โรคหอบหืด เกิดจากการที่หลอดลมตอบสนองต่อสิ่งที่มากระตุ้นมากกว่าปกติ ทำให้หลอดลมเกร็ง และบวม คนที่มีอาการรุนแรงมากอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ โรคหอบหืดเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมไม่ให้อาการกำเริบได้ โรคหืดเป็นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังของหลอดลมร่วมกับมีภาวะหลอดลมไวและหลอดลมตีบแคบ เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลอดลม ซึ่งเป็นๆ หายๆ เป็นโรคเรื้อรังที่พบบ่อยในประเทศไทย พบในเด็กจำนวนมากถึง 10 –15% (ผู้ใหญ่พบน้อยกว่าคือ 8-10%) จากการสำรวจพบว่าอุบัติการณ์ของโรคนี้เพิ่มขึ้นสูงกว่าแต่ก่อนมาก และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อาการของผู้ป่วยโรคหืด จะหอบเหนื่อยเป็นๆ หายๆ สมรรถภาพในการทำงานของปอดลดลง ทำให้เหนื่อยง่ายกว่าคนปกติ บางครั้งจะมีอาการหอบรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉิน เข้านอนรับการรักษาต่อเนื่องในโรงพยาบาล 2 ใน 3 ของเด็กที่เป็นโรคหืดจะมีภาวะภูมิแพ้ร่วมด้วยเมื่อผู้ป่วยเด็กมีอาการทางจมูกมากขึ้น ก็จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการหอบมากขึ้นได้ และในทางตรงกันข้ามถ้าได้ควบคุมอาการของโรคทางจมูกได้ดี ก็จะทำให้อาการหอบหืดน้อยลงด้วย โรคหืด (ภาษาอังกฤษ : Asthma) หรือที่คนทั่วไปมักเรียกว่า “โรคหอบหืด” คือ โรคที่เกิดจากการหดตัวหรือตีบแคบของระบบทางเดินหายใจเป็นครั้งคราว ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหายใจหอบเหนื่อยเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง แต่ส่วนมากจะไม่มีอันตรายร้ายแรง ยกเว้นในรายที่เป็นมากหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ก็อาจทำให้เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นถาวรหรือทำเป็นอันตรายถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ โรคหอบหืดเป็นโรคทางเดินหายใจเรื้อรังชนิดหนึ่ง (ไม่ใช่โรคติดต่อ) ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการใช้ชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก เช่น ในเด็กทำให้เกิดการพัฒนาช้า เรียนและทำงานได้ไม่เต็มที่ ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันหรือเล่นกีฬาได้อย่างเป็นปกติ ยิ่งเมื่อสภาพอากาศเกิดการแปรปรวนหรือมีมลภาวะเป็นพิษมากเท่าไหร่ ผู้ป่วยยิ่งได้รับผลกระทบในการดำเนินชีวิตมากขึ้นและส่งผลอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรหมั่นสังเกตตัวเองและเตรียมพร้อมรับมือกับอาการกำเริบที่อาจเกิดขึ้นและรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีโอกาสเกิดได้ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ แต่มีความชุกสูงสุดอยู่ที่ช่วงอายุ 10-12 ปี ในวัยเด็กจะพบในเด็กชายได้มากกว่าเด็กหญิงประมาณ 1.5-2 เท่า ส่วนใหญ่มักมีอาการเกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่อายุก่อน 5 ปี มีส่วนน้อยที่เกิดอาการขึ้นครั้งแรกในวัยหนุ่มสาวและวัยสูงอายุ ในบ้านเราโรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อย และคาดว่าจะมีผู้ป่วยไม่น้อยกว่า 3 ล้านคน โดยพบในเด็กมากถึง 10-12% ของเด็กทั้งหมด ส่วนในผู้ใหญ่พบได้ประมาณ 6.9% (เคยมีการสำรวจนักเรียนในกรุงเทพมหานคร พบว่ามีความชุกของโรคนี้อยู่มากถึง 4-13%) และทั่วโลกพบว่าโรคนี้มีแนวโน้มเกิดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมืองที่มีสิ่งแวดล้อมที่เป็นมลพิษและสารก่อภูมิแพ้ รวมถึงวิถีชีวิตที่ส่งเสริมให้เกิดโรคนี้ ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากโรคหอบหืดเพิ่มขึ้นทุกปี ตั้งแต่ 66,679 คนในปี พ.ศ.2538 เป็น 102,273 คนในปี พ.ศ.2552 ส่วนผู้เสียชีวิตจาก 806 คนในปี พ.ศ.2540 ก็เพิ่มขึ้นเป็น 1,697 คนในปี พ.ศ.2546 ด้วยเช่นกัน (องกรณ์อนามัยโลก (WHO) ได้ระบุว่ามีจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคหอบหืดทั่วโลกสูงมากกว่า 300 ล้านคน) สาเหตุของโรคหอบหืดโรคนี้เกิดจากปัจจัยร่วมกันหลายประการ ทั้งทางด้านกรรมพันธุ์ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การติดเชื้อ และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้มีการอักเสบเรื้อรังของหลอดเลือด ทำให้หลอดลมมีความไวต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ได้มากกว่าคนปกติจนเป็นเหตุทำให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลอดลม เกิดการบวมของเนื้อเยื่อผนังหลอดลม และมีเสมหะมากในหลอดลม จึงมีผลโดยรวมคือทำให้หลอดลมตีบแคบลงเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นชนิดผันกลับได้ (Revesible) ซึ่งสามารถกลับคืนเป็นปกติได้เองหรือภายหลังจากการใช้ยา ผู้ป่วยบางรายอาจมีการอักเสบของหลอดลมอย่างต่อเนื่องนานเป็นแรมปี หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โครงสร้างของหลอดลมจะค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงจนในที่สุดมีความผิดปกติ (Airway remodeling) ชนิดไม่ผันกลับ (Irreversible) ทำให้เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร ผู้ป่วยมักมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ผิวหนังจากภูมิแพ้ และมักมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายหรือญาติพี่น้องเป็นหืดหรือโรคภูมิแพ้อื่น ๆ นอกจากนี้ยังพบปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ได้มากขึ้นด้วย ได้แก่ ทารกที่มีมารดาสูบบุหรี่ในขณะตั้งครรภ์, ทารกที่คลอดก่อนกำหนดหรือมีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย, การสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ในปริมาณมากตั้งแต่ในช่วงขวบปีแรก, เด็กที่อาศัยในบ้านที่พ่อหรือแม่สูบบุหรี่, การติดเชื้อไวรัสตั้งแต่เล็ก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวรัสอาร์เอสวี เป็นต้น สาเหตุกระตุ้นให้อาการหอบหืดกำเริบผู้ป่วยมักมีอาการกำเริบเมื่อมีสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้น ซึ่งที่พบบ่อยได้แก่
อาการของโรคหอบหืดผู้ป่วยมักมีอาการแน่นอึดอัดในหน้าอก หรือหอบเหนื่อยร่วมกับหายใจมีเสียงดังวี้ดคล้ายเสียงนกหวีด (ในระยะแรกจะได้ยินเสียงนี้ในขณะที่หายใจออก แต่ถ้าเป็นมากขึ้นก็จะได้ยินทั้งในขณะที่หายใจเข้าและหายใจออก) อาจมีอาการไอ ซึ่งมักมีเสมหะใสร่วมด้วย บางรายอาจมีเพียงอาการแน่นอึดอัดในหน้าอกหรือไอเป็นหลัก โดยไม่มีอาการอื่น ๆ ชัดเจนก็ได้ถ้าหลอดลมไม่ตีบมากนัก อาการไอจะดูคล้ายไข้หวัด จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือหลอดลมอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรกเริ่มของโรคนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการไอมากในตอนกลางคืนหรือตอนเช้ามืด ในช่วงอากาศเย็นหรืออากาศเปลี่ยน หรือวิ่งเล่นมาก ๆ ในเด็กเล็กอาจไอมากจนอาเจียนออกมาเป็นเสมหะเหนียว ๆ และรู้สึกสบายหลังได้อาเจียน ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการภูมิแพ้ เช่น คัดจมูก คันคอ เป็นหวัด จาม หรือมีผื่นคันร่วมด้วย หรือเคยมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้มาก่อน ในช่วงที่ไม่มีอาการกำเริบ ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายเช่นคนปกติทั่วไป ในรายที่เป็นเพียงเล็กน้อยถึงปานกลางมักจะมีอาการเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวและอาการมักกำเริบขึ้นมาทันทีเมื่อมีสาเหตุมากระตุ้น (ผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบากจะลุกขั้นมานั่งฟุบกับโต๊ะหรือพนักเก้าอี้และหอบตัวโยน) ส่วนในรายเป็นที่รุนแรงมักจะมีอาการต่อเนื่องตลอดทั้งวันจนกว่าจะได้ยารักษา จึงจะรู้สึกหายใจโล่งสบายขึ้น ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคหอบหืดรุนแรง เช่น เคยหอบรุนแรงจนต้องไปรักษาที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลบ่อย เคยต้องใส่ท่อหายใจช่วยชีวิต ต้องใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดกินหรือฉีด หรือต้องใช้ยากระตุ้นเบต้า 2 ชนิดออกฤทธิ์สั้น สูดมากกว่าเดือนละ 1-2 หลอด ถ้าขาดการรักษาหรือได้รับยาไม่เพียงพอในการควบคุมอาการ ผู้ป่วยอาจมีอาการหอบอย่างต่อเนื่องเป็นชั่วโมง ๆ ถึงเป็นวัน ๆ แม้จะใช้ยารักษาตามปกติที่เคยใช้ก็ไม่ได้ผล เรียกว่า “ภาวะหืดดื้อ” หรือ “ภาวะหืดต่อเนื่อง” (Status asthmaticus) ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบาก ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนและมีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดภาวะเลือดเป็นกรด มีอาการสับสน หมดสติ ในที่สุดก็จะหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้น เสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว IMAGE SOURCE : www.availclinical.comอาการที่เข้าข่ายเป็นโรคหอบหืดหากผู้ป่วยมีอาการข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้สงสัยว่าเป็นโรคหอบหืด
ระดับความรุนแรงของโรคหอบหืดโรคหอบหืดอาจแบ่งตามความรุนแรงของโรคออกเป็น 4 ระดับ โดยอาศัยจากความถี่ของอาหารหอบในตอนกลางวัน ความถี่ของอาการหอบกลางคืน การวัดสมรรถภาพของปอด และการวัดค่าความผันผวนของพีอีเอฟอาร์ (PEFR) ซึ่งการจำแนกความรุนแรงจะช่วยให้แพทย์สามารถให้ยารักษาได้เหมาะกับระดับความรุนแรง ตารางการจำแนกระดับความรุนแรงของโรคหอบหืด ระดับความรุนแรง|อาหารหอบกลางวัน|อาการหอบกลางคืน|ค่า PEFR|ความผันผวนของค่า PEFR หมายเหตุ : ค่า PEFR หรือ Peak Expiratory Flow Rate คือ อัตราการไหลของลมหายใจออกสูงสุด หลังจากสูดหายใจเข้าเต็มที่ (มีหน่วยเป็นลิตร/นาที) ภาวะแทรกซ้อนของโรคหอบหืดโดยทั่วไปโรคหอบหืดจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง แต่ในรายที่มีอาการรุนแรงและเป็นเรื้อรังอาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้
การวินิจฉัยโรคหอบหืดการวินิจฉัยโรคหอบหืดนั้นแพทย์สามารถทำได้โดยการซักประวัติและตรวจร่างกาย โดยในเบื้องต้นแพทย์จะถามถึงประวัติการเป็นหอบหืดของคนในครอบครัว รวมทั้งประวัติของการเกิดอาการและสัญญาณของหอดหืดอย่างละเอียด เช่น มีอาการไอ หอบ หายใจมีเสียงวี้ดเป็น ๆ หาย ๆ หรือมีอาการไออย่างเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างในตอนกลางคืน และอาจมีการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การตรวจเอกซเรย์ปอดเพื่อดูว่าไม่มีโรคอื่นที่มีอาการคล้าย ๆ กัน (เพราะการตรวจเอกซเรย์ปอดในผู้ป่วยโรคหอบหืดจะไม่พบความผิดปกติ) ส่วนวิธีการตรวจที่สามารถยืนยันได้ผู้ป่วยเป็นโรคหอบหืดจริงหรือไม่ คือ “การตรวจสมรรถภาพปอด” ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธีและผู้ป่วยควรได้รับการตรวจทุกคน เพราะนอกจากจะช่วยวินิจโรคได้แล้ว ยังช่วยให้รู้ถึงระดับความรุนแรงของโรค ใช้ติดตามดูผลการรักษาว่าดีขึ้นมากน้อยเพียงใด และสมรรถภาพปอดกลับมาเป็นปกติหรือยัง เป็นต้น
สิ่งที่ตรวจพบในผู้ป่วยโรคหอบหืด
การรักษาโรคหอบหืดเมื่อมีอาการต้องสงสัยดังกล่าวก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เมื่อไปพบแพทย์สิ่งที่แพทย์จะให้การดูแลรักษาก็คือ 1. เมื่อมีอาการหอบหืดกำเริบฉับพลัน ให้สูดยากระตุ้นเบต้า 2 ทันที แต่ถ้าไม่มียาชนิดสูดแพทย์จะฉีดยากระตุ้นเบต้า 2 เข้าใต้ผิวหนังแทน ถ้าอาการของผู้ป่วยยังไม่ทุเลาแพทย์จะให้ยาสูดหรือยาฉีดดังกล่าวซ้ำได้อีก 1-2 ครั้ง ทุก 20 นาที เพราะสิ่งสำคัญอย่างแรกคือการรักษาและควบคุมโรคให้ทันและเร็วที่สุดเมื่อมีอาการ หากผู้ป่วยรู้สึกหายดีแล้ว แพทย์จะทำการประเมินอาการ สาเหตุกระตุ้น และประวัติการรักษาของผู้ป่วยรายนั้นอย่างละเอียด โดยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ
ตารางขั้นตอนการรักษาผู้ป่วยโรคหอบหืดในผู้ใหญ่และเด็กอายุมากกว่า 5 ปี* การรักษา|ขั้นที่ 1|ขั้นที่ 2|ขั้นที่ 3|ขั้นที่ 4|ขั้นที่ 5 ให้ยาบรรเทาอาการ ทั้งขั้นที่ 1-5 แพทย์จะให้สูดยากระตุ้นเบต้า 2 ชนิดออกฤทธิ์สั้นเมื่อมีอาการ (อาจใช้ยาอื่นแทนได้ เช่น ยากินกระตุ้นเบต้า 2 ชนิดออกฤทธิ์สั้น, ยากินทีโอฟิลลีนชนิดออกฤทธิ์สั้น, ยาสูดไอพราโทรเพียมโบรไมด์ เป็นต้น) แต่ไม่แนะนำให้ยากระตุ้นเบต้า 2 เป็นประจำ ยกเว้นในกรณีที่มีการใช้ยาสเตียรอยด์สูดเป็นประจำ ให้สุขศึกษา ทั้งขั้นที่ 1-5 แพทย์จะอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจถึงธรรมชาติของโรคนี้ และให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้นต่าง ๆ หมายเหตุ : สำหรับเด็กที่อายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 5 ปี แพทย์จะเริ่มการรักษาในขั้นที่ 2 นี้ด้วยการให้ยาสูดสเตียรอยด์ในขนาดต่ำ
ตารางการแบ่งระดับของการควบคุมโรคหลังได้รับการดูแลรักษาแล้ว ลักษณะ|กลุ่มควบคุมได้ (มีครบทุกข้อ)|กลุ่มควบคุมได้บางส่วน (มีข้อใดข้อหนึ่งในสัปดาห์ใดสัปดาห์หนุ่ง)|กลุ่มควบคุมไม่ได้ (มี 3 ข้อขึ้นไปตามในสัปดาห์ใดสัปดาห์หนึ่ง) หมายเหตุ : ในเด็กอายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 5 ปี ไม่ต้องใช้ค่า PEFR เพราะยังไม่สามารถตรวจสมรรถภาพปอดได้ 2. ถ้าผู้ป่วยมีอาการกำเริบและมีลักษณะตามข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ ควรรีบนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว ซึ่งแพทย์มักจะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล (ส่วนในรายที่มีสาเหตุไม่ชัดเจน อาจต้องมีการตรวจพิเศษต่าง ๆ เพิ่มเติม)
3.ในผู้ป่วยที่แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคหอบหืดกำเริบรุนแรงหรือภาวะหืดต่อเนื่อง แพทย์จะมีแนวทางในการรักษาดังนี้ (เมื่อควบคุมอาการได้แล้ว แพทย์จะนัดติดตามดูอาการภายใน 2-4 สัปดาห์)
4. ผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดทุกราย แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาระยะยาวเพื่อควบคุมอาการให้น้อยลง ป้องกันอาการกำเริบรุนแรงเฉียบพลัน ฟื้นฟูสมรรถภาพของปอดให้กลับคืนสู่ปกติ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ป้องกันการเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร โดยจะมีแนวทางในการดูแลรักษาดังนี้
คำแนะนำและข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด
การป้องกันโรคหอบหืดปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันโรคหอบหืด เพราะโรคนี้มีสาเหตุมาจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ในเด็กที่พ่อแม่เป็นโรคหอบหืดลูกก็จะมีโอกาสเป็นโรคหอบหืดได้เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยที่ป้องกันไม่ได้ แต่ผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดก็สามารถสังเกตอาการของตนเอง ควบคุมไม่ให้มีอาการหอบหืดกำเริบ และใช้ชีวิตอย่างปกติได้ โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
เอกสารอ้างอิง
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai) เมดไทย เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด |