01 02 ปริมาณยานพาหนะส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
03 การขยายถนนหรือสร้างทางพิเศษเพิ่มเติมสามารถทำได้ยาก
04 ความต้องการในการเดินทางคาดว่าจะเพิ่มขึ้นด้วยปัจจัยต่างๆ
หมายเหตุ:
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งมีความเชี่ยวชาญและมีผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในการให้บริการทางพิเศษก่อตั้งขึ้นในปี 2515 ปัจจุบันให้บริการทางพิเศษ 8 สายทาง มีระยะทางรวม224.6 กิโลเมตร และทางเชื่อมต่อ 3 ทางเชื่อมในกรุงเทพฯมีความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ในการบริหารจัดการทางพิเศษมีความเข้าใจและความชำนาญในการพัฒนาและบำรุงรักษาทางพิเศษอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการ กทพ. ซึ่งประกอบไปด้วยตัวแทนจากกระทรวงและหน่วยงานรัฐต่างๆดำเนินโครงการปรับปรุงและก่อสร้างทางพิเศษโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยขยายทางพิเศษไปยังบริเวณที่มีความต้องการใช้บริการสูง เพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัดดำเนินโครงการบำรุงรักษาทางพิเศษของ กทพ. ที่สำคัญเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและคุณภาพของทางพิเศษพัฒนาระบบจัดเก็บค่าผ่านทาง เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัด และเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการที่มา: การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือ กทพ. (อังกฤษ: Expressway Authority of Thailand ย่อว่า EXAT) เป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม ก่อตั้งขึ้นตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 290 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้าง หรือจัดให้มีทางพิเศษด้วยวิธีการใดๆ ตลอดจนบำรุงรักษาทางพิเศษและดำเนินงานต่างๆ ที่เกี่ยวกับทางพิเศษ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล[2][3] ประวัติ[แก้]ในช่วงปี พ.ศ. 2512 รัฐบาลของ จอมพลถนอม กิตติขจร ได้มีการเตรียมเสนอร่างกฎหมายเกี่ยวกับการก่อตั้งหน่วยงานที่ดูแลการก่อสร้างทางพิเศษและรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน[4]ซึ่งทางรัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นศึกษาผลกระทบในการก่อสร้างทางพิเศษแต่ด้วยอุปสรรคหลายอย่างทำให้รัฐบาลไม่สามารถเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่ สภาผู้แทนราษฎร ได้จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติตัวเองของจอมพลถนอมเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 กระทั่งวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 จอมพลถนอมในฐานะประธาน สภาบริหารคณะปฏิวัติ จึงได้ลงนามในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 290 เรื่องจัดตั้งการทางพิเศษแห่งประเทศไทยซึ่งได้ลงประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 แต่ทางการทางพิเศษได้ถือเอาวันที่ 27 พฤศจิกายน เป็นวันก่อตั้งองค์กรโดยในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2516 คณะรัฐมนตรี ได้มีมติแต่งตั้งนายประสิทธิ์ อุไรรัตน์ เป็นผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยคนแรก ในปี พ.ศ. 2530 คณะรัฐมนตรีและการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 290 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 ซึ่งมีสาระสำคัญคือให้ยกเลิกบทบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ต่อ สภาผู้แทนราษฎร และได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2530 [5] ในปี พ.ศ. 2535 มีการจัดตั้ง องค์การรถไฟฟ้ามหานคร เพื่อเป็นหน่วยงานที่ดูแลรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนโดยเฉพาะอันเนื่องมาจากการจราจรที่ติดขัดอย่างหนักในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และเพื่อความคล่องตัวในการจัดการการก่อสร้างและการบริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ต่อมาในปี 2550 คณะรัฐมนตรีและการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้เสนอร่างพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2551 โดยสาระสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้คือให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 290 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2515 และ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 290 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 พ.ศ. 2530 รวมถึงการแก้ไขวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งซึ่งไม่เข้ากับยุคสมัย สายทางพิเศษ[แก้]การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ปัจจุบันได้เปิดให้บริการทางพิเศษ 8 สายทาง คือ
ศูนย์ควบคุม[แก้]
ระบบจัดเก็บค่าผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์[แก้]การทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้เปิดให้บริการระบบจัดเก็บค่าผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Toll Collection System: ETCs) โดยเรียกว่า Easy Pass เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553 ในสายทางพิเศษเฉลิมมหานคร, ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษวงแหวนรอบนอกด้านใต้ (บางพลี-บางขุนเทียน) และวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ในสายทางพิเศษศรีรัช กทพ. ได้นำ Easy Pass เข้ามาใช้แทนระบบ Tag ของเดิมที่ได้ถูกยกเลิกการใช้งานแล้ว เพื่อขยายปริมาณการรองรับการจราจรบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทาง โดยสามารถทำได้สูงสุด 1200 คันต่อชั่วโมงต่อช่องทาง อ้างอิง[แก้]
ดูเพิ่ม[แก้]
|