บัตรกด เงินสด กับบัตรเดบิต

เมื่อเราต้องเดินทางไปต่างประเทศ เราควรพิจารณาว่าบัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต บัตรไหนจะดีกว่ากัน ลองดูข้อแตกต่างของการใช้งานบัตรสองชนิดนี้เวลาเราเดินทางไปต่างประเทศกันครับ

ประการแรกเลย คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าบัตรเอทีเอ็มของคุณเป็นแค่บัตรเอทีเอ็มธรรมดา กดเงินจากตู้ได้อย่างเดียว หรือบัตรเดบิต ที่สามารถใช้งานรูดได้เหมือนบัตรเครดิต แต่จะเป็นการหักเงินจากบัญชีโดยตรงแทนการใช้เครดิต?

(หากยังไม่แน่ใจความแตกต่างระหว่างบัตรเครดิตและบัตรเดบิต อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่)

สังเกตได้ง่าย ๆ คือ ดูหน้าบัตรว่าบัตรของคุณมีโลโก้ Visa หรือ PLUS หรือ MasterCard หรือไม่ ถ้ามีบัตรของคุณสามารถใช้ได้กับตู้เอทีเอ็ม และใช้รูดซื้อของแบบบัตรเครดิตได้เหมือนกัน หากไม่แน่ใจ ลองติดต่อธนาคารผู้ออกบัตรเพื่อสอบถามว่าบัตรของคุณเป็นประเภทไหน และสามารถนำไปใช้ในต่างประเทศได้หรือไม่ จะมีค่าใช้จ่ายอะไร อย่างไรบ้าง

หากคุณพกบัตรเดบิตไปใช้ที่ต่างประเทศ

ส่วนใหญ่แล้วบัตรเดบิตทำงานเหมือนเป็นบัตรเอทีเอ็ม แต่มีวิธีการใช้งานที่พิเศษเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง คือ สามารถใช้รูดเหมือนบัตรเครดิตได้ แต่แทนที่จะเป็นการใช้เครดิต จะเป็นการหักเงินคงเหลือจากในบัญชีที่ผูกอยู่กับบัตรเดบิตนั้นแทน

ทั้งนี้ มีข้อจำกัดว่าจะสามารถเบิกเงินสดได้สูงสุด 100,000 บาทต่อบัตร/ต่อวัน โดยสามารถเบิกเงินจากตู้เอทีเอ็มได้สูงสุดไม่เกินวันละ 10 ครั้ง และสามารถใช้บัตรเดบิตกดเงินสดทั้งจากตู้เอทีเอ็มของธนาคาร หรือต่างธนาคารก็ได้ ดังนั้นเราสามารถนำบัตรเดบิตไปใช้ในต่างประเทศได้ แต่หากเป็นการกดเงินในต่างประเทศ ทางธนาคารจะทำการลดจำนวนครั้งที่สามารถเบิกถอนเงินสดต่อวันลงเพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยให้เจ้าของบัตรในอีกทางหนึ่ง ส่วนจะเหลือกี่ครั้งต่อวันนั้นจะต้องสอบถามธนาคารที่คุณมีบัญชีอยู่เพื่อขอรายละเอียดเพิ่มเติม

ที่สำคัญอย่าลืมถ่ายสำเนาบัตร และช่องทางติดต่อธนาคารเจ้าของบัตรพกติดตัวไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินต้องขอความช่วยเหลือ จะได้สะดวกครับ

ส่วนกรณีที่คุณต้องการใช้บัตรเดบิตในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการต่าง ๆ ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ คุณจะถูกคิดค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงินเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงฯ ในการใช้บัตร ส่วนอัตราการคิดค่าความเสี่ยงจะต้องติดต่อสอบถามธนาคารเจ้าของบัตรเพื่อขอข้อมูลส่วนนี้เพิ่มเติมอีกครั้งครับ

หากคุณเลือกใช้บัตรเครดิตที่ต่างประเทศ

จะไปเที่ยวต่างประเทศทั้งทีจะพกเงินสดอย่างเดียวก็เสียวไส้ ยังไงก็ต้องพกบัตรเครดิตติดตัวไปด้วย แต่เราไม่ควรห่วงเที่ยวจนลืมใส่ใจเรื่องความปลอดภัย และการใช้งานบัตรเครดิตกันนะครับ

เมื่อเราจะเดินทางไปต่างประเทศแล้วนำบัตรเครดิตไปใช้ชำระค่าสินค้า หรือค่าบริการต่าง ๆ หากเราไม่ได้แจ้งบริษัทผู้ออกบัตรเครดิตให้เราไว้ เราอาจโดนระงับบัตรโดยไม่รู้ตัว เพราะบริษัทอาจคิดว่าบัตรถูกขโมย เนื่องจากอยู่ ๆ ก็มีการนำไปใช้ที่ต่างประเทศนั่นเอง ดังนั้นอย่าลืมแจ้งบริษัทก่อนนะครับว่าจะเดินทางไปเที่ยวที่ไหน ไม่อย่างนั้นจะหมดสนุกเอาได้ง่าย ๆ

การนำเอาบัตรเครดิตไปใช้ต่างประเทศอาจจะมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มเติมขึ้นมา เพราะบัตรเครดิตของแต่ละบริษัทก็มีบริการที่ต่างกันไป บางครั้งคุณอาจจะต้องเสียค่าธรรมเนียมไม่เท่ากันระหว่างที่ใช้บัตรในประเทศกับต่างประเทศ ดังนั้นการสอบถามรายละเอียดส่วนนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเช่นกันครับ

อีกเรื่องที่เหมือนกับบัตรเดบิต คือ เราต้องมั่นใจว่าเราสามารถติดต่อธนาคารได้แม้เราจะอยู่ต่างประเทศ และอย่าลืมถ่ายสำเนาบัตรเครดิตพกติดตัวเอาไว้เพื่อความอุ่นใจด้วยนะครับ

การใช้งานบัตรเครดิต บางคนรูดง่าย เซ็นคล่อง ดังนั้นการจดทำรายการการใช้บัตรเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำอีกอย่าง เพื่อที่ว่าเราจะได้เห็นตัวเลขเป็นลายลักษณ์อักษรว่าเราใช้ไปแค่ไหนแล้ว งบเรามีเท่าไหร่ จะได้ไม่ใช้เงินเกินงบ กลับบ้านมาแทนที่จะสบายใจ จะกลายเป็นหนี้หนักเข้าไปใหญ่นะครับ

ควรพกเงินสดสำรองเผื่อฉุกเฉิน

 

ไม่ว่าคุณจะใช้บัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต แต่เมื่อไปต่างประเทศ บ้านไม่คุ้น เมืองไม่เคย สิ่งสำคัญอีกอย่าง คือ การวางแผนเผื่อเหตุฉุกเฉินนั่นเอง หากบังเอิญบัตรเครดิตถูกขโมยไปจริง ๆ อย่างน้อยเราก็มีเงินสดสำรองเอาไว้ส่วนหนึ่งเพื่อติดตัวไว้ใช้จนกว่าจะได้บัตรใหม่ หรือมีบัตรเดบิตติดตัวไปอีกใบแล้วเอาไว้ใช้ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ หรือใช้บัตรเดบิต แต่ว่ามีบัตรเครดิตเอาไว้เป็นทุนฉุกเฉิน อย่างนี้เป็นต้นครับ

 

อย่าลืมนะครับ บัตรเดบิต และบัตรเครดิตบางใบ ก็ไม่สามารถใช้ได้ในต่างประเทศ ทางที่ดีตรวจสอบกับทางธนาคารตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนจะเดินทางเพื่อความรอบคอบจะดีที่สุดครับ

"บัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต ทั้งสองบัตรต่างถูกสร้างมาเพื่อให้ใช้แทนเงินสด เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่เจ้าของบัตรในการใช้จ่าย"

ไม่ว่าจะบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต ทั้งสองบัตรต่างถูกสร้างมาเพื่อให้ใช้แทนเงินสด เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่เจ้าของบัตรในการใช้จ่ายเพราะเราสามารถลดการพกพาเงินสด ความแตกต่างที่สำคัญของบัตรสองประเภทนี้ คือ บัตรเครดิตให้อำนาจเราในการใช้เงินก่อน แล้วค่อยจ่ายทีหลัง ในขณะที่ บัตรเดบิต เราต้องชำระเงินทันทีที่มีการใช้จ่าย ว่าแต่ แล้วบัตรประเภทไหน ที่จะเหมาะกับเรามากกว่ากันล่ะ

ใครที่เหมาะกับบัตรเดบิต

  • ผู้ที่เน้นการควบคุมการใช้จ่าย รวมถึงผู้ที่ควบคุมการใช้จ่ายด้วยตัวเองไม่ได้ และมีแนวโน้มว่าจะใช้เงินเยอะกว่าความสามารถในการชำระหนี้ เพราะทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตจะถูกตัดยอดออกจากบัญชีธนาคารที่ผูกไว้ทันที เราจึงไม่มีโอกาสใช้เงินเกินกว่ายอดเงินที่มีอยู่จริงในบัญชี นอกจากนั้นแล้ว เรายังสามารถกำหนดวงเงินสูงสุดที่จะใช้จ่ายต่อวันได้ เช่น ถึงแม้เราจะมีเงินในบัญชี 100,000 บาท เราสามารถกำหนดวงเงินสูงสุดต่อวันไว้ที่ 5,000 บาท 10,000 บาทขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของธนาคารเจ้าของบัตร วิธีนี้นอกจากจะเป็นการควบคุมค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเป็นการจำกัดความเสียหายกรณีที่บัตรถูกโจรกรรมอีกด้วย
  • ผู้ที่ไม่ชอบความรู้สึกของการเป็นหนี้ หรือผู้ที่ไม่ชอบการมีภาระในการชำระหนี้รายเดือน เพราะการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตไม่มีภาระของการชำระหนี้ ทันทีที่บัตรเดบิตถูกรูดที่จุดชำระเงิน ยอดการใช้จ่ายจะถูกตัดออกจากบัญชีของเราทันที ซึ่งต่างจากบัตรเครดิตที่การใช้จ่ายจะถูกรวมในรอบบัญชี และส่งมาเป็นยอดชำระรายเดือน โดยเราต้องชำระเงินให้ตรงตามกำหนดเวลาเพื่อป้องกันดอกเบี้ยการผิดนัดชำระ
  • ผู้ที่ยังไม่สามารถสมัครบัตรเครดิต คุณสมบัติของผู้สมัครบัตรเดบิตนั้นจะน้อยกว่าการสมัครบัตรเครดิต โดยทั่วไปเพียงแค่ผู้สมัครมีอายุมากกว่า 15 ปี และมีบัญชีออมทรัพย์ หรือบัญชีกระแสรายวันกับธนาคารก็สามารถสมัครบัตรเดบิตได้แล้ว ซึ่งแตกต่างกับการสมัครบัตรเครดิต ที่ผู้สมัครจะต้องมีหลักฐานเพื่อแสดงการมีเครดิต เช่น หลักฐานการทำงาน และยังต้องมีเงินเดือนขั้นต่ำสูงกว่าที่ธนาคารเจ้าของบัตรกำหนด ดังนั้น บัตรเดบิตอาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนักเรียน นักศึกษาที่ยังไม่ได้ทำงาน นอกเหนือจากถือบัตรเสริมของบัตรเครดิต
  • ผู้ที่ต้องการลดจำนวนบัตรที่ถือโดยใช้บัตรเดบิตแทนบัตร ATM โดยทั่วไป เราไม่ต้องเสียค่าบริการเมื่อใช้บัตรเดบิตกดเงินสดผ่านตู้ ATM ของธนาคารเจ้าของบัตร แต่อาจมีข้อกำหนดของจำนวนครั้งในการใช้บริการภายในหนึ่งเดือน หรืออาจมีค่าธรรมเนียมจากการใช้บริการจากตู้ของต่างธนาคาร ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ จะแตกต่างกันไปในแต่ละบัตร แต่ละธนาคารอย่างไรก็ตาม ค่าธรรมเนียมในการกดเงินสดผ่านบัตรเดบิตจะน้อยกว่าการกดเงินสดผ่านบัตรเครดิตที่จะต้องเสียค่าธรรมเนียม เช่น 3% ของจำนวนเงินที่กดในแต่ละครั้ง

ใครที่เหมาะกับบัตรเครดิต

"ผู้ถือบัตรเครดิตพึงระลึกอยู่เสมอว่า การใช้จ่ายของเราต้องขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้ในแต่ละเดือน ไม่ใช่ใช้จ่ายตามวงเงินที่ได้รับ"

  • ผู้ที่มีวินัยในการใช้จ่ายด้วยตัวเอง บัตรเครดิตให้ความสามารถในการเป็นลูกหนี้ โดยเรายืมเงินจากธนาคารเจ้าของบัตรมาใช้ก่อน แล้วชำระหนี้เมื่อครบเวลา 1 รอบบัญชีหรือระยะเวลาประมาณ 1 เดือน ธนาคารเจ้าของบัตรจะพิจารณารายได้ของลูกหนี้ เพื่อกำหนดวงเงินของบัตรที่สามารถใช้จ่ายได้ในแต่ละรอบบัญชี ซึ่งผู้ถือบัตรอาจขอเพิ่มวงเงินชั่วคราวได้ จะเห็นได้ว่า บัตรเครดิตเปิดโอกาสให้เราเป็นหนี้ได้ง่ายหากไม่ระวัง เช่น บางบัตรเครดิตให้วงเงินสูงสุดถึง 5 เท่าของเงินเดือน ดังนั้นผู้ถือบัตรเครดิตพึงระลึกอยู่เสมอว่า การใช้จ่ายของเราต้องขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้ในแต่ละเดือน ไม่ใช่ใช้จ่ายตามวงเงินที่ได้รับ
  • ผู้ที่มีรายได้ประจำ เช่น พนักงานบริษัท หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้เข้าบัญชีตรงตามวันที่แน่นอน นอกจากการที่มีรายได้ที่แน่นอนในแต่ละเดือนเป็นคุณสมบัติสำคัญของการสมัครบัตรเครดิตเล้ว เราอาจตัดปัญหาการผิดนัดชำระค่าบัตรเครดิต โดยใช้การตัดบัญชีอัตโนมัติหลังจากวันที่เงินเดือนโอนเข้าธนาคารผู้ที่ต้องการบริหารค่าใช้จ่ายด้วยประโยชน์จากเครดิต เพราะการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมีการกำหนดวันในการชำระเงินล่วงหน้าไว้อย่างชัดเจน ทำให้เราสามารถบริหารกระแสเงินสดระหว่างเดือน รู้ว่าเงินเข้าวันไหน และเงินจะออกวันไหน นอกจากนี้ ด้วยการที่บัตรเครดิตเป็นการนำเงินในอนาคตมาใช้ ดังนั้นในกรณีฉุกเฉินที่เรามีความจำเป็นในการใช้จ่ายทันทีด้วยยอดเงินที่สูงกว่าเงินสดที่มีในปัจจุบัน เราก็สามารถชำระค่าสินค้าหรือบริการผ่านบัตรเครดิตไปก่อนได้ แต่อย่าลืมว่า ก่อนการใช้จ่ายทุกครั้ง เราควรมั่นใจว่า เราจะมีเงินเพียงพอที่จะชำระเต็มยอดในวันที่ครบกำหนดชำระหนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะหนี้บัตรเครดิตในเดือนต่อ ๆ ไป ซึ่งหากเป็นบัตรเดบิต เราจำเป็นที่จะต้องมียอดเงินในบัญชีที่ไม่น้อยกว่ายอดเงินที่ต้องการใช้ ณ เวลานั้น
  • ผู้ที่ซื้อของบน Internet เพราะร้านค้า online ทั้งในและต่างประเทศส่วนมากจะรับบัตรเครดิตที่มีตราสัญลักษณ์ Visa หรือ MasterCard ในขณะที่บางธนาคารยังไม่รองรับการใช้งานบัตรเดบิตบน Internet หรืออาจใช้งานได้กับบาง website ภายในประเทศเท่านั้น

ปัจจุบันนี้ สิทธิประโยชน์ที่ได้จากบัตรเดบิต เริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มจะเทียบเท่าบัตรเครดิต ไม่ว่าจะเป็น การยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี ส่วนลดจากร้านค้า หรือการสะสมแต้ม ดังนั้น การตัดสินใจว่าจะเลือกใช้บัตรเครดิต หรือบัตรเดบิตควรจะพิจารณาจากนิสัยการใช้จ่ายของตัวเราเองเป็นสำคัญ ประกอบกับข้อจำกัดดังที่กล่าวมาข้างต้น