อัตชีวประวัติ ของตัวเอง ตัวอย่าง

คน ครอบครัวของฉันอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ แต่คุณพ่อนั้นเป็นคนจังหวัดเพชรบุรี คุณพ่อกับคุณแม่มาพบรักกันที่กรุงเทพฯ และได้แต่งงานกัน จนมีลูก 3 คน รวมถึงตัวดิฉันด้วย คุณพ่อทำงานเป็นโฟร์แมนที่ต่างจังหวัด คุณแม่เป็นแม่บ้านคอยดูแลลูกๆ คอยดูแลคุณตา คุณยาย

คุณพ่อทำงานเกี่ยวกับการก่อสร้าง ท่านเป็นหัวหน้าคุมงานสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ คุณแม่ทำงานราชการเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ส่วนตัวดิฉันและน้องชายทั้ง 2 คน ก็มีหน้าที่เรียนหนังสือ คุณพ่อและคุณแม่ท่านเป็นคนที่ขยัน และมีความอดทนมาก สิ่งที่ท่านทั้งสองนั้นทำก็เพื่อลูกๆทุกคน ท่านอยากเห็นลูกๆของท่านมีอนาคตที่สวยงาม ประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน คุณพ่อคุณแม่ท่านหวังในตัวดิแนมาก เพราะดิฉันเป็นลูกสาวคนโต ท่านอยากให้ดิฉันเป็นครู ส่วนตัวดิฉันเองนั้นก็อยากเป็นครูเช่นเดียวกัน ดิฉันอยากทำให้คุณพ่อคุณแม่ได้ภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้ ไม่อยากให้ท่านทั้งสองต้องผิดหวัง ดิฉันจะทำความสำเร็จนั้นให้เป็นจริงให้ได้ เพื่ออนาคตที่ดีของครอบครัว ครอบครัวของดิฉันเป็นครอบครัวที่อบอุ่นมาก เวลามีใครทำผิด คุณแม่ก็จะคอยพร่ำสอนอยู่เสมอ คอยเตือนสติ คำสั่งสอนของแม่นั้นเป็นคำสอนที่มีค่ามากล้นเหลือเกิน และลูกๆทุกคนจะคั้งใจฟังคำสอนของแม่โดยที่ไม่มีใครเถียงหรือโต้กลับท่านเลยสักคำ เพราะสิ่งที่ท่านพูดสิ่งที่ท่านได้สอนนั้นคือสิ่งที่ท่านอยากให้พวกเราได้ดีกันทุกคน ดิฉันและน้องๆจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของแม่อยู่เสมอ และแม่ก็ภาคภูมิใจเป็นอย่างมากที่ลูกๆนั้นเชื่อฟังคำของท่าน คุณพ่อคุณแม่ป็นคนที่ใจดี ชอบช่วยเหลือผู้คนเดือดร้อน เวลามีคนทุกข์ร้อนอะไรก็จะมาแม่ของฉัน แม่ก็จะช่วยเหลือไปเท่าที่ช่วยได้ ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็รักและเคารพแม่ของดิฉันมากเพราะท่านเป็นคนที่มีจิตใจเมตตาต่อทุกๆคน แม่เคยสอนว่า สิ่งไหนที่เราพอช่วยเขาได้ก็ช่วย แต่ไม่ต้องไปหวังผลตอบแทนใดๆ เพราะสิ่งที่เราทำไปจะส่งผลดีต่อตัวเราเองไม่วันนี้ก็วันข้างหน้าและวันต่อๆไป คำสอนของพ่อและแม่ทุกคำสอนนั้น ดิฉันยังจำได้เสมอไม่เคยลืม

ดิฉันภูมิใจมากที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อและแม่ เพราะท่านคือทุกสิ่งทุกอย่างของลูก คอยแนะนำ คอยสั่งสอน ดูแล ใส่ใจในทุกเรื่องๆ และคือผู้ที่เข้าใจเราได้ดีที่สุด คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งหัวใจหลักของลูกๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกมีนั้นก็เพราะท่านทั้งสองที่คอยยื่นสิ่งดีๆให้อยู่เสมอ

ชีวิตในอนาคตของฉัน

ถ้าดิฉันเรียนจบปริญญาตรีแล้ว ดิฉันจะเรียนต่อปริญญาโทเพื่อให้พ่อกับแม่ได้ภาคภูมิใจ ฉันอยากมีอนาคตที่ดีในหน้าที่การงาน มีหน้าที่การงานที่มั่นคง ทำงานที่ตนเองชอบ และมีเงินส่งให่คุณพ่อคุณแม่ใช้ทุกเดือนไม่ขาดมือ เพราะท่านเหนื่อยเพื่อเรามามากพอแล้ว ดิฉันอยากจะเลี้ยงดูท่านทั้งสองให้อยู่สุขสบาย ไม่อยากให้ท่านต้องลำบาก อยากให้พ่อกับแม่ได้พักบ้าง สิ่งไหนที่ดิฉันสามารถทำให้พ่อกับแม่มีความสุขได้ ดิฉันก็จะทำให้ท่านทุกอย่าง และที่สำคัญมีเวลาอยู่กับครอบครัวให้มากที่สุด

เวลา 4 ปีนั้นผ่านไปรวดเร็วมาก จนถึงตอนนี้ชีวิตการศึกษาเล่าเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยกำลังจะจบลง แต่ชีวิตของเรานั้นยังไม่จบ ชีวิตของเรายังต้องดำเนินต่อไป เป็นธรรมดาของชีวิตที่จะต้องเจอกับปัญหาต่างๆรุมเร้าเข้ามาให้คิดแก้ปัญหาอยู่เสมอ ขอให้เราจงสู้ต่อไป อย่ายอมแพ้ สู้เท่านั้นที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิต จงเก็บเอาเรื่องร้ายๆในอดีตมาเป็นบทเรียนล้ำค่า อันจะทำให้ตัวเรานั้นมีความเข้มแข็งและแกร่งกล้า สามารถต่อสู้กับภัยอันตรายต่างๆในภายภาคหน้าได้ด้วยความมาดมั่นและมั่นคง เริ่มเข้าศึกษาที่โรงเรียนระดับอนุบาลที่โรงเรียนวัดสามัคคีธรรม การเรียนในชั้นอนุบาลนั้นเท่าที่จำความได้ เป็นการฝึกเขียนตัวอักษร ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เรียนประมาณครึ่งวัน นอนอีกครึ่งวัน ตอนกลับบ้านก็จะนั่งรอมารดาขับรถมารับ เพราะตอนนั้นขึ้นรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างกลับบ้านไม่เป็น

พออายุย่างเข้า 7 ขวบก็เข้าศึกษาต่อระดับ ประถมศึกษาต้น จนจบระดับประถมศึกษาปลาย ที่โรงเรียนเดิม นอกจากการเรียนแล้ว กิจกรรมอื่นๆที่ทำก็เหมือนเด็กประถมทั่วไปในยุคนั้น เช่น เล่นกระโดดหนังยาง เล่นซ่อนหา เล่นแปะแข็ง เป็นต้น และในช่วงเวลาประถมนั้น เกิดเหตุให้ผมต้องมีรอยตำหนิ 2รอยด้วยกัน คือ

- รอยแผลที่น่องขาขวา เกิดจากที่ข้าพเจ้าปั่นจักรยานล้ม เลยโดนที่ปั่นของจักรยานเสียบเข้าไป ต้องส่งโรงพยาบาลเย็บอยู่หลายแผลเหมือนกัน

- รอยตำหนิที่เกิดจากตอนที่เป็นโรคอีสุกอีใส เป็นวงๆอยู่บนหัวไหล่ข้างซ้าย

รอยตำหนิ 2 รอยที่กล่าวมานี้ จนถึงตอนนี้ถ้าสังเกตดีๆก็ยังมองเห็นได้

ความสำเร็จและความล้มเหลว ที่น่ากล่าวถึงในช่วงที่เรียนระดับประถมศึกษานั้น คือช่วงประถม 2และ ประถม 4ที่สอบได้คะแนนเป็นอันดับต้นๆของห้อง (แต่ละห้องมีประมาณ 30-40คน) ตอนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสอบไปให้ได้อันดับต้นๆแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา รู้แต่ว่ามารดา และอาจารย์ชื่นชม เราก็ทำไปตามนั้น

พอถึงช่วงประถมศึกษาปีที่ 5 ก็มีเรื่องให้เรียนรู้หลายอย่าง เช่น ได้อ่านการ์ตูนซีรีย์เรื่อง โดราเอมอน ฉบับลิขสิทธิ์ เป็นพอกเกตบุคเล่มละ 25 บาท ซึ่งเป็นการ์ตูนที่ข้าพเจ้าชื่นชอบจนถึงบัดนี้ สะสมของเล่นจากร้านแมคโดนัล (ชุดของสะสมแฮปปี้มิลสำหรับเด็ก)เล่นกับเพื่อนๆ ช่วงนั้นก็ยังมีโอกาสได้เล่น วีดีโอเกมส์เป็นครั้งแรก ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นเครื่อง familyของ Nintendo แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย และยังเป็นครั้งแรกที่ดิฉันกลับบ้านได้ด้วยตัวเองโดยการขึ้นรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างอีกด้วย ผลการศึกษาในช่วงนั้นไม่น่าพอใจเท่ากับตอนที่ศึกษาอยู่ตอนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2และ 4โดยสอบได้อยู่ที่อันดับกลางๆของห้อง (อันดับ 19 ) ซึ่งก็คงเพราะไม่ได้สนใจการเรียนมากเหมือนที่ผ่านมานั่นเอง ข้อคิดของการใช้ชีวิตในช่วงนี้คือ อย่าไปสนใจการเรียนให้มากนัก ให้เราใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและสนุกสมกับเป็นวัยเด็กมากที่สุด เพราะโอกาสอย่างนี้จะไม่หวนกลับมาอีกแล้ว

พอถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าเริ่มสนใจการเรียนมากขึ้น เนื่องจากมีความจำเป็นต้องสอบเข้าชั้นระดับมัธยมศึกษาต้นในโรงเรียนอื่น เนื่องจาก โรงเรียนเดิมมีถึงเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่6ข้าพเจ้า และเพื่อนๆ จึงไปหาที่เรียนต่อที่อื่น โดยข้าพเจ้า และเพื่อนเก่าอีกบางส่วน ได้สอบเข้าโรงเรียนจันทร์หุ่นบำเพ็ญ และเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนแห่งนี้จนจบระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

เมื่อแรกเข้าศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ต้องเรียนรู้การปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆอีกหลายคน สิ่งที่แตกต่างจากโรงเรียนเดิมสมัยเด็กๆ อย่างเห็นได้ชัด คือ นักเรียนหญิง ม.ต้น จะไว้ผมยาวเกินบ่าไม่ได้ ต้องตัดผมสั้น นักเรียนหญิง ม.ปลายก็ต้องไว้ผมหางม้า และนักเรียนชายไม่ว่าระดับชั้นใดๆก็ห้ามไว้ผมยาวเกินประมาณ 1 เซนติเมตร

ผลการเรียนในระดับชั้นมัธยมต้นนั้น ได้รับผลการเรียนที่ค่อนข้างดีในช่วงแรกๆ เนื่องจากยังไม่ค่อยสนิทกับใครมากนักทำให้มีเวลาใส่ใจกับการเรียนอย่างเต็มที่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปข้าพเจ้าได้รู้จักกับเพื่อนที่สนิทกันมากขึ้น มีการทำกิจกรรมต่างๆที่นอกเหนือจากการเรียนมากขึ้น ส่งผลให้การเรียนแย่ลง

เมื่อขึ้นเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ก็มีเหตุจำเป็นที่ทำให้ต้องใส่ใจในการเรียนมากขึ้น เนื่องจากจะต้องมีการยื่นคะแนนสอบAdmission นำคะแนนมาเพื่อใช้ในการเลือกคณะเมื่อจบการเรียนในชั้นมัธยมศึกษา โดยข้าพเจ้าเลือกที่จะเรียนในโรงเรียนกวดวิชาต่างๆ เนื่องจากเพื่อนคนอื่นๆก็เลือกที่จะเรียนกวดวิชาเช่นกัน ผลจากการตั้งใจเรียนนั้น ทำให้ผลการเรียนออกมาค่อนข้างดี วิชาที่ข้าพเจ้าชอบในการเรียนช่วงนี้ คือ วิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่ข้าพเจ้าให้ความสนใจกับมันเป็นอย่างมาก ส่วนวิชาที่ไม่ค่อยได้ให้ความสนใจเลย คือ วิชาภาษาไทย ข้าพเจ้าเริ่มมาสนใจเกี่ยวกับศาสตร์ทางด้านการพูด การท่องเที่ยว โดยมูลเหตุมาจากการชอบแสดงออก ชอบพูดในที่สาธารณะ

ต่อมาเมื่อ มารดาของข้าพเจ้าได้แนะนำให้ข้าพเจ้า เลือกเรียนครู เนื่องจากมองเห็นในตัวข้าพเจ้าว่า เป็นอาชีพที่เหมาะกับข้าพเจ้า และอาชีพนี้ยังสร้างความมั่นคงให้กับข้าพเจ้าและครอบครัวได้อีกด้วย

จากคำแนะนำของมารดาที่ได้กล่าวมา ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเลือกคณะ ครุศาสตร์ สาขาการประถมศึกษา ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เป็นอันดับหนึ่ง

เมื่อได้เข้ามาเรียนนั้น คิดว่า รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เนื่องจากบ้านของข้าพเจ้าอยู่ไกล การจราจรติดขัดเป็นจำนวนมาก และเป็นเวลานานหลายชั่วโมง แต่เมื่อเรียนไปได้เรื่อยๆก็รู้สึกสนุก ไม่ตึงเครียด เริ่มมีเพื่อนสนิท และเริ่มจัดการความเครียดได้เป็นอย่างดี

ในอนาคต ข้าพเจ้าก็จะต้องเป็นคุณครู และทำหน้าที่คุณครูให้สุดความสามารถ จะได้สมกับที่ได้เล่าเรียนมา สิ่งที่ข้าพเจ้าภูมิใจเป็นอย่างมาก คือ ความสำเร็จของลูกศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่า แค่ได้ยินข่าวคราวของเขา ข้าพเจ้าก็สุขใจคะ

นักเรียนคิดว่าอัตชีวประวัติชีวประวัติที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร

แนวทางการเขียน ๑. ไม่ควรมุ่งเพียงเพื่อจะบอกว่าเป็นบุคคลใด แต่ควรชี้ให้เห็นว่าเขาเป็นคนอย่างไร ทำไมจึงเป็น เช่นนั้น ๒. เขียนด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอคติ ๓. เขียนจากเรื่องของคนที่มีตัวตนจริง ที่มีอายุยืนยาวพอสมควรหรือเกินครึ่งหนึ่งของชีวิตของเขา หรือบุคคลที่เสียชีวิตแล้ว เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงไม่ใช่เรื่องของบุคคลสมมติ ...

การเขียนชีวประวัติและอัตชีวประวัติแตกต่างกันอย่างไร

ชีวประวัติ คืองานเขียนที่กล่าวถึงเรื่องราวของบุคคล เป็นประวัติของบุคคลหนึ่งๆ ไม่กล่าวถึง วันเกิด อาชีพ การศึกษา แต่เพียงเท่านั้น หากแต่จะมีการกล่าวถึงเรื่องราวของแต่ละช่วงชีวิต และเหตุการณ์สำคัญที่ เกิดขึ้นในชีวิตด้วย ทั้งนี้ หากเป็นประวัติของผู้เขียนเอง จะเรียกว่า อัตชีวประวัติ การเขียนประวัติชีวิตเป็นงานเขียนร้อยแก้ว ...

การเขียนชีวประวัติและอัตชีวประวัติ คืออะไร

ชีวประวัติ คืองานเขียนที่กล่าวถึงเรื่องราวของบุคคล เป็นประวัติของบุคคลหนึ่งๆ ไม่กล่าวถึง วันเกิด อาชีพ การศึกษา แต่เพียงเท่านั้น หากแต่จะมีการกล่าวถึงเรื่องราวของแต่ละช่วงชีวิต และเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในชีวิตด้วย ทั้งนี้ หากเป็นประวัติของผู้เขียนเอง จะเรียกว่า อัตชีวประวัติ

การเขียนอัตชีวประวัติ ใช้ภาษาอะไร

๑. ใช้ภาษาระดับทางการหรือกึ่งทางการ ๒. เขียนครอบคลุมทั้งเรื่องในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตว่าคิดอย่างไร จะทำอย่างไร หรืออาจจะเล่าเหตุการณ์ คติประจำใจ หรือเหตุการณ์ที่ตนประทับใจ ๓. เขียนเกี่ยวกับครอบครัวของตน การศึกษา การทำงาน ตัวอย่างการเขียนอัตชีวประวัติ