Show 4 เคล็ด(ไม่)ลับทำ ให้ลูกเชื่อฟัง มากขึ้น
แน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนอยากทำ ให้ลูกเชื่อฟัง เพราะคุณพ่อคุณแม่คงเคยมีความรู้สึกว่า ทำไมเวลาเราพูดอะไรไป ลูกไม่เชื่อฟัง เราเท่าไหร่ แต่ถ้าหากเป็นคนอื่น เช่นคุณครูพูด ลูกมักจะ เชื่อฟัง คุณครูมากกว่าคุณพ่อคุณแม่ .. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กวัยที่เพิ่งจะเข้าเรียน เด็ก ๆ จะเชื่อคุณครูมากเป็นพิเศษแตกต่างจากเวลาที่เขาอยู่บ้าน
ปัญหาการไม่เชื่อฟัง อาจดูเป็นอะไรที่ไม่ร้ายแรง แต่ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถรับมือ หรือปรับพฤติกรรมนี้ได้ด้วยตัวผู้ปกครองเอง จะทำให้พฤติกรรมนี้เริ่มหนักขึ้นอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเมื่อลูกเข้าวัย 8-12 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยแห่งการมีอิสระในการตัดสินใจ คำสอนของพ่อแม่บางอย่างอาจเข้าถึงตัวลูกได้ยาก เพราะเด็กในวัยนี้จะเริ่มมีความคิด และบุคลิกภาพเป็นของตัวเองชัดเจน มองโลกและตัดสินใจแบบของตัวเอง โดยไม่ต้องผ่านการมองจากผู้ใหญ่ .. ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรตระหนักถึงสิ่งที่ต้องสอนลูกก่อนที่ลูกจะไม่เชื่อฟัง
ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เทคนิคที่เหมาะสมในการสอนให้ลูกน้อยเข้าใจและเชื่อฟังในแบบที่พ่อแม่ต้องการ โดยที่พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องขึ้นเสียงใส่ลูก ซึ่งถือเป็นวิธีที่ได้ผลกว่าวิธีที่ใช้ความรุนแรง
วันนี้เรามี 4 เคล็ดลับ มาแบ่งปันกันจากลูกไม่เชื่อฟัง สู่การ ให้ลูกเชื่อฟัง มากขึ้น!
☁️1. หาสาเหตุของการไม่เชื่อฟังพูดคุยและหาคำตอบสาเหตุที่ลูกไม่เชื่อฟัง และบอกรักลูก ให้ลูกเชื่อมั่นว่ามีพ่อแม่อยู่ข้าง ๆ เสมอ นอกจากนี้ควรสังเกตทัศนคติ วิธีคิด และการพูดของลูก เพื่อที่จะเข้าใจลูกมากขึ้น
☁️2. สอนด้วยน้ำเสียงที่ดี และสายตาแห่งความรักใช้คำพูดง่าย ๆ เพื่อให้ลูกทบทวนในสิ่งที่ทำผิด และใช้น้ำเสียงที่หนักแน่นแต่ไม่ดุดัน นอกจากคำพูดกับน้ำเสียงแล้ว ภาษากายก็มีส่วนสำคัญในการช่วยให้ลูกรับฟังมากขึ้น มองลูกด้วยสายตาแห่งความรัก และตั้งใจฟังสิ่งที่ลูกพูด
☁️3. สอนด้วยการมีข้อตกลงร่วมกันหากลูกรักชอบต่อต้านเสมอ คุณพ่อคุณแม่ลองให้ข้อเสนอ เป็นข้อตกลงร่วมกัน เพื่อลดการโต้เถียงหรือการชวนทะเลาะลงได้
☁️4. เป็นแบบอย่างให้ลูกเห็นเด็ก ๆ มักเรียนรู้จากการกระทำได้ดีกว่าคำพูด ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็นมากกว่าการออกคำสั่งว่าลูกควรทำอะไร หรือไม่ควรทำอะไร เทคนิคการเพิกเฉยขณะที่ลูกร้องไห้เอาแต่ใจ เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้การควบคุมตนเอง ไม่ใช่การทอดทิ้งลูก และบ่อยครั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้สงบสติอารมณ์ตนเองด้วยเช่นกัน การพยายามโอ๋ลูกอย่างที่พ่อแม่หลายคนชอบทำ นอกจากไม่ช่วยให้เด็กพัฒนาตนเองแล้ว ยังส่งผลเสียต่อพ่อแม่ เพราะเด็กจะมองไม่เห็นความชัดเจนของการเป็นผู้นำและไม่เห็นความเข้มแข็งของเรา โดยเทคนิคเพิกเฉยประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้
กรณีที่ลูกทำร้ายตัวเองหรือทำร้ายคนอื่น รวมทั้งการทำลายข้าวของ อนุญาตให้หยุดเพิกเฉยชั่วคราว ถ้าลูกทำเช่นนั้นให้หันกลับไปจับมือลูกแน่นๆ ประมาณ 10 วินาที และมองหน้าลูกพร้อมพูดด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า “ไม่ตีแม่/ไม่โยนของ” แล้วแกะของออกจากมือ จากนั้นปล่อยมือลูกและเฝ้าดูอีกสักครู่ หากลูกลุกขึ้นมาตีหรือโยนของอีกให้ทำซ้ำแบบเดิมจนกว่าลูกจะหยุด แล้วให้กลับไปเพิกเฉยต่อ
“จงอย่ากลัวที่จะทำเพิกเฉยเมื่อลูกร้องไห้เอาแต่ใจ แต่จงกลัวที่จะเป็นยักษ์กับลูก เพราะการเพิกเฉยไม่ทิ้งผลข้างเคียงอะไรไว้กับลูก แต่หากตอบสนองลูกด้วยอารมณ์โกรธ ตวาด หรือดุลูกด้วยความรุนแรงก้าวร้าว ลูกจะรับความก้าวร้าวรุนแรงไว้ในหัวใจแบบเต็มๆ การเลี้ยงลูกที่มีภาวะดื้อและต่อต้านเป็นงานที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่ แต่เด็กก็จะสามารถดีขึ้นได้ หากได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสมจากคนในครอบครัว ขอให้คุณพ่อคุณแม่ค้นให้พบและปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงดู อีกไม่นานเขาก็จะกลับมาเป็นเด็กดีให้คุณพ่อคุณแม่ได้ชื่นใจอย่างแน่นอน” ลูกดื้อไม่เชื่อฟังทำยังไงวิธีแก้ สั่งสอนลูก ชี้แนะให้รู้จักขอบเขตที่ชัดเจนของพฤติกรรมที่ทำได้และทำไม่ได้ ตัวอย่างในการสอนลูก เวลาเห็นลูกทำตัวไม่เหมาะสมในเรื่องใดก็ตาม ควรพูดเตือนทันที อย่าปล่อยผ่านไป โดยให้พูดบอก "สั้นๆ ง่ายๆ" ใช้น้ำเสียง สีหน้ากลาง ๆ ไม่ใช้อารมณ์
พูดยังไงให้ลูกเชื่อวิธีพูดกับลูก วัยอนุบาล พูดอย่างไรให้ลูกเชื่อฟังไม่ต่อต้าน. 1. เป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกเห็น ... . 2. วิธีพูดกับลูก พูดด้วยความรัก ความอบอุ่น ... . 3. วิธีพูดกับลูก พูดด้วยเหตุผล มากกว่าการบังคับ ... . 4. ฝึกให้ลูกได้คิดเองบ้าง ... . 5. หากิจกรรมทำร่วมกัน ... . 6. เปลี่ยนมาเป็นผู้ฟังที่ดีบ้าง ... . 7. สนใจในสิ่งที่ลูกแสดงออกมา ... . 8. ความพร้อมของลูกก็สำคัญ. สอนอะไรให้ลูกดีเริ่มสอนอะไร หากอยากให้ลูกเป็นคนดี. 1.สอนให้พูดสุภาพ สวัสดีครับ / ค่ะ ขอบคุณค่ะ / ครับ คำพื้นฐานที่นอกจากพ่อแม่จะต้องสอนลูกตั้งแต่ลูกเริ่มพูด ... . 2.สอนมารยาทที่ดี ... . 3.สอนให้รู้จักแบ่งปัน ... . 4.รู้จักวัฒนธรรม ประเพณี ... . 5.ปลูกฝังความมีระเบียบ ... . 6.สอนให้ดูแลผู้อื่น ... . 7.สอนให้ระวังตัวเอง ... . 8.สอนการให้กำลังใจ. |