แอร์เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะสำหรับคนไทย การเรียนรู้วิธีการเลือกแอร์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน ซึ่งการซื้อแอร์ไม่เหมาะสมกับขนาดห้องนั้น ก็มักจะเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำผิดพลาด ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรรู้เพื่อที่เราจะได้เลือกแอร์ได้อย่างถูกต้องก็คือ Show "BTU" คือ ขนาดทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ โดยย่อมาจาก British Thermal Unit ซึ่ง 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง ดังนั้นการเลือก BTU จึงมีความสำคัญ เพราะจะมีผลต่อการประหยัดพลังงานและการใช้งานของแอร์ ทำไมต้องเลือก BTU ให้เหมาะกับขนาดของห้อง- ถ้าเลือก BTU สูงเกินไป จะทำให้ Compressor ตัดบ่อย ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และทำให้ความชื้นในห้องเพิ่มขึ้น และยังเปลืองพลังงาน - ถ้าเลือก BTU ต่ำเกินไป จะทำให้ Compressor ทำงานตลอดเวลา เพราะความเย็นไม่ได้ตามที่ตั้งไว้ ทำให้เปลืองพลังงาน และทำให้แอร์เสียเร็ว การคิดคำนวณ BTUBTU = พื้นที่ห้อง ( กว้าง x ยาว ) x ความแตกต่าง ความแตกต่างแบ่งได้ 2 ประเภท 600 - 700 = ห้องที่มีความร้อนน้อยใช้เฉพาะกลางคืน หรือสามารถเทียบกับตารางด้านล่างคร่าวๆได้ดังนี้ ตารางการเลือกขนาด BTU ให้เหมาะสมกับพื้นที่ซึ่งการคำนวณ BTU จะช่วยในการเลือก BTU ให้เหมาะสมกับขนาดของห้อง ทำให้แอร์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยประหยัดทั้งพลังงานและค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการติดตั้งแอร์ที่ไม่เหมาะสม สำหรับใครที่กำลังมองหาบริษัทที่ติดตั้งแอร์ Seekster เรามีบริการติดตั้งแอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทุกคน สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ https://m.me/seekster หรือ จองทันทีได้เลย : http://bit.ly/2VDHYFp หรือ ดาวน์โหลดแอพพลิเคชัน Seekster ทั้งในระบบ Android และ IOS : http://bit.ly/2XFz0c9 ขอขอบคุณข้อมูลจาก Kapook และ Samsung วิธีซื้อแอร์ การเลือกซื้อแอร์ให้เหมาะกับขนาดที่อยู่อาศัย เพื่อป้องกันค่าไฟแพงและพอดีกับการใช้งาน มาดูวิธีเลือกซื้อแอร์กันค่ะ
เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ลำพังแค่พัดลมคงเอาไม่อยู่ เครื่องปรับอากาศ หรือแอร์คอนดิชันเนอร์ จึงกลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นสำคัญที่แทบทุกบ้านขาดไม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ ดังนั้น กระปุกดอทคอมจึงมีข้อมูลสำคัญในการเลือกซื้อแอร์มาฝากกัน ให้คุณได้ศึกษาข้อมูลและเตรียมตัวล่วงหน้าตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนถึงหน้าร้อน จะได้เลือกซื้อแอร์ได้ถูกใจและคุ้มค่ามากที่สุดนะคะ เตรียมกระดาษ ปากกา แล้วมาจดรายละเอียดวิธีเลือกซื้อแอร์กันเลย ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อแอร์เลือกขนาด BTU ที่เหมาะสม ขนาด BTU (British Thermal Unit) คือ ขนาดทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ซึ่ง 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง ดังนั้นจึงควรคำนึงถึงขนาดของแอร์กับขนาดของห้องให้พอดีกัน เพราะหากเลือกแอร์ที่มี BTU สูงหรือต่ำจนเกินไป จะทำให้เปลืองไฟและแอร์เสียได้ง่ายอีกด้วย การคิดค่า BTU แบบคร่าว ๆ การคำนวณค่า BTU แบบคร่าว ๆ เพื่อเลือกแอร์ที่มีขนาด BTU เหมาะสมกับห้องนั้น สามารถทำได้ด้วยการใช้ขนาดของพื้นที่คูณด้วย 650-800 BTU ต่อ 1 ตารางเมตร ทั้งนี้ สามารถบวกลบได้อีก 5% ขึ้นอยู่กับตัวแปรต่าง ๆ เช่น ทิศทางของห้อง การโดนแดด ลักษณะการใช้งาน เป็นต้น โดยมีตัวอย่างคร่าว ๆ ของขนาด BTU ที่เหมาะสม ดังนี้
คอมเพรสเซอร์ (Compressor) ควรเลือกคอมเพรสเซอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการ โดยคอมเพรสเซอร์นั้นแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ 1. คอมเพรสเซอร์ลูกสูบ (Reciprocating Compressor) ทำงานด้วยการใช้กระบอกสูบในการอัดน้ำยา ให้กำลังแรงสูง แต่มีความสั่นสะเทือนสูง และเสียงค่อนข้างดัง นิยมใช้ในเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ 2. คอมเพรสเซอร์โรตารี่ (Rotary Compressor) ทำงานด้วยการหมุนของใบพัดที่มีความเร็วสูง มีความสั่นสะเทือนน้อย เสียงเงียบ เหมาะสำหรับเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก 3. คอมเพรสเซอร์แบบขด (Scroll Compressor) ทำงานด้วยใบพัดรูปก้นหอย มีความสั่นสะเทือนน้อยมาก มีเสียงเงียบ ให้พลังงานสูง ถือว่าดีกว่าคอมเพรสเซอร์ชนิดอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน คอยล์ (Coil) เป็นอุปกรณ์สำหรับระบายและดูดซับความร้อนจากอากาศ ประกอบด้วย ท่อทองแดง และครีบอะลูมิเนียม (Fin) ก่อนเลือกซื้อให้พิจารณาวัสดุที่ใช้ทำคอยล์ เช่น สารที่เคลือบป้องกันการกัดกร่อน หรือความหนาของครีบ เป็นต้น หากเลือกคอยล์ที่มีคุณภาพดี แอร์ของคุณก็จะมีอายุการใช้งานได้นานขึ้น มอเตอร์พัดลม (Fan Motor) มอเตอร์พัดลมเป็นส่วนสำคัญในแอร์ที่จะช่วยระบายและดูดซับความร้อน เพื่อให้แอร์ของคุณทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมอเตอร์พัดลมที่ดีควรใช้ขดลวดที่ทนความร้อนได้สูง เพื่อให้รอบการทำงานของมอเตอร์ไม่สะดุดและไม่เสื่อมคุณภาพง่ายอีกด้วย ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อแอร์จึงควรสอบถามถึงข้อมูลของมอเตอร์พัดลมให้ละเอียดก่อน ระบบฟอกอากาศ (Air Purifier) ระบบฟอกอากาศกลายเป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้ไปแล้วสำหรับแอร์ที่วางขายอยู่ในปัจจุบัน เพราะระบบฟอกอากาศจะช่วยหมุนเวียนให้อากาศภายในห้องสะอาดบริสุทธิ์มากขึ้น โดยแบ่งออกเป็นหลายระบบ ดังนี้ 1. การกรอง (Filtration) เป็นการใช้แผ่นกรองอากาศดักจับฝุ่นละอองเอาไว้ และต้องหมั่นเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศเมื่อหมดอายุการใช้งาน เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคในอากาศ นอกจากนี้หากต้องการกำจัดกลิ่นให้เลือกแผ่นกรองที่เป็นคาร์บอน เพื่อดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ 2. การดักจับด้วยไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Precipitator) คือ การดักจับฝุ่นละอองในอากาศด้วยการใช้ตะแกรงไฟฟ้า (Electric Grids) และใช้แผ่นโลหะอีกชุดเรียงขนานกันเพื่อดูดฝุ่นละอองเอาไว้ หากมีการหมดอายุต้องหยุดเครื่องเพื่อทำความสะอาด 3. การปล่อยประจุไฟฟ้า (Ionizer) คือ การผลิตประจุไฟฟ้าประจุลบเพื่อปล่อยออกมาพร้อมกับลมเย็น เพื่อให้ดักจับฝุ่นละอองที่เป็นประจุบวก ซึ่งฝุ่นละอองที่ถูกดักจับจะรวมตัวกันและร่วงหล่นมาบนพื้นห้อง สามารถทำความสะอาดห้องได้ตามปกติ โดยไม่ต้องทำความสะอาดภายในเครื่องปรับอากาศ การประหยัดไฟ (Energy Saving) เครื่องปรับอากาศยุคใหม่นั้นส่วนใหญ่แล้วมักมีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ติดเอาไว้ โดยแอร์ที่ติดฉลากเบอร์ 5 จะเป็นแอร์ที่มีประสิทธิภาพในการให้พลังงานสูง ทำให้ประหยัดไฟฟ้า โดยมีข้อเสียตรงที่ราคาสูงกว่าแอร์ทั่วไป จึงควรศึกษาฉลากประหยัดไฟให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อว่าเหมาะสมกับความต้องการของคุณหรือไม่ เลือกประเภทของการใช้งาน เครื่องปรับอากาศนั้นมีให้เลือกประเภทในการใช้งานอยู่ 2 รูปแบบแตกต่างกัน ดังนี้ 1. แอร์ติดผนัง เป็นแบบยอดนิยม เพราะมีความเล็กกะทัดรัด เหมาะสำหรับห้องที่มีพื้นที่น้อย หรือไม่ต้องการวางบนพื้นให้เกะกะ เสียงเงียบ และรูปลักษณ์ทันสมัย แต่ไม่เหมาะกับงานหนัก หรือห้องที่ต้องการความเย็นสูงและเป็นเวลานาน 2. แบบตั้งพื้น หรือแบบแขวน เป็นแอร์ที่ให้พลังงานสูง เหมาะสำหรับห้องทุกขนาด สามารถเลือกติดตั้งกับพื้นหรือแขวนเพดานก็ได้ แต่ข้อเสียคือหน้าตาไม่ทันสมัย รวมทั้งกินไฟมากกว่าด้วย คุณสมบัติพิเศษและดีไซน์ ปัจจุบันเครื่องปรับอากาศนั้นมีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ ก่อนซื้อแอร์สักเครื่องคุณจึงควรเปรียบเทียบคุณสมบัติพิเศษต่าง ๆ ที่มีให้เลือกหลากหลายก่อนว่ามีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร เช่น นาโนไทเทเนียม ซิลเวอร์นาโน เป็นต้น นอกจากนี้อย่าลืมเลือกรูปร่างหน้าตาของแอร์ในแบบที่คุณชอบ หรือจะเลือกให้เข้ากับห้องนั้น ๆ ก็ได้ จะได้ออกมาสวยงามกลมกลืนกัน การติดตั้งและการบริการหลังการขาย เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ควรเก็บเอาไปพิจารณา โดยให้เลือกบริษัทที่น่าเชื่อถือ มีความรู้ความเข้าใจและสามารถอธิบายเรื่องแอร์ให้คุณได้เป็นอย่างดี อีกทั้งให้ดูเรื่องการรับประกันและบริการหลังการขายด้วย เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่มีราคาแพง และมีอายุการใช้งาน การรับประกันและการดูแลซ่อมแซมแก้ไขหลังการขายจึงเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ยิ่งถ้าเป็นบริษัทใหญ่ที่มีอะไหล่และช่างเพียงพอก็ยิ่งดี รู้จักกับวิธีเลือกแอร์หรือเครื่องปรับอากาศกันไปแล้ว ก็อย่าลืมจดรายการที่ควรรู้ให้ดี แล้วพกไปช่วยเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจซื้อแอร์สักเครื่องมาใช้นะคะ ขอให้ได้แอร์ที่ถูกใจและคุณภาพดีใช้งานได้นาน ๆ จ้า ขอบคุณข้อมูลจาก ติดแอร์ขนาดไหนดีขนาดห้องนอนปกติ
5-7 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 5,000 BTU. 10-14 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 9,000 BTU. 14-18 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 12,000 BTU. 18-22 ตรม. แอร์ควรมีขนาด 15,000 BTU.
ห้องขนาด 8x8 ใช้แอร์กี่ BTUวิธีคำนวณ BTU แอร์ให้เหมาะสมสำหรับติดตั้งใน ห้องนอน ห้องทำงาน. ห้องขนาด 3.5*4 ใช้แอร์กี่ BTUสูตร พื้นที่ห้อง x ค่าตัวแปร (ห้องนอน) BTU = 3.5*4.5 *800 = 12600 BTU.
ห้องขนาดไหนใช้แอร์กี่BTU1. แอร์ขนาด 9,000 BTU
แอร์ขนาดต่ำสุด ที่นิยมใช้กันในบ้าน แอร์ขนาด 9000 BTU นี้เหมาะมากสำหรับห้องนอน ที่มีการเปิดใช้งานเครื่องปรับอากาศในตอนกลางคืน และต้องไม่ใช่ห้องนอนที่ใหญ่เกินไป หรือมีวัสดุตู้ ฯลฯ เยอะมากเกินไป เพราะแอร์จะทำงานหนัก เนื่องจากแอร์แบบ 9000 BTU นี้จะให้ความเย็นที่น้อยมาก หากห้องมีขนาดใหญ่
|