๑.๑ ประวัติและความสำคัญของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเป็นศาสตร์แห่งการศึกษา คำว่า “การศึกษา” มาจากคำว่า “สิกขา” โดยทั่วไปหมายถึง “กระบวนการเรียน “ “การฝึกอบรม” “การค้นคว้า” “การพัฒนาการ” และ
“การรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งปวง” จะเห็นได้ว่า การศึกษาในพระพุทธศาสนามีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับต่ำสุดถึงระดับสูงสุด เมื่อ 1. การศึกษาระดับโลกิยะ มีความมุ่งหมายเพื่อดำรงชีวิตในทางโลก คำศัพท์พระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ศัพท์ที่เป็นชื่อบุคคลทางพระพุทธศาสนา ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษา
สามารถพิจารณาได้ดังนี้คือ 3. คำว่า “สิกขา” ในภาษาสันสกฤตเขียนเป็น “ศึกษา” มีความหมายครอบคลุมพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติทางศีล สมาธิ หรือปัญญา อยู่ในขอบข่ายของคำว่า “สิกขา” ทั้งสิ้น ในการรับกุลบุตรเข้าบวชเป็นภิกษุ พระอุปัชฌาย์อาจารย์สอนในเชิงปฐมนิเทศครั้งแรก จบลงด้วยคำว่า “พึงศึกษา” 4. คำว่า “สิปปะ พาหุสัจจะ” สิปปะ คือ ศิลปะ พาหุสัจจะ คือ การได้ศึกษามากในวิชาหลายด้าน 5.คำว่า“จักษุปัญญาวิชาญาณอาโลกะ”คำเหล่านี้หมายถึงความรู้ทั้งสิ้นปัญญานั้นมีขอบเขตหมายถึงความรู้ได้ทุกระดับที่เป็นพื้นฐานของปัญญาเมื่อพระพุทธศาสนาเป็นกระบวนการแห่งความรู้ย่อมเป็นการแน่นอนว่าพระพุทธศาสนาได้กล่าวสรรเสริญความรู้ไว้มากมาย เป็นต้นว่า “แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี” เป็นการยืนยันว่า บรรดาแสงสว่างที่มีอยู่ในโลกนี้ไม่มีแสงสว่างใดเท่าเทียมกับปัญญาได้ “การได้ความรู้เป็นเหตุให้เกิดสุข” เป็นข้อความยืนยันว่า ความสุขที่มนุษย์ได้รับมานั้นได้มาจากความรู้โดยตรง “บุคคลบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา” ข้อนี้คือการยืนยันว่า ความบริสุทธิ์เกิดจากศิลปะของการใช้ปัญญาประการหนึ่ง หลักการเรียนรู้
การพัฒนาด้านต่าง ๆ รวมอยู่ในขอบเขตของไตรสิกขาทั้งสิ้น และหลักไตรสิกขานั้นก็คือหลักการพัฒนากล่าวคือ 1. ศีล คือการพัฒนาทางด้านพฤติกรรม วิธีการเรียนรู้ทั่วไป พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 5 ประการ คือ 1. การฟัง หมายถึงการตั้งใจศึกษาเล่าเรียนในห้องเรียน อุปสรรคของการเรียนรู้
1. การชอบทำการงานมากกว่าการเรียน การศึกษาตามแนวพุทธวิถี การศึกษาตามแนวพุทธวิถี คือ การศึกษาที่มุ่งให้บุคคลนั้นต้องได้รับการนำทางเข้าไปสู่ความเจริญหรือความรู้ความสามารถที่จะเจริญในทุก ๆ ด้าน คือเจริญทางกาย ทางสมอง และทางจิตใจ พระพุทธเจ้ากล่าวเป็นนัยว่า การที่มนุษย์จะต้องเป็นที่พึ่งของตนเองได้บุคคลจะต้องเป็นผู้เจริญในทางใจ วาจา และการกระทำ หลักพุทธธรรมที่จะนำมาเป็นหลักในการประยุกต์ใช้กับการจัดการศึกษาแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ 1.หลักพุทธธรรมที่เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาปัญหา ครอบคลุมทั้งระบบอย่างเป็นกระบวนการ หลักพุทธธรรมนี้จะใช้เป็นเครื่องมือตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการทางการศึกษาที่ดำเนินไปในทุกขั้นตอนหลักพุทธธรรมกลุ่มนี้คืออริยสัจ4 และปฏิจจสมุปบาท 2. หลักพุทธธรรมเชิงปฏิบัติการ เสริมในรายละเอียด เมื่อตรวจสอบพบจุดบกพร่องของกระบวนการศึกษา หรือกระบวนการเรียนการสอนนั้น การนำหลักพุทธธรรมนี้ไปใช้ก็ทำได้สองอย่างคือ ในฐานะทบทวนแผน (Re-planning) ตามความเป็นจริงที่ปรากฏออกมาจากการตรวจสอบด้วยหลักอริยสัจ4 และปฏิจจสมุปบาท ในเรื่องของการศึกษา หรือกระบวนการเรียนการสอนอันถือว่าเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ ก็ควรจะดำเนินไปโดยใช้อริยสัจ 4และปฏิจจสมุปบาทมาเป็นหลักการขั้นพื้นฐานที่สำคัญ แล้วนำเอาเรื่องอื่นมาเป็นบริวารหลักสำคัญที่จะต้องตระหนักไว้เสมอก็คือการใช้หลักอริยสัจและปฏิจจสมุปบาท มาเป็นหลักในการแก้ปัญหา หรือดำเนินการในเรื่องราวใด ๆ นั้น ต้องตรวจสอบเรื่องนั้น ๆ ทั้งระบบ เพื่อให้พบความจริง ไม่มองเฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง แต่ตรวจสอบเพื่อค้นหาความจริงแล้วแก้ปัญหาตามเหตุปัจจัยที่ปรากฏ บางเรื่องอาจแก้ทั้งหมด บางเรื่องอาจจะแก้เพียงจุดใดจุดหนึ่งก็เพียงพอ เมื่อเรานำหลักการพุทธธรรมมาใช้ในด้านการเรียนการสอนเราจะมองเฉพาะจุดเล็ก ๆ จุดเดียว ก็จะไม่ครอบคลุมประเด็นในทุก ๆ ด้าน ต้องทำความเข้าใจ เริ่มตั้งแต่หลักสูตร อาคารสถานที่ ครูอาจารย์ บรรยากาศ อุปกรณ์ วัสดุครุภัณฑ์ขวัญกำลังใจ หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่มีอยู่ ต้องนำมาพิจารณาให้หมด ตรงจุดไหนที่เห็นว่าดีอยู่แล้วก็รักษาไว้ แต่ส่วนที่บกพร่องก็ปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น การใช้หลักการนี้มาพัฒนา ผลออกมาจะมีความเจริญก้าวหน้าไปพร้อม ๆ กัน และความจริงที่ถูกต้องก็คือ ทางสายกลางที่มีความสมดุลในทุกขั้นตอน คุณธรรมที่เป็นศาสตร์แห่งการศึกษา คุณธรรมที่เป็นศาสตร์แห่งการศึกษามีดังนี้ปัญญา ปัญญาและกระบวนการอันนำไปสู่การเกิดปัญญา คือความรอบรู้ทั้งตนเอง วิชาการต่าง ๆ สิ่งแวดล้อม สังคม และความเป็นไปของโลกอย่างชัดเจน นับเป็นจุดหมายปลายทางของกระบวนการเรียนการสอนทุกวิชาในทางพระพุทธศาสนาได้แบ่งปัญญาออกเป็นสามประเภทคือสุชาติปัญญา ปัญญาติดตัวมาตั้งแต่เกิด (พันธุกรรม) นิปากปัญญา ความรู้ในด้านอาชีพ และวิปัสสนาปัญญา เป็นความรู้แจ้ง รู้จริง รู้ถูกต้องและกระบวนการที่ก่อให้เกิดปัญญา คือ ปัญญาเกิดจากการฟัง (สุตมยปัญญา) เกิดจากการคิด (จินตมยปัญญา)เกิดจากการอบรมตนเอง (ภาวนามยปัญญา) อริยมรรค 8 อริยมรรค 8 เป็นแกนกลางในการจัดการศึกษาของทุก ๆ วิชา เพราะหลักการของอริยมรรค อยู่ที่ สัมมา
คือ ความถูกต้องชอบธรรม ในลีลาชีวิตของมนุษย์ทุกชาติทุกเผ่าพันธุ์ ล้วนดำเนินไปในกรอบแห่งอริยมรรคทั้งสิ้น หากลีลาเหล่านั้นดำเนินไปผิดทาง ชีวิตก็ต้องรับผลแห่งความผิดนั้นอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีทางหลีกเลี่ยง แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าได้ใช้ลีลาชีวิตให้ถูกต้องในทุกขั้นตอนผลออกมาเป็นความไร้ทุกข์ อย่างยุติธรรม ไม่มีใครจะมาเปลี่ยนแปลงผลแห่งความถูกต้องเหล่านั้นได้ อริยมรรค เป็นเรื่องของความถูกต้องที่ครอบคลุมพฤติกรรมของมนุษย์ไว้อย่างครบถ้วน ไตรสิกขา คือการศึกษา 3 อย่าง ประกอบด้วยศีลสิกขา สมาธิสิกขา และปัญญาสิกขา การสรุปอริยมรรคลงในไตรสิกขา ก็จะเป็นภาพของหลักการของการศึกษา ที่ควรจะต้องสอดแทรกเข้าไปในทุกสาขาวิชา ไตรสิกขา และอริยมรรค มีกระบวนการศึกษาดังนี้ สัมมาทิฏฐิ คือปัญญาขั้นสูงที่เกิดจาก การสั่งสอนอบรมในด้านจิตใจ จนเห็นสัจจะทั้งปวงว่าอะไรควรข้องแวะ อะไรควรละอย่างชัดเจน การจัดการศึกษาจนได้ปัญญาประเภทสัมมาทิฏฐิคือการวางรากฐานความถูกต้องให้แก่วิชาการทั้งปวง ความรู้ใด ๆ ก็ตามที่ตั้งอยู่บนสัมมาทิฏฐิ ล้วนเป็นความรู้ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ใคร ๆ แต่จะสร้างสรรค์ประโยชน์ฝ่ายเดียวพื้นฐานสำคัญของการเรียนการสอนวิชาต่าง ๆ ต้องมีสัมมาทิฏฐิเป็นแกนกลาง พระพุทธองค์ก็ได้ชี้ชัดว่าการเกิดสัมมาทิฏฐิมาจากเหตุสองอย่าง คือ 1. ปรโตโฆสะ คือปัจจัยกระตุ้นการเรียนรู้จากภายนอก เช่น การแนะนำ การถ่ายทอด การโฆษณา คำบอกเล่า ตลอดจนการเลียนแบบจากพ่อ แม่ ครู เพื่อน เป็นต้น 2. โยนิโสมนสิการ คือปัจจัยกระตุ้นการเรียนรู้จากภายใน หมายถึงการคิดอย่างแยบคาย หรือความรู้จักคิด คิดอย่างมีระบบ คิดอย่างมีกระบวนการ คิดรอบด้าน หรือคิดตามแนวทางปัญญา คือ รู้จักมองรู้จักพิจารณาสิ่งทั้งหลายตามสภาวะตามความเป็นจริง ดังที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนาถือว่าเป็นศาสตร์แห่งการศึกษา เป็นแนวทางจัดการศึกษาที่มุ่งพัฒนาบุคคลให้มีความ เจริญในทุก ๆ ด้าน ตามหลักของภาวนา 4 คือ ความเจริญทางด้านร่างกาย (กายภาวนา) ความเจริญด้านความประพฤติที่ดี (สีลภาวนา) ความเจริญด้านจิตใจ (จิตตภาวนา) และความเจริญงอกงามด้านปัญญา (ปัญญาภาวนา) หากนำเอาหลักการทางพระพุทธศาสนาไป ใช้เป็นพื้นฐานในการจัดการศึกษาเชื่อว่าสามารถพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ ตามหลักการจัดการศึกษาตามหลักของพระราช บัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ๑.๒ พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยและวิธีการแก้ปัญหา พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัย หลักของเหตุปัจจัย หรือหลักความเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งเป็นหลักของเหตุปัจจัยที่อิงอาศัยซึ่งกันและกัน ที่เรียกว่า "กฎปฏิจจสมุปบาท" ซึ่งมีสาระโดยย่อดังนี้ "เมื่ออันนี้มี อันนี้จึงมี เมื่ออันนี้ไม่มี อันนี้ก็ไม่มี เพราะอันนี้เกิด อันนี้จึงเกิด เพราะอันนี้ดับ คำว่า "เหตุปัจจัย" พุทธศาสนาถือว่า สิ่งที่ทำให้ผลเกิดขึ้นไม่ใช่เหตุอย่างเดียว ต้องมีปัจจัยต่าง ๆ ด้วยเมื่อมีปัจจัยหลายปัจจัยผลก็เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น เราปลูกมะม่วง ต้นมะม่วงงอกงามขึ้นมาต้นมะม่วงถือว่าเป็นผลที่เกิดขึ้น ดังนั้นต้นมะม่วงจะเกิดขึ้นเป็นต้นที่สมบูรณ์ได้ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายปัจจัยที่ก่อให้เกิดเป็นต้นมะม่วงได้ เหตุปัจจัยเหล่านั้นได้แก่ เมล็ดมะม่วง ดิน น้ำ ออกซิเจน แสงแดด อุณหภูมิที่พอเหมาะ ปุ๋ย เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้พรั่งพร้อมจึงก่อให้เกิดต้นมะม่วง ตัวอย่างความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัย เช่น ปัญหาการมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากการเรียนของนักเรียน มี เหตุปัจจัยหลายเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเรียนอ่อน เช่น ปัจจัยจากครูผู้สอน ปัจจัยจากหลักสูตรปัจจัยจากกระบวนการเรียนการสอนปัจจัยจากการวัดผลประเมินผล ปัจจัยจากตัวของนักเรียนเอง เป็นต้น ความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัย หรือหลักปฏิจจสมุปบาท แสดงให้เห็นอาการของสิ่งทั้งหลายสัมพันธ์เนื่องอาศัยเป็นเหตุปัจจัยต่อ - สิ่งทั้งหลายมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องอาศัยเป็นปัจจัยแก่กัน พุทธศาสนากับวิธีการแก้ปัญหา เทพเจ้า รุกขเทวดา ภูตผีปีศาจ เป็นต้น จะเห็นได้จากตัวอย่างคำสอนในคาถาธรรมบท แปลความว่า "มนุษย์ทั้งหลายถูกภัยคุกคามแล้ว พากันถึงเจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าภูผา ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่พึ่งแต่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สรณะอันเกษม เมื่อยึดเอาสิ่งเหล่านั้นเป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ย่อมไม่สามารถหลุดพันจากความทุกข์ทั้งปวง…แต่ชนเหล่าใดมาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ รู้เข้าใจอริยสัจ 4 เห็นปัญหา เหตุเกิดของปัญหา ภาวะไร้ปัญหา และวิธีปฏิบัติให้ถึงความสิ้นปัญหาจึงจะสามารถ หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้" ดังนั้นมนุษย์ต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีการของมนุษย์ที่เพียรทำการด้วยปัญญาที่รู้เหตุปัจจัย หลักการแก้ปัญหาด้วยปัญญาของมนุษย์คือ 1. ทุกข์ คือ การเกิดปัญหา หรือรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น หรือรู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร 1. เป็นวิธีการแห่งปัญญา ซึ่งดำเนินการแก้ไขปัญหาตามระบบแห่งเหตุผล เป็นระบบวิธีแบบอย่าง ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาใด ๆ ก็ 2. เป็นการแก้ปัญหาและจัดการกับชีวิตของตน ด้วยปัญญาของมนุษย์เอง โดยนำเอาหลักความจริงที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ ไม่ต้องอ้างอำนาจดลบันดาลของตัวการพิเศษเหนือธรรมชาติ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ 3. เป็นความจริงที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนทุกคน ไม่ว่ามนุษย์จะเตลิดออกไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ห่างไกลตัวกว้างขวางมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าเขายังจะต้องมีชีวิตของตนเองที่มีคุณค่าและสัมพันธ์กับสิ่งภายนอกเหล่านั้นอย่างมีผลดีแล้ว เขาจะต้อง เสื่อมลง สูญสลายไป หรือเกิดมีใหม่มาแทนอย่างไรก็ตาม หลักความจริงนี้ก็จะคงยืนยงใหม่ และใช้เป็นประโยชน์ได้ตลอดทุกเวลา ๑.๓ พระพุทธศาสนาฝึกตนไม่ให้ประมาท ความประมาท ได้แก่
การดำเนินชีวิตโดยมีสติ คือ ระลึกได้ว่า ชีวิตของเราเกิดมาได้อย่างไร จะดำรงชีวิตอยู่อย่างไรจึงจะมีความสุขความเจริญ และตายไปแล้วจะเป็นอย่างไรจึงจะดีที่สุดสำหรับตัวเอง เมื่อมีสติประจำตัวอยู่เสมอ ทำให้เกิดสัมปชัญญะ คือ รู้สภาพของตัวเองได้ดีได้ถูกต้องขึ้นว่า เราไม่ใช่ผู้อยู่เหนือธรรมชาติ เราสามารถ เจ็บ ตาย ได้ทุกขณะทุกเวลา อะไร เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ต้องรีบทำความดี เช่น การรักษาศีล การละเว้นความชั่ว การทำจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ การทำให้ตัวเองมีปัญญามีความรอบรู้ในสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง
เพื่อจะได้นำมาใช้ในการดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง เป็นประโยชน์ที่สุดแก่ชีวิตทั้งในชาตินี้และชาติหน้า เพื่อจะได้ไม่เป็นเหยื่อของคนชั่วและเป็นทาสของความชั่วร้าย ทำให้เราไม่ขาดสติสัมปชัญญะไม่มัวเมาในชีวิต ไม่หลงทางในการดำเนินชีวิต ไม่เป็นชีวิตที่ไร้ประโยชน์ไร้คุณค่า มีจุดหมายของชีวิต ทั้งในชาตินี้ชาติหน้า นอกจากนี้แล้ว ความไม่ประมาทยังหมายถึงการกระทำโดยความเคารพ การทำอะไรถูกต้องและต้องทำให้ต่อเนื่อง ให้สม่ำเสมอ ไม่ให้ย่อหย่อน ไม่ทอดธุระมีความพอใจ มีจิตใจที่ตั้งมั่นแน่วแน่และการประกอบเนื่อง ๆ
กระทำให้มากในเรื่องบุญกุศล ประโยชน์ของความไม่ประมาท ความไม่ประมาท เป็นเหตุให้มนุษย์เกิดปัญญา เกิดความรู้ เกิดความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต และความปลอดภัยในชีวิต เกิดการ ๑. ทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดให้มีขึ้นในตัวเอง ๑. ในการละกายทุจริต ประพฤติกายสุจริต ๑. ระวังใจไม่ให้กำหนัดในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ไม่ประมาทในวัยคือ 1. ปฐมวัย ตั้งแต่อายุ 1-25 ปี เป็นวัยที่ต้องใช้เวลาในการศึกษาเล่าเรียนหาวิชาความรู้ นอกจากนั้นจะต้องช่วยพ่อแม่ทำการ 2. มัชฌิมวัย ตั้งแต่อายุ 26-50 ปี เป็นวัยที่จะต้องประกอบอาชีพ เพื่อเลี้ยงครอบครัวและตนเองให้อยู่เย็นเป็นสุข จะต้องศึกษา 3. ปัจฉิมวัย ตั้งแต่อายุ 51 ปีขึ้นไป วัยนี้สังขารเริ่มทรุดโทรม เพราะกรากกรำทำงานมานาน สมควรจะพักผ่อนตามสมควรทำบุญกุศลไว้ และจะต้องออกกำลังกายตามควรแก่วัย บุคคลผู้ปฏิบัติตนตามวัยทั้ง 3 นี้ได้จัดว่าเป็นผู้ไม่ประมาท มนุษย์ผู้ไม่ประมาทในวัย ย่อมประสบกับสมบัติ 3 อย่างหรือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ มนุษย์สมบัติจะต้องไม่ประมาทในธรรม 4 ประการคือ 1.
ถึงพร้อมด้วยความหมั่น (อุฏฐานสัมปทา) ถึงพร้อมด้วยความหมั่น ในการประกอบกิจการงานเพื่อเลี้ยงชีพในการศึกษาเล่า 2. ถึงพร้อมด้วยการรักษา (อารักขสัมปทา) คือ รักษาทรัพย์ที่แสวงหามาได้ด้วยความหมั่นเพียง ไม่ให้เป็นอันตรายรักษาการงานของคนไม่ให้เสื่อมเสีย เป็นต้น 3. มีเพื่อนเป็นคนดี (กัลยาณมิตตตา) ไม่คบคนชั่วเป็นมิตร 4. เลี้ยงชีวิตตามสมควร (สมชีวิตา) คือเลี้ยงชีวิตตามกำลังทรัพย์ที่หาได้หรือตามกำลังกายของตนที่มีอยู่ไม่ให้ฝึดเคืองหรือฟุ่มเฟือยมากนัก สวรรค์สมบัติ ต้องไม่ประมาทในธรรม 4 ประการคือ1. ถึงพร้อมด้วยศรัทธา (สัทธาสัมปทา) คือ เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ นิพพานสมบัติ สมบัติคือพระนิพพาน หมายถึง การพบกับความสุขสูงสุด เรียกว่า บรมสุข ด้วยการประกอบตามหลักของ ไตร โทษของความประมาท ตามหลักของพระพุทธศาสนากล่าวว่า ผู้ประมาทจะก่อให้เกิดโทษทั้งในภพนี้และภพหน้า ดังนี้ 1. โทษในภพนี้ มี 5 ประการ คือ ทำให้เสียทรัพย์ ทำให้เสียอวัยวะ ทำให้เสียชีวิต ทำให้เสียเวลา และทำให้ถูกจองจำทำโทษ ๑.๔ พระพุทธศาสนามุ่งประโยชน์สุขและสันติภาพแก่บุคคล สังคม และโลก พระพุทธศาสนามุ่งประโยชน์สุขและสันติภาพแก่บุคคล สังคม และโลก พระพุทธศาสนาเป็นรากฐานอารยธรรมที่สำคัญของโลกดังได้กล่าวมาแล้ว พระพุทธศาสนายังมุ่งประโยชน์สุข และสันติภาพ ให้แก่บุคคล สังคม และชาวโลกได้ หากศึกษาในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนามีทั้งการสร้างสรรค์อารยธรรมและสันติภาพแก่มวลมนุษย์ นั่นคือ พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในประเทศอินเดียหรือชมพูทวีป พระพุทธศาสนาได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมอินเดีย กล่าวคือ สังคมอินเดียเคยนับถือพระพรหมเป็นเทพเจ้าสูงสุด ผู้สร้างผู้บันดาลทุกสิ่ง มีการบูชายัญเทพเจ้า แล้วก็มีการกำหนดมนุษย์ เป็นวรรณะต่าง ๆ โดยชาติกำเนิด เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ เป็นศูทร แล้วก็ถือว่าพราหมณ์เป็นผู้ที่ติดต่อสื่อสารกับเทพเจ้า กับพระพรหม เป็นผู้รู้ความต้องการของพระองค์ เป็นผู้รับเอาคำสอนมารักษา มีการผูกขาดการศึกษาให้อยู่ในวรรณะสูง คนวรรณะต่ำ เรียนไม่ได้ เป็นต้น เมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องเหล่านี้อย่างมากมาย เช่น เรื่อง วรรณะ 4 พระพุทธศาสนาไม่ เมื่อถือว่ามนุษย์จะดีจะประเสริฐอยู่ในการกระทำ มนุษย์ต้องพัฒนาชีวิตของตน ทั้งพัฒนาพฤติกรรม (ศีล) พัฒนาจิตใจ (สมาธิ) ในประเทศอินเดียเราสามารถพูดได้ว่า การศึกษาหลายเป็นการศึกษามวลชนได้เพราะการเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนา ก็แสดง ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ได้นำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาใช้ มีการริเริ่มใหม่
คือการถือหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ในประเทศตะวันตกได้พยายามต่อสู้เพื่อสร้างหลักการแห่งเสรีภาพทางศาสนาขึ้นมาด้วยความยากลำบาก เพราะประเทศ ตะวันตกนั้นเป็นดินแดนของการรบราฆ่าฟันทางศาสนา มีการข่มเหง เบียดเบียนเพราะนับถือศาสนาต่างกัน (persecution) และมีสงครามศาสนา (religious wars) มากมาย และพวกเขาได้พยายามดิ้นรนที่จะให้เกิดขันติธรรม(tolerance) ซึ่งต่างจากพระเจ้าอโศกมหาราชที่ใช้หลักการทางพระพุทธศาสนาก่อให้เกิดสันติภาพขึ้นมาในประเทศในสมัยนั้นได้ |