพานนท์ ณ นครพนม) เป็นผู้ว่าราชการเมืองธาตุพนมและเมืองนครพนม พระพิทักษ์พนมนคร (โก๊ะ มังคลคีรี) เป็นปลัดเมืองธาตุพนม คู่กับพระพิทักษ์นครพนม (โต๊ะ มังคลคีรี) ปลัดเมืองนครพนม ต่อมาบริเวณธาตุพนมถูกลดฐานะเป็นตำบลธาตุพนมขึ้นกับอำเภอเรณูนคร โดยพระบำรุงพนมเจดีย์ศรีมหาบริษัท (เทพจิตต์ บุคคละ) อดีตพระพิทักษ์เจดีย์นายกอง บุตร์คนโตของพระอัครบุตร์ (บุญมี) เป็นผู้รักษาราชการคนสุดท้ายเมื่อ พ.ศ. 2446 และมีหมื่นศีลาสมาทานวัตร (ศีลา บุคคละ) หรือหมื่นสำมาทานกำนัน น้องชายพระบำรุงพนมเจดีย์ (เทพจิตต์) เป็นกำนันตำบลธาตุพนมคนแรก (พ.ศ. 2446-2457) กำนันยุคต่อมาต่างมีบรรดาศักดิ์คือพระอนุรักษ์ธาตุเจดีย์ (สา บุปผาชาติ) ญาติพระครูศิลาภิรัต (หมี บุปผาชาติ) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม หลังธาตุพนมแยกเป็น 2 ตำบลหมื่นศีลาสมาทานวัตร (ศีลา) จึงดำรงตำแหน่งกำนันตำบลธาตุพนมใต้ ส่วนพระอนุรักษ์ธาตุเจดีย์ (สา) เป็นกำนันตำบลธาตุพนมเหนือ กำนันลำดับถัดมาคือขุนเปรมปูชนีย์ (บุญ สุภารัตน์) หรือขุนเปรมประชากร สมัยรัชกาลที่ 8 เมื่อประกาศยกเลิกระบบบรรดาศักดิ์ขุนนาง พระรักษพรหมา (พัน พรหมอารักษ์) บุตรหมื่นพรหมอารักษ์ (ทอก) อดีตกรมการบ้านหนองหอยจึงดำรงตำแหน่งกำนันบรรดาศักดิ์คนสุดท้ายของตำบล (พ.ศ. 2480-2488) จากนั้นนายสุนีย์ รามางกูร (บุคคละ) บุตรพระอัครบุตร์ (บุญมี) ดำรงตำแหน่งกำนันตำบลหลังยกเลิกบรรดาศักดิ์คนแรก (พ.ศ. 2488-2505) ภายหลังธาตุพนมได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอธาตุพนมทางราชการแต่งตั้งรองอำมาตย์เอก หลวงพิทักษ์พนมเขต (ศรีกระทุม จันทรสาขา) บุตรอำมาตย์เอก พระยาศศิวงศ์ประวัติ (เมฆ จันทรสาขา) อดีตเจ้าเมืองมุกดาหาร มาดำรงตำแหน่งนายอำเภอธาตุพนมคนแรกเมื่อ พ.ศ. 2461-2481 และได้รับพระราชทานนามสกุลจากราชทินนามเดิมว่า พิทักษ์พนม เมื่อ 4 กันยายน พ.ศ. 2485 การเปลี่ยนแปลงเขตการปกครอง[แก้]
ที่ตั้งและอาณาเขต[แก้]อำเภอธาตุพนมมีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียง ดังนี้
การแบ่งเขตการปกครอง[แก้]การปกครองส่วนภูมิภาค[แก้]อำเภอธาตุพนมแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 12 ตำบล 136 หมู่บ้าน ได้แก่ ลำดับ อักษรไทย อักษรโรมัน จำนวนหมู่บ้าน จำนวนประชากร (ธันวาคม 2565) 1. ธาตุพนม That Phanom 14 10,292 2. ฝั่งแดง Fang Daeng 11 6,754 3. โพนแพง Phon Phaeng 8 4,825 4. พระกลางทุ่ง Phra Klang Thung 16 7,378 5. นาถ่อน Na Thon 14 8,450 6. แสนพัน Saen Phan 8 3,787 7. ดอนนางหงส์ Don Nang Hong 11 6,556 8. น้ำก่ำ Nam Kam 20 12,239 9. อุ่มเหม้า Um Mao 9 5,890 10. นาหนาด Na Nat 10 5,664 11. กุดฉิม Kut Chim 7 4,352 12. ธาตุพนมเหนือ That Phanom Nuea 8 5,528 การปกครองส่วนท้องถิ่น[แก้]ท้องที่อำเภอธาตุพนมประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 12 แห่ง ได้แก่
สถานที่สำคัญ[แก้]
ประเพณีท้องถิ่นและงานประจำปี[แก้]
สถานศึกษา[แก้]
ชาติพันธุ์[แก้]
บุคคลสำคัญและบุคคลผู้มีชื่อเสียง[แก้]พระสงฆ์[แก้]
ฆราวาส[แก้]
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
อ้างอิง[แก้]
|