ตัวอย่างการบูรณาการ 8 กลุ่มสาระ

 เหตุผลที่สนับสนุนการเชื่อมโยงวิชาต่าง ๆ  เข้าด้วยกันในการสอนมีดังต่อไปนี้

                1.  สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงไม่ได้จำกัดว่าจะเกี่ยวข้องกับสาขาวิชาใดสาขาวิชาหนึ่ง  โดยเฉพาะ  ตัวอย่าง  เช่น  การเกิดอุทกภัย  ซึ่งเป็นเหตุการณ์เดียวแต่ก่อให้เกิดผลกระทบหลายอย่าง  เช่น  บ้านเรือนไร่นาเสียหาย  ธุรกิจหยุดชะงัก  โรงเรียนและสถานที่ต่าง ๆ ต้องหยุดงาน ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหลายประการ  ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ  เหล่านี้  เราจำเป็นจะต้องใช้ความรู้และทักษะจากหลาย ๆ  สาขาวิชามาร่วมกันแก้ปัญหา  การเรียนรู้เนื้อหาวิชาต่างๆ  ในลักษณะเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน  จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชา  และความสัมพันธ์ของวิชาต่าง ๆ  เหล่านั้นกับวิชาจริง

                2.  การจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการจะช่วยให้เกิดความสัมพันธ์เชื่อมโยง  ระหว่างความคิดรวบยอดในศาสตร์ต่าง ๆ  ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมาย  การเรียนการสอนในวิชาวิทยาศาสตร์  ไม่จำเป็นว่าความคิดรวบยอดจะต้องแยกจากความคิดรวบรวมยอดในวิชาอื่น ๆ  ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์  ภาษา  หรือสังคมศึกษา  เนื้อหาและกระบวนการที่เรียนในวิชาหนึ่งอาจช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจในวิชาอื่นดีขึ้นได้

                3.  การสอนที่สัมพันธ์เชื่อมโยงความคิดรวบยอดจากหลาย ๆ  สาขาวิชาเข้าด้วยกันมีประโยชน์หลายอย่าง  ที่สำคัญที่สุดคือช่วยให้เกิดการถ่ายโอนความรู้  (Transf  of  learning) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบูรณาการจะช่วยให้นักเรียนเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนเข้ากับชีวิตจริงได้และในทางกลับกันก็จะสามารถเชื่อมโยงเรื่องของชีวิตจริงภายนอกห้องเรียนเข้ากับสิ่งที่เรียนได้  ทำให้นักเรียนเข้าใจว่า  สิ่งที่ตนเรียนมีประโยชน์หรือนำไปใช้จริงได้

                4.  หลักสูตรและการเรียนการสอนแบบบูรณาการมีประโยชน์ในการขจัดความซ้ำซ้อนของเนื้อหาต่าง ๆ  ในหลักสูตร  ในปัจจุบันเราประสบปัญหาในเรื่องที่ความรู้และข้อมูลต่าง ๆ  เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมีเรื่องที่จำเป็นต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นจำนวนมากมายในแต่ละปีการเพิ่มขึ้นอย่างมากมายและรวดเร็วของความรู้และข้อมูลต่าง ๆ  นี้  ทำให้การเรียนแบบสัมพันธ์วิชามีความสำคัญมากกว่า  ที่ต่างวิชาต่างเพิ่มเนื้อหาเข้าไปในหลักสูตรของตน

                5.  การเรียนการสอนแบบบูรณาการสามารถตอบสนองต่อความสามารถของผู้เรียนซึ่งมีหลายด้าน  เช่น  ภาษา  คณิตศาสตร์  การมองพื้นที่  ความคล่องของร่างกาย  และความเคลื่อนไหวดนตรี  สังคมหรือมนุษย์สัมพันธ์และความรู้และความเข้าใจตนเอง  ซึ่งรวมเรียกว่า  พหุปัญญา  (Multiple  Intelligences)  และสนองตอบต่อความสามารถที่จะแสดงออกและตอบสนองทางอารมณ์  (Emotional  Intelligence) 

                6.  กระบวนการเรียนการสอนที่ใช้ในหลักสูตรแบบบูรณาการสอดคล้องกับทฤษฎีการสร้างความรู้โดยผู้เรียน  (Constructivism)  ซึ่งกำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในวงการศึกษาขณะนี้

ประเภทของการสอนแบบบูรณาการ

                การสอนแบบบูรณาการมี  แบบ  คือ 

                1.   การบูรณาการภายในกลุ่มวิชาหรือสาขาวิชาเดียวกัน  โดยกำหนดหัวเรื่อง (Theme)  ขึ้น  แล้วบูรณาการขอบข่ายวิชาต่างๆ  ในการสอนตามหัวเรื่องนั้น            

                2.   การบูรณาการระหว่างวิชา  เป็นการเชื่อมโยงหรือรวมศาสตร์ต่าง ๆ  ตั้งแต่  สาขาวิชา

ขึ้นไป  ภายใต้หัวเรื่อง  (Theme)  เดียวกัน  เป็นการเรียนรู้โดยใช้ความรู้เข้าใจและทักษะในศาสตร์หรือความรู้ในวิชาต่าง ๆ  มากกว่า  วิชาขึ้นไป  เพื่อการแก้ปัญหา  หรือ  แสวงหาความรู้ความเข้าใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  การเชื่อมโยงความรู้และทักษะระหว่างวิชาต่าง ๆ  จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง  ไม่ใช่เพียง ผิวเผิน  และมีลักษณะใกล้เคียงกับชีวิตจริงมากขึ้น

                การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบูรณาการระหว่างวิชา  จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับความรู้ความเข้าใจในลักษณะองค์รวม  ไม่ว่าวิชาใดก็จะสามารถจะใช้วิธีบูรณาการได้ทั้งสิ้น  ข้อสำคัญอยู่ที่ความสามารถในการบูรณาการที่ดี  การเรียนการสอนแบบบูรณาการระหว่างวิชาจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรู้ความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ  ที่อยู่รอบตัวได้ 

                การสอนแบบบูรณาการทั้งสองแบบมีหลักการเช่นเดียวกัน  กล่าวคือมีการกำหนดหัวเรื่องที่เชื่อมโยงความคิดรวบยอดต่าง ๆ  มีการวางแผนการจัดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ  ที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและลงมือปฏิบัติ 

รูปแบบของการบูรณาการ  (Models  of  Integration)

                รูปแบบของการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการมี  รูปแบบ  คือ

                1.  การสอนบูรณาการแบบสอดแทรก  (Infusion  Instruction) 

                                การสอนรูปแบบนี้ครูผู้สอนในวิชาหนึ่งสอดแทรกเนื้อหาของวิชาอื่น ๆ  เข้าไปในการสอนของตน  เป็นการวางแผนการสอนและสอนโดยครูเพียงคนเดียว

                2.  การสอนบูรณาการแบบขนาน  (Parallel  Instruction) 

                                การสอนตามรูปแบบนี้  ครูตั้งแต่  คนขึ้นไปสอนต่างวิชากัน  ต่างคนต่างสอนแต่ต้องวางแผนการสอนร่วมกันโดยมุ่งสอนหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหาเดียวกัน (Theme/concept/problem)  ระบุสิ่งที่ร่วมกันและตัดสินในร่วมกันว่าจะสอนหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหานั้นๆ  อย่างไรในวิชาของแต่ละคน  งานหรือการบ้านที่มอบหมายให้นักเรียนทำจะแตกต่างกันไปในแต่ละวิชา  แต่ทั้งหมดจะต้องมีหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหาร่วมกัน

                3.  การสอนบูรณาการแบบสหวิทยาการ  (Multidisciplinary  Instruction) 

                                การสอนตามรูปแบบนี้คล้าย ๆ  กับการสอนบูรณาการแบบขนาน (Parallel  Instruction)  กล่าวคือครูตั้งแต่  คนขึ้นไปสอนต่างวิชากัน  มุ่งสอนหัวเรื่อง  ความคิดรวบยอด/ปัญหาเดียวกันต่างคนต่างแยกกันสอนเป็นส่วนใหญ่  แต่มีการมอบหมายงาน  หรือโครงการ (Project)  ร่วมกัน  ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงสาขาวิชาต่าง ๆ  เข้าด้วยกัน  ครูทุกคนจะต้องวางแผนร่วมกันเพื่อที่จะระบุว่าจะสอนหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหานั้น ๆ  ในแต่ละวิชาอย่างไร  และวางแผนสร้างโครงการร่วมกัน(หรือกำหนดงานจะมอบหมายให้นักเรียนทำร่วมกัน)  และกำหนดว่าจะแบ่งโครงการนั้นออกเป็นโครงการย่อย ๆ  ให้นักเรียนปฏิบัติแต่ละรายวิชาอย่างไร 

                อนึ่ง  พึงเข้าใจว่าคำว่า  โครงการ  นี้มีความหมายเดียวกันกับคำว่า  โครงงาน  มาจากภาษาอังกฤษคำเดียวกันคือ  “Project”  หลายท่านอาจคุ้นกับคำว่า  โครงงาน มากกว่า  เช่น  โครงงานวิทยาศาสตร์  ซึ่งก็อาจเรียกว่า   โครงการวิทยาศาสตร์  ได้เช่นเดียวกัน

                4.  การสอนบูรณาการแบบข้ามวิชาหรือเป็นคณะ  (Transdisciplinary  Instrction)

                                การสอนตามรูปแบบนี้ครูที่สอนวิชาต่าง ๆ  จะร่วมกันสอนเป็นคณะหรือเป็นทีม  ร่วมกันวางแผน  ปรึกษาหารือ  และกำหนดหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหาร่วมกัน  แล้วร่วมกันดำเนินการสอนนักเรียนกลุ่มเดียวกัน

การสร้างบทเรียนแบบบูรณาการ

                การสร้างบทเรียนแบบบูรณาการมี  ลักษณะคือ  การสอนบูรณาการตามรูปแบบที่  และ  และการสอนบูรณาการตามรูปแบบที่  และ 

                การสอนตามรูปแบบที่  1  (Infusion  Instruction)  และรูปแบบที่  2  (Parallel  Instruction)  มี  วิธีคือ 

                วิธีที่หนึ่ง  เลือกหัวเรื่อง (Theme)  ก่อนแล้วดำเนินการพัฒนาหัวเรื่องให้สมบูรณ์  มีกำหนดวัตถุประสงค์ของกิจกรรมให้ชัดเจน  กำหนดแหล่งข้อมูลหรือทรัพยากรที่จะใช้ในการค้นคว้าและเรียนรู้และพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนและอื่นๆ  ตามลำดับ

                วิธีที่สอง  เลือกจุดประสงค์รายวิชาจาก  รายวิชาขึ้นไปก่อน  แล้วนำมาสร้างเป็นหัวเรื่อง  (Theme)  ที่ร่วมกันระหว่างจุดประสงค์ที่เลือกไว้กำหนดแหล่งข้อมูลหรือทรัพยากรที่ใช้ในการค้นคว้าและเรียนรู้และพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนและอื่นๆ  ตามลำดับ

                มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

                วิธีที่หนึ่ง  เลือกหัวเรื่องก่อน

                ขั้นที่  เลือกหัวเรื่อง  (Theme)  โดยวิธีต่อไปนี้

1.       ระดมสมองของครูและนักเรียน

2.       เน้นที่การสอดคล้องกับชีวิตจริง

3.       ศึกษาเอกสารต่างๆ

4.       ทำหัวเรื่องให้แคบลงโดยคำนึงถึงความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงความสะดวกในการเชื่อมโยงระหว่างวิชาความรู้  และความสนใจของนักเรียน

                ขั้นที่  พัฒนาหัวเรื่อง  (Theme)  ดังนี้

1.       เขียนวัตถุประสงค์โดยกำหนดความรู้และความสามารถที่ต้องการ  จะให้เกิดแก่ผู้เรียน  เขียนวัตถุประสงค์ในลักษณะที่จะช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างวิชา  กำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนเพื่อนำไปสู่กิจกรรม

2.       กำหนดเวลาในการสอนให้เหมาะสมกับกำหนดเวลาต่างๆ  ตามปฏิทินของโรงเรียน  เช่น  จำสอนเมื่อใด  ใช้เวลาเท่าไร  ยืดหยุ่นได้หรือไม่  ต้องใช้เวลาออกสำรวจหรือทำกิจกรรมนอกห้องเรียนหรือไม่  ฯลฯ

3.       จองเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการกระทำกิจกรรม

            ขั้นที่  ระบุทรัพยากรที่ต้องการ  ควรคำนึงถึงทรัพยากรที่หาได้ง่าย  แล้วติดต่อแหล่ง                                    ทรัพยากร

                ขั้นที่  พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน  ดังนี้

1.       พัฒนากิจกรรมที่ช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงกับเนื้อหาวิชาอื่น

2.       ตั้งจุดมุ่งหมายของกิจกรรมให้ชัดเจน

3.       เลือกวิธีที่ครูวิชาต่างๆ  จะทำงานร่วมกันเพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างวิชา

4.       เลือกวิธีการสอนที่จะใช้

5.       สร้างเอกสารแนะนำการปฏิบัติกิจกรรม

6.       สิ่งที่ครูควรจะต้องเตรียมล่วงหน้าอาจประกอบด้วยสิงต่อไปนี้

-          ใบความรู้

-          ใบงาน

-          แบบบันทึก (ซึ่งอาจเป็นแบบที่ครูออกแบบให้เลย  หรืออาจเป็นแบบบันทึกที่นักเรียนจะต้องช่วยกันออกแบบก็ได้)