กําจัดกลิ่นรักแร้ ธรรมชาติ

บ้านเราเป็นเมืองร้อนและชื้นซึ่งก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หลายคนมีกลิ่นตัวขึ้นมาได้ เนื่องจากกลิ่นตัวเกิดจากการสะสมของแบคทีเรียจากเหงื่อ จากเชื้อโรค เชื้อราตามผิวหนังและเสื้อผ้า ยิ่งมาบวกกับอากาศร้อน ๆ และความอับชื้นในอากาศ เชื้อแบคทีเรียที่รวมกับเหงื่อไคลของเราก็ยิ่งหมักหมมจนส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมากันใหญ่ ทว่าปัญหากลิ่นตัวจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องหนักใจอีกต่อไป ถ้าคุณได้ลองใช้ 9 สมุนไพรดับกลิ่นตัวต่อไปนี้

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://health.kapook.com/view178248.html

ขอบคุณภาพและบทความดีๆ จาก https://www.kapook.com

  • Facebook iconFacebook
  • Twitter iconTwitter
  • LINE iconLine

กําจัดกลิ่นรักแร้ ธรรมชาติ

กําจัดกลิ่นรักแร้ ธรรมชาติ

"กลิ่นตัว" ถือเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็สามารถมีหรือเกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะกับประเทศไทยที่เป็นเมืองร้อน ซึ่งก่อให้เกิดเหงื่อขึ้นตามตัวของเราได้โดยง่าย และต่อให้เราอาบน้ำใหม่ยังไง อีกซักพักเหงื่อเราก็จะออกแทบจะในทันที และมันก็จะเริ่มหมักหมม จนเกิดเป็นกลิ่นตัวได้ในที่สุด โดยกลิ่นตัวไม่ได้ส่งผลแค่กับตัวเราเท่านั้น แต่ยังส่งผลกับคนรอบข้าง จนเราเสียบุคลิก และเสียเสน่ห์ของตัวเราไปในที่สุด

วิธีแก้ปัญหา "กลิ่นตัวแรง" ให้หายขาด !!

  1. ลดอาหารที่มีรสจัดและอาหารที่เต็มไปด้วยเครื่องเทศ : ไม่ว่าจะเป็นหัวหอม ข่า ตะไคร้ หรือเครื่องแกงกะหรี่ เพราะอาหารรสจัดจะส่งผลกับกลิ่นตัว
  2. อาบน้ำวันละ 2 ครั้ง เพราะประเทศไทยเป็นเมืองร้อน จึงทำให้มีเหงื่อไคลมาก และจะควรอาบน้ำทั่วถึงทุกซอกมุมในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดอับชื้นหรือตามข้อพับ และใช้สครับรักแร้อาทิตย์ละ 3 ครั้ง 
  3. เลือกใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำที่ยับยั้งแบคทีเรีย
  4. ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นที่เหมาะกับตัวเอง เน้นพวกสเปรย์หรือแป้งที่ดูดซับความอับชื้นเป็นหลัก
  5. สครับผิวบ่อยๆ จะช่วยขัดเอาเหงื่อไคลที่เกาะติดผิวออก
  6. ใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าที่กำจัดแบคทีเรีย และควรตากให้แห้งสนิทก่อนนำมาใช้
  7. ควรเลือกเสื้อผ้าที่ใส่สบาย ไม่คับเกินไป เพราะมันจะระบายอากาศได้ยาก
  8. ฉีดโบท็อกซ์เพื่อหยุดการทำงานชั่วคราวของประสาทที่กระตุ้นต่อมเหงื่อ แต่จะอยู่ได้เพียง 3-6 เดือนเท่านั้น และมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก
  9. อย่าทำความสะอาดมากเกินไป เพราะการทำความสะอาดมากจนเกินไป ทำให้กลิ่นตัวเลวร้ายลง เพราะมันอาจเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายต้องขับเหงื่อให้มากยิ่งขึ้นเนื่องจากร่างกายขาดความชุ่มชื้นมากเกินไป
  10. โกนขน เพราะขนเป็นบ่อเกิดของการสะสมเชื้อแบคทีเรียจนเกิดกลิ่น
  11. ใช้ผ้าขนหนู หรือผ้าเช็ดหน้ามาชุบน้ำแล้วบิดให้หมาด หยดน้ำหอมลงไปเล็กน้อย แล้วนำมาเช็ดตามร่างกาย ใต้วงแขน ข้อพับ และแผ่นหลังให้ทั่ว
  12. ไม่ควรขัดผิวบ่อยๆ เพราะการขัดผิวจะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายถูกทำลาย ทำให้เกิดกลิ่นตัวง่าย ให้ขัดผิว 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอ
  13. ใช้แป้งดับกลิ่นตัว นิยมกันอยู่ 2 ยี่ห้อ คือ แป้งตราเต่าเหยียบโลก และ แป้งสะอาด โดยการนำมาใช้ทาให้ทั่วหลังอาบน้ำเสร็จ โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ที่ให้เน้นทาเป็นพิเศษหน่อย เพราะเป็นจุดอับที่เป็นตัวแพร่ขยายของแบคทีเรียได้
  14. น้ำยาระงับกลิ่นกาย หรือ ดีโอโดแรนท์ (Deodorant) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดูจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยน้ำยาระงับกลิ่นกายเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ เพราะกลิ่นกายเกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้ามาผสมกับเหงื่อ หากเราใช้น้ำยาระงับกลิ่นกายที่มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรีย กระบวนการที่ทำให้เกิดกลิ่นก็จะไม่เกิดขึ้น และน้ำยาระงับกลิ่นกายบางยี่ห้อยังมีสารระงับเหงื่อที่ผสมอยู่ด้วย ซึ่งจะช่วยเข้าไปจัดการกับเม็ดเหงื่อที่ผุดออกมา ทำให้เราไม่มีกลิ่นกาย นอกจากนี้น้ำยาระงับกลิ่นกายทั้งหลายก็มักจะใส่น้ำหอมเข้าไปด้วย ทำให้เรามีกลิ่นตัวหอมๆ แทนกลิ่นเหงื่อและกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ 
  15. ยาระงับเหงื่อ หรือ แอนตีเพอร์สไปแรนท์ (antiperspirant) ให้เลือกใช้แบบที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบและทำให้รักแร้ดำจากผื่นได้ โดยยาทาชนิดนี้จะไปทำปฏิกิริยาให้เกิดการอุดตันในท่อเหงื่อและลดการไหลของเหงื่อได้ ทางที่ดีคุณควรไปพบแพทย์เพื่อสั่งยาที่มีส่วนผสมของอะลูมิเนียมคลอไรด์ 20% สำหรับทาระงับเหงื่อ
  16. ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ โดยน้ำมันสกัดจากพืชหลายชนิดและสารสกัดจากธรรมชาติหลายชนิดก็มีสรรพคุณระงับกลิ่นกายได้ เช่น สารส้มสามารถช่วยระงับกลิ่นกายได้อย่างอยู่หมัด หรือจะใช้สารส้มสะตุนำมาผสมกับพิมเสนอย่างละเท่าๆ กัน บดให้ละเอียด แล้วผสมแป้งฝุ่นหรือดินสอพอง หยดน้ำลงไปนิดหน่อย แล้วนำมาใช้ทารักแร้ก็ได้
  17. ปูนแดง สามารถใช้ลดกลิ่นตัวได้ ด้วยการใช้ปูนแดงผสมกับน้ำทารักแร้หลังอาบน้ำ หรือจะใช้ปูนแดงและใบตำลึงนำมาตำผสมกัน ใช้พอกรักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก ซึ่งความเป็นด่างของปูนแดงจะช่วยปรับภาวะกรดในร่างกายที่ขับแบคทีเรียออกมาบนผิวได้ แต่ก็อย่าใช้ปูนแดงในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะจะกัดผิว ซึ่งถ้าหากทำเป็นประจำ กลิ่นตัวก็จะหายไปอย่างถาวร และยังทำให้ขนรักแร้ลดน้อยลงอีกด้วย
  18. เบคกิ้งโซดาหรือผงฟู ช่วยขจัดกลิ่นตัวได้ โดยให้นำเบคกิ้งโซดามาผสมกับน้ำเล็กน้อยให้พอข้น แล้วนำมาทาบริเวณรักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก เบคกิ้งโซดาจะช่วยลดกลิ่น ทำลายแบคทีเรีย และขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
  19. น้ำสกัดจากใบสะระแหน่ ลองไปหาซื้อน้ำสกัดใบสะระแหน่มาผสมกับน้ำเปล่า แล้วลงไปแช่ดูสักประมาณ 10 นาที ซึ่งน้ำมันสกัดจากใบสะระแหน่นี้จะมีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้า และขจัดกลิ่นตัวได้ดี
  20. สมุนไพรดับกลิ่นตัว ผักสมุนไพรจะช่วยระงับกลิ่นกายได้ มีอยู่หลายชนิด เช่น การรับประทานผักแขยงแบบสดๆ, การรับประทานผักกวางตุ้ง, การใช้น้ำมันพิมเสนต้น (Patchouli oil) ผสมกับน้ำอาบ, ใช้ข่อยขัดรักแร้, ใช้ใบพลูหรือใบฝรั่งนำมาโขลกให้ละเอียด แล้วนำมาทาบริเวณรักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วอาบน้ำล้างออกให้สะอาด หรือจะใช้มะขามเปียกหรือมะนาวแทน หรือจะใช้มะเขือเทศขนาดเท่าผลส้มเขียวหวานประมาณ 5 ผล ใส่น้ำ 2 แก้วปั่นในเครื่องปั่นให้ละเอียด แล้วใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำมาเทผสมกับน้ำในอ่างอาบ โดยให้ลงไปแช่ประมาณครึ่งชั่วโมง หากทำเป็นประจำก็จะช่วยลดกลิ่นตัวให้เหลือน้อยลงได้ นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรอื่นๆ อีกหลายชนิดที่ช่วยลดกลิ่นตัวได้ เช่น รากสามสิบ, ใบขลู่สด, เถา และใบตำลึง หรือแม้แต่คลอโรฟิลล์ เป็นต้น
  21. วิตามินและแร่ธาตุ สามารถช่วยต้านกลิ่นตัวได้ เช่น วิตามินซีที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นตัว หรือเลือกรับประทานวิตามินบี 1 ปริมาณ 50 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง และให้ลดลงเหลือ 20-30 มิลลิกรัม เมื่ออาการเริ่มดีขึ้นแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อควบคุมอาการ, รับประทานวิตามินบีคอมเพล็กซ์ 25,000 I.U. หนึ่งวันต่อสัปดาห์ รวมถึงวิตามินบี 6 สังกะสี และแมกนีเซียมช่วยได้เช่นกัน โดยให้เลือกรับประทานอาหารเสริมที่มีแร่ธาตุสามารถช่วยระงับกลิ่นตัวได้
  22. อบสมุนไพรและอาบน้ำสมุนไพร เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดและระงับกลิ่นตัวได้
  23. miraDry ทางเลือกใหม่ของการรักษา โดยใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย miraDry คือการใช้ปืนไมโครเวฟทำลายต่อมเหงื่อใต้วงแขนอย่างถาวร โดยวิธีนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับต่อมเหงื่อใต้วงแขนหรือรักแร้เท่านั้น ซึ่งจะไม่ส่งผลเสียอื่นๆ กับเราอย่างแน่นอน โดยเฉพาะสำหรับสาวๆ ซึ่งไม่เพียงแต่วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นเหงื่อใต้วงแขนได้แล้ว ยังช่วยกำจัดขนรักแร้ใต้วงแขนได้อีกด้วย
  24. ใช้คลื่นความถี่วิทยุ เพราะมีกลไกการทำงานโดยการใช้คลื่นความถี่วิทยุเข้าไปทำลายต่อมกลิ่น และต่อมเหงื่อให้หยุดการทำงานอย่างถาวร และการปล่อยคลื่น RF เข้าไปรักษานี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้วผิวหนัง ซึ่งทำให้ผิวตึงกระชับและมีความยืดหยุ่นได้อีกด้วย โดยจะช่วยลดเหงื่อและการเกิดกลิ่นได้
  25. ทำไอออนโตที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า สามารถรักษาภาวะเหงื่อออกมาจากฝ่ามือและฝ่าเท้าได้พอสมควร โดยการใช้มือแช่น้ำแล้วผ่านกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ประมาณ 30 นาทีต่อครั้ง แต่ผลการรักษาจะไม่อยู่ถาวร และต้องทำซ้ำหลายครั้งๆ การทำต่อครั้งก็ประมาณ 200 - 500 บาท
  26. เลเซอร์ YAG เป็นเลเซอร์ที่ถูกมาใช้กำจัดขนรักแร้เป็นหลัก มีผลพลอยได้คือช่วยกำจัดกลิ่นรักแร้ให้ด้วย ราคาทำครั้งละประมาณ 5,000 บาท และต้องทำประมาณ 5-6 ครั้งขึ้นไป เพื่อผลในการรักษาที่ชัดเจน
  27. ผู้ที่มีปัญหากลิ่นตัวมากจนเกินเยียวยา แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อตัดต่อมเหงื่อหรือเส้นประสาทที่ควบคุมต่อมเหงื่อ ซึ่งจะได้ผลดี แต่อาจทำให้เกิดแผลได้ ส่วนแพทย์บางท่านอาจแนะนำให้ผ่าตัดต่อมไขมันใต้ผิวหนังออก หรือดูดไขมันบริเวณรักแร้ออก
กําจัดกลิ่นรักแร้ ธรรมชาติ


สมัครสมาชิก

ยังไม่มีบัญชีเทพ สร้างบัญชีใหม่ ไม่มีค่าใช้จ่าย

หน้าที่เข้าชม1,210,348 ครั้งผู้ชมทั้งหมด1,100,498 ครั้ง