ดาราจ น ท ม อ ทธ พลต อประเทศไทย

ไม่เคยเหงาจริงๆ สำหรับสังคมสีกากี ตอนนี้กระแส “ผู้กองแคท” ร.ต.อ.หญิง อาทิติยา เบ็ญจะปัก ตำแหน่งประจำสำนักเลขานุการตำรวจแห่งชาติ มาแรงแซงโค้งเกี่ยวกับประเด็นความเจริญก้าวหน้าทางอาชีพรับราชการของเธอที่ปรู๊ดปร๊าดราวติดจรวด เพราะใช้เวลาเพียง 3-4 ปี จากยศ “ส.ต.ต.” พรวดๆๆ ขึ้นเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรติดยศ “ร.ต.อ.”

และในระหว่างที่กระแสเริ่มแพร่กระจายในโลกออนไลน์ราวไฟลามทุ่ง พลันที่ “พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง” โฆษก ตร.ออกมาแถลง ยิ่งดูเหมือนเสียงวิพากษ์วิจารณ์กลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น

ท่านโฆษก ตร. ระบุชัดๆ ว่า “ผู้กองแคท” เข้ามาตามระบบถูกต้องตามขั้นตอนทุกประการ คือ ปี 2563 เธอสอบเข้าเป็นตำรวจ ชั้นประทวนยศ ส.ต.ต. ก่อนเข้าฝึกอบรมหลักสูตรข้าราชการตำรวจและบุคคลที่บรรจุ หรือโอนมาเป็นข้าราชการชั้นสัญญาบัตร (กอส.) ปี 2564 ได้ติดยศ ร.ต.ต. โดยใช้วุฒินิเทศศาสตร์มหาบัณฑิต (ปริญญาโท)... ใช้เวลา 8 เดือน เลื่อนเป็น ร.ต.ท. ต่อจากนั้นปี 2566 จึงติดยศ ร.ต.อ.ใช้เวลาทั้งสิ้น 1 ปี 8 เดือน

สิ้นคำแถลงของโฆษกสีกากี ในอีกด้านหนึ่งของสังคมโซเชียลฯ นอกจากไม่สามารถดับกระแส หรือความข้องใจของประชาชน และตำรวจชั้นผู้น้อยจำนวนมากที่ออกมาแสดงความเห็นตามเพจต่างๆ ข้อมูลจาก “พล.ต.ท.อาชยน” ที่ระบุว่า “ผู้กองแคท” ใช้เวลาไม่ถึง 2 ปี ก็สามารถสอยดาวมาประดับบ่าได้ถึง 3 ดวงนั้น มิใช่แค่เร็วปานจรวด ซึ่งใช้เวลา 3-4 ปี แต่เป็นจรวดติดเทอร์โบ ย่นระยะทางมาอีกครึ่ง ซึ่งไม่น่าจะมีใครทำได้ง่ายๆ นอกจากต้องมีความสามารถพิเศษสุด หรือมีอะไรยอดเยี่ยม ถูกใจผู้บังคับบัญชา

น่าเห็นใจบรรดา “ผู้น้อย” ที่รับราชการมานาน ก็ยังติดแหง็กอยู่ในชั้นยศต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

“มนัส บุญจำนงค์” นักมวยสากลแชมป์เหรียญทองโอลิมปิก 2004 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ และเหรียญเงิน โอลิมปิก 2008 ที่ประเทศจีน ก็ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก เล่าถึงการรับราชการของตนเองว่า

“เห็นคนแชร์เยอะมากตอนนี้ เรื่องติดยศ พวกผมทำชื่อเสียงมากันเยอะ หลายคนทำชื่อเสียงให้ประเทศชาติมาไม่รู้เท่าไร ยังไม่ได้เลื่อนยศและตำแหน่งเลย (หมดประโยชน์ก็หมดค่า)” ซึ่งมีชาวเน็ตแห่เข้าไปคอมเมนต์ กันจำนวนมาก

ในจำนวนนั้นมี “วรพจน์ เพชรขุ้ม” อดีตนักมวยสากลเหรียญเงิน โอลิมปิก 2004 ที่ประเทศกรีซ อีกหนึ่งคนเข้ามาคอมเมนต์ว่า “23 ปีเต็มๆ จ.ส.ต. สุดๆ ครับระบบราชการ ไม่ใช่ลูกท่านหลานเธอ ก็อย่าไปหวังอีกปีกว่าๆ คงไม่ต้องไปวุ่นวายกะระบบที่ยืนกุมไข่ และดีครับผม เหมาะสมครับท่าน”

โพสต์ล่าสุดของเพจเพื่อนตำรวจ หรือกระต่ายลายพระจันทร์ ซึ่งเป็นปากเป็นเสียงให้กับข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย มักมีข้อมูลแหลมๆ มาแทงก้นผู้บังคับบัญชาเป็นประจำนั้น ได้โพสต์ยอมรับว่า ถ้าถือตามกฎ ก.ตร. หรือระเบียบแบบแผนจริงกรณีของ “ผู้กองแคท” แม้จะทำได้ไม่ผิดกฎหมายข้อใด แต่ผู้บังคับบัญชาควรคำนึงถึงความเหมาะสม เนื่องจากยังมีข้าราชการตำรวจอีกจำนวนมาก ที่มีคุณสมบัติทัดเทียมกัน แต่กลับมิได้รับโอกาสขนาดนั้น บางคนรับราชการมาจนใกล้เกษียณ เพิ่งติดยศนายดาบตำรวจ หรือเพิ่งสอยดาวมาใส่บ่าได้เพียง 1 ดวง ติดยศ ร.ต.ต.เท่านั้น

คราวนี้ลองหันมาดูจุดประสงค์ และหลักการเปิดอบรมโครงการ กอส. กันสักหน่อย เข้าใจกันง่ายๆ เพราะท่านโฆษก สตช. ได้พูดไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า หลักสูตรดังกล่าวมีเพื่อเป็นขวัญกำลังใจกำลังพลชั้นประทวนที่มีความตั้งใจใฝ่หาความรู้ความสามารถ เป็นการให้โอกาสเพื่อความก้าวหน้าขยับขึ้นจากตำรวจชั้นประทวนเป็นชั้นสัญญาบัตรโดยเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา มีตำรวจสัญญาบัตรเพิ่มจากการอบรม กอส. ตำแหน่งทั่วไป 430 ตำแหน่ง ตำแหน่งสายงานสอบสวน 450 ตำแหน่ง

นอกจากนั้น ยังมีเหตุผลอื่น เช่น ต้องการความชำนาญในสาขาวิชาชีพเช่นจบหมอเข้าประจำ รพ.ตำรวจ ทหารเรือย้ายมาอยู่ตำรวจน้ำ เป็นต้นอีกเหตุผลสำคัญคือเป็นการให้โอกาสทายาทตำรวจที่เสียสละ

ท่านโฆษกตำรวจร่ายยาวพอสมควร แต่ไม่ยักอธิบายให้กระจ่าง ว่า แล้วสาขานิเทศศาสตร์ ซึ่งมีข้อมูลใหม่มาว่าเธอได้ศึกษาจบปริญญาเอก สาขานิเทศศาสตร์การตลาด มานั้นถือว่าขาดแคลน มีความจำเป็นขนาดไหนกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรงนี้หากมีเวลาถ้าจะตอบให้สังคมหายสงสัยก็คงดีไม่น้อย

เป็นอันว่า แม้ สตช. พยายามสยบจบกระแส แต่กลับกันจำเลยตัวจริงอาจไม่ใช่ “ผู้กองแคท” เพราะว่าไปแล้วถ้าเธอมีความรู้ความสามารถ จบการศึกษาขั้นปริญญาเอก แต่ยังยอมอุทิศตัวให้กับสังคมสีกากีย่อมนับได้ว่า สเปกอาจสูงเกินกว่าที่ควรเป็น และยิ่งเห็นโปรไฟล์ของเธอ ทั้ง ฐานะครอบครัว หน้าที่การงาน ความสำเร็จก่อนตัดสินใจมารับราชการตำรวจมันเพียบพร้อมไม่ธรรมดาเชียวแหละ

แต่ถึงอย่างไรผู้บังคับบัญชาที่อาจมองเห็นเฉพาะมุมนี้ ท่านก็ควรตระหนัก เพราะความเป็นจริงอีกด้าน ใครได้กระทำอะไรไว้กับ “ลูกในไส้” หรือตำรวจชั้นประทวน ที่รับใช้ สตช.มาอย่างยาวนาน มีทั้งรับใช้มาครึ่งชีวิต รับใช้เกือบทั้งชีวิตอีกเป็นเรือนแสน

เรื่องนี้จึงย้อนกลับไปยังการตั้งคำถามของเพจเพื่อนตำรวจที่ระบุว่า สตช.ควรคำนึงถึงความเหมาะสม (ความรู้สึก)

มีข้อเท็จจริงบางประการที่อยากพิสูจน์กัน นั่นคือ สตช.กล้าเปิดเผยรายชื่อผู้เข้าอบรม กอส.ย้อนหลังตั้งแต่ยุคแรกมาจนถึงปัจจุบันหรือไม่ มาดูกันว่าจะมีพวกนามสกุลดัง ลูกหลานผู้อุปการคุณ สตช. สักกี่คน ข้อสงสัย ข้อกล่าวหาที่มาจากตำรวจด้วยกันเอง สตช.พร้อมพิสูจน์หรือไม่

จริงหรือเท็จประการใด คณะผู้บริหารต้องตระหนัก อย่าทำลายขวัญกำลังใจคนของตัวเองด้วยระบบเส้นสาย หรือความเหลื่อมล้ำ

สรุปแล้วรู้สึกเห็นใจ “ผู้กองแคท” และตำรวจชั้นประทวน ที่จบปริญญา แต่ถูกทอดทิ้ง ไร้เจ้านายเหลียวแล ซะงั้น

บอกตรงๆ ว่า จำเลยที่น่าตำหนิ ก็คือ พวกหัวหงอกหัวดำใน สตช.นั่นแหละ....พวกนี้ สมควรถูกด่าที่สุด!

**นักวิชาการ นักการเมือง ดารา นักเคลื่อนไหวมวลชน “เสิ้อส้ม” รวมหัวออกมาแก้ต่างแทน พิธา หลังโอนหุ้นไอทีวี ออกไปแล้ว

แม้ว่า “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ ในฐานะผู้จัดการมรดกของครอบครัว จะโอนหุ้น “ไอทีวี” ออกไปให้ทายาทอื่นหมดแล้ว แต่ก็มีนักวิชาการ นักกฎหมาย กระทั่งอดีต กกต. ออกมาให้ความเห็นว่า ถ้าเป็นการโอนหลังการสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น เหมือนยอมรับผิดเสียด้วยซ้ำ ทำให้กระแสสังคมเริ่มเห็นคล้อยตามว่า งานนี้พิธา อาการ “โคม่า”

สถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ยอมไม่เป็นคุณกับการตั้งรัฐบาล 8 พรรค ที่มีก้าวไกล เป็นแกนนำ

ดังนั้น ก้าวไกลจึงต้องเร่งแก้เกมนี้ ...สังเกตได้ว่า ช่วงนี้เริ่มมี นักกฎหมาย นักการเมือง นักเคลื่อนไหวมวลชน รวมทั้งดารา ออกมาแสดงความเห็น ในเชิงแก้ต่างแทน “พิธา” กันอย่างคึกคัก

นักวิชาการขวัญใจนักกิจกรรม “ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล” อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ พูดถึงเรื่องนี้ ว่า การที่มีคนบอกว่า “พิธา” ร้อนตัว ไม่ผิดจะสละมรดกทำไม ... ก็เพราะมีคนพยายามคืนชีพไอทีวี ให้เป็นสื่อ เกิดเจ้าของตัวจริง หรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เอาเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนในกิจการสื่อมวลชน ฟื้นชีพ จากที่ไม่มีการประกอบการมา 17 ปี หุ้นในมือจากที่ไม่เป็นสื่อ ก็จะกลายเป็นสื่อขึ้นมาทันที ...ดังนั้น การโอนหุ้นออกไป ทำให้เรื่องนี้มันจบไปเสีย เป็นเรื่องถูกต้องแล้ว

“อ.ปริญญา” บอกว่า ขอพูดแบบไม่อ้อมค้อมว่า รธน.60 วางกับระเบิดไว้เพียบ เอาไว้จัดการฝ่ายตรงข้าม ถ้าเป็นพวกตัวเองก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่ใช่พวกก็สอย และต้องไม่ลืมว่า องค์กรอิสระทั้งหลาย มีความยึดโยงกับ คสช.ทั้งนั้น ดังนั้น การโอนหุ้นออกไปเพื่อเป็นการป้องกันตัวเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว จะได้ไม่ต้องมามีปัญหาว่า ไอทีวี เป็นสื่อหรือไม่

พร้อมกันนี้ “อ.ปริญญา” ยังให้ความเห็นในประเด็นจำนวนหุ้นที่พิธาเคยถือว่ามีแค่ 42,000 หุ้นเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.0035% ถือว่าน้อยมาก จนไม่มีผลอะไรในการตัดสินใจ ไม่ถูกเชิญเข้าร่วมประชุมด้วยซ้ำ จึงไม่มีอิทธิพลไปครอบงำสื่อ เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการเมืองแก่ตนเองได้ ...

เป็นการตอบโต้นักกฎหมายบางคนที่บอกว่า แค่มีหุ้นเดียวก็ผิดแล้ว เพราะไม่ว่าจะถือเท่าไร ก็เป็นการถือหุ้นสื่อ

“น.ต.ศิธา ทิวารี” แคนดิเดตนายกฯ พรรคไทยสร้างไทย หนึ่งใน 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล คนนี้เหน็บแรง โดยโพสต์เฟซบุ๊ก ... ในหัวข้อ “คนถือหุ้น vs คนถือปืน” ว่า “พิธา” เป็นคนธรรมดาเต็มขั้น ประชาชนอุตส่าห์เลือกมา หวังจะให้เป็นนายกรัฐมนตรี แค่ถือหุ้น ITV แค่ 0.0035% ถูกตรวจสอบ จะเป็นจะตาย กลัวครอบงำสื่อ กลัวประชาธิปไตยไม่เป็นธรรม กลัวได้เปรียบเลือกตั้ง

ที “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี เป็นอดีต ผบ.ทบ. มีอำนาจล้นฟ้า ตัวเองอยากเป็นนายกฯ ก็สั่งลูกน้อง ถือปืน ขับรถถัง ออกมายึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ ทำลายประชาธิปไตย กลับไม่ถูกตรวจสอบ เพราะตั้งองค์กรอิสระเอง และออกกฎหมายอภัยโทษตัวเองเรียบร้อย อยู่มา 9 ปี ยังทำทุกวิถีทาง เพื่อสืบทอดอำนาจ สืบแล้ว สืบอยู่ สืบต่อ!!

ตอนท้าย “น.ต.ศิธา” ได้ติดแฮชแท็กข้อความว่า... #หลักการ ใดๆไม่ต้องพูดถึง สู้กันด้วย #หลักกู & #นิติสงคราม ผ่าน

ProxyWarfare สงครามตัวแทน การเมืองแบบนี้ #ประเทศกูมี

ThailandOnly ที่เดียวในโลกเท่านั้น

“พอล ภัทรพล” อดีตดารานักแสดงชื่อดัง ซึ่งปัจจุบันที่ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจ, นักลงทุน ได้โพสต์คลิปลงใน TikTok พร้อมระบุแคปชันว่า “คุณพิธารอดคดีหุ้น ITV แน่นอน แต่ มี 1 คนที่ไม่ควรรอด”

“พอล ภัทรพล” บอกว่า ต้องดูที่จุดประสงค์ของกฎหมาย ว่า ทำไมถึงไม่อยากให้นักการเมือง หรือ ส.ส.ถือหุ้นสื่อ เพราะกลัวว่านักการเมือง หรือ ส.ส.จะมีอิทธิพลต่อสื่อ เช่น เขียนข่าวเชียร์จะทำให้ได้เปรียบผู้อื่น แต่เรื่องนี้ มีคดีคล้ายกัน ที่ศาลตัดสินไปแล้ว เมื่อวันที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา เป็นคดีของ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือหุ้น AIS 200 หุ้น ซึ่ง AIS มีบริษัทลูก ที่ทำสื่อ... กรณีนี้ ศาลตัดสินว่าไม่ผิด เพราะถือหุ้นสื่อน้อยไป น้อยจนไม่มีอำนาจไปสั่งการใดๆ ซึ่งก็เหมือนกับที่ “พิธา” ที่ถือหุ้น ITV เพียง 42,000 หุ้น ซึ่งคิดเป็น 0.0035% เท่านั้น

ยังมี ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ถือหุ้นสื่อ และบริษัทนี้ จดวัตถุประสงค์ด้วยว่าเป็นสื่อ แต่ศาลดูลึกกว่านี้ แล้วพบว่าบริษัทนี้ไม่ได้มีรายได้จากสื่อ แต่มีรายได้จากการอบรม จึงตัดสินว่าไม่ผิด

หรือ กรณี ส.ส.ภูมิใจไทย ที่ถือหุ้นสื่อ และตัวบริษัทก็จดวัตถุประสงค์ว่าเป็นสื่อ แต่พอดูงบการเงินก็พบว่า บริษัทนี้รายได้ไม่ได้มาจากสื่อ แต่มาจากการจัดแข่งขันกีฬา ศาลจึงวินิจฉัยว่าไม่ผิด ซึ่งไม่ต่างจากกรณีของ พิธา และ ITV เลย

ทุกวันนี้รายได้ของ ITV มาจากการลงทุนเท่านั้น ไม่ได้มาจากการทำสื่อ เพราะหยุดออกอากาศตั้งแต่ปี 2550 แล้ว

ยิ่งเรื่องเป็น “ผู้จัดการมรดก” มองว่าเรื่องนี้ไร้สาระมาก ไม่ควรเอามาเป็นเรื่องเลยด้วยซ้ำ เพราะว่า ผู้จัดการมรดกไม่ใช่เจ้าของมรดก ดังนั้น หุ้นที่ถือจึงไม่ใช่ของ “พิธา”

เรื่องนี้จึงไม่มีจุดที่จะเอาผิด “พิธา” ได้เลย แต่มีผู้ที่ผิดเต็มๆ คือ คสช. เพราะการทำปฏิวัติ รัฐประหาร นั้นผิดกฎหมายอาญา มาตรา 113 ชัดเจน...

ส่วนนักเคลื่อนไหวมวลชน อย่าง “สมยศ พฤกษาเกษมสุข” แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา ประชาธิปไตย ได้นำมวลชนไปที่สำนักงาน กกต. เมื่อวานนี้ (8 มิ.ย.) เพื่อยื่นหนังสือต่อ กกต. เรียกร้องให้รีบรับรองผลการเลือกตั้ง เพื่อจะได้มีการเลือกนายกฯและตั้งรัฐบาลกันได้เสียที โดยขีดเส้นไว้ว่า ต้องไม่เกินวันที่ 20 มิ.ย.นี้

“สมยศ” ยังมีข้อเรียกร้องในเชิงข่มขู่ว่า กกต. ต้องไม่รับพิจารณาคดีพิธาถือหุ้นสื่อ!!

เพราะเป็นการใช้ข้อกำหนดรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งอาจจะนำไปสู่การออกมาชุมนุมประท้วงกันขนาดใหญ่ได้

ตอนนี้คนที่รับบทหนัก คือ กกต. ซึ่งต้องดูว่า กกต.จะสรุปออกมาว่าอย่างไร เพราะรัฐธรรมนูญ แม้จะเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็ตีความเป็นสองทางได้เสมอ และหากเรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ปมปัญหาที่เคยตีความกันไปคนละทางสองทางนั้น ก็จะมีข้อยุติตามเสียงข้างมาก ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ