ไป ยุโรป ใช้ บัตร เครดิต อะไร ดี

เมื่อเราต้องเดินทางไปต่างประเทศ เราควรพิจารณาว่าบัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต บัตรไหนจะดีกว่ากัน ลองดูข้อแตกต่างของการใช้งานบัตรสองชนิดนี้เวลาเราเดินทางไปต่างประเทศกันครับ

ประการแรกเลย คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าบัตรเอทีเอ็มของคุณเป็นแค่บัตรเอทีเอ็มธรรมดา กดเงินจากตู้ได้อย่างเดียว หรือบัตรเดบิต ที่สามารถใช้งานรูดได้เหมือนบัตรเครดิต แต่จะเป็นการหักเงินจากบัญชีโดยตรงแทนการใช้เครดิต?

(หากยังไม่แน่ใจความแตกต่างระหว่างบัตรเครดิตและบัตรเดบิต อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่)

สังเกตได้ง่าย ๆ คือ ดูหน้าบัตรว่าบัตรของคุณมีโลโก้ Visa หรือ PLUS หรือ MasterCard หรือไม่ ถ้ามีบัตรของคุณสามารถใช้ได้กับตู้เอทีเอ็ม และใช้รูดซื้อของแบบบัตรเครดิตได้เหมือนกัน หากไม่แน่ใจ ลองติดต่อธนาคารผู้ออกบัตรเพื่อสอบถามว่าบัตรของคุณเป็นประเภทไหน และสามารถนำไปใช้ในต่างประเทศได้หรือไม่ จะมีค่าใช้จ่ายอะไร อย่างไรบ้าง

หากคุณพกบัตรเดบิตไปใช้ที่ต่างประเทศ

ส่วนใหญ่แล้วบัตรเดบิตทำงานเหมือนเป็นบัตรเอทีเอ็ม แต่มีวิธีการใช้งานที่พิเศษเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง คือ สามารถใช้รูดเหมือนบัตรเครดิตได้ แต่แทนที่จะเป็นการใช้เครดิต จะเป็นการหักเงินคงเหลือจากในบัญชีที่ผูกอยู่กับบัตรเดบิตนั้นแทน

ทั้งนี้ มีข้อจำกัดว่าจะสามารถเบิกเงินสดได้สูงสุด 100,000 บาทต่อบัตร/ต่อวัน โดยสามารถเบิกเงินจากตู้เอทีเอ็มได้สูงสุดไม่เกินวันละ 10 ครั้ง และสามารถใช้บัตรเดบิตกดเงินสดทั้งจากตู้เอทีเอ็มของธนาคาร หรือต่างธนาคารก็ได้ ดังนั้นเราสามารถนำบัตรเดบิตไปใช้ในต่างประเทศได้ แต่หากเป็นการกดเงินในต่างประเทศ ทางธนาคารจะทำการลดจำนวนครั้งที่สามารถเบิกถอนเงินสดต่อวันลงเพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยให้เจ้าของบัตรในอีกทางหนึ่ง ส่วนจะเหลือกี่ครั้งต่อวันนั้นจะต้องสอบถามธนาคารที่คุณมีบัญชีอยู่เพื่อขอรายละเอียดเพิ่มเติม

ที่สำคัญอย่าลืมถ่ายสำเนาบัตร และช่องทางติดต่อธนาคารเจ้าของบัตรพกติดตัวไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินต้องขอความช่วยเหลือ จะได้สะดวกครับ

ส่วนกรณีที่คุณต้องการใช้บัตรเดบิตในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการต่าง ๆ ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ คุณจะถูกคิดค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงินเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงฯ ในการใช้บัตร ส่วนอัตราการคิดค่าความเสี่ยงจะต้องติดต่อสอบถามธนาคารเจ้าของบัตรเพื่อขอข้อมูลส่วนนี้เพิ่มเติมอีกครั้งครับ

หากคุณเลือกใช้บัตรเครดิตที่ต่างประเทศ

จะไปเที่ยวต่างประเทศทั้งทีจะพกเงินสดอย่างเดียวก็เสียวไส้ ยังไงก็ต้องพกบัตรเครดิตติดตัวไปด้วย แต่เราไม่ควรห่วงเที่ยวจนลืมใส่ใจเรื่องความปลอดภัย และการใช้งานบัตรเครดิตกันนะครับ

เมื่อเราจะเดินทางไปต่างประเทศแล้วนำบัตรเครดิตไปใช้ชำระค่าสินค้า หรือค่าบริการต่าง ๆ หากเราไม่ได้แจ้งบริษัทผู้ออกบัตรเครดิตให้เราไว้ เราอาจโดนระงับบัตรโดยไม่รู้ตัว เพราะบริษัทอาจคิดว่าบัตรถูกขโมย เนื่องจากอยู่ ๆ ก็มีการนำไปใช้ที่ต่างประเทศนั่นเอง ดังนั้นอย่าลืมแจ้งบริษัทก่อนนะครับว่าจะเดินทางไปเที่ยวที่ไหน ไม่อย่างนั้นจะหมดสนุกเอาได้ง่าย ๆ

การนำเอาบัตรเครดิตไปใช้ต่างประเทศอาจจะมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มเติมขึ้นมา เพราะบัตรเครดิตของแต่ละบริษัทก็มีบริการที่ต่างกันไป บางครั้งคุณอาจจะต้องเสียค่าธรรมเนียมไม่เท่ากันระหว่างที่ใช้บัตรในประเทศกับต่างประเทศ ดังนั้นการสอบถามรายละเอียดส่วนนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเช่นกันครับ

อีกเรื่องที่เหมือนกับบัตรเดบิต คือ เราต้องมั่นใจว่าเราสามารถติดต่อธนาคารได้แม้เราจะอยู่ต่างประเทศ และอย่าลืมถ่ายสำเนาบัตรเครดิตพกติดตัวเอาไว้เพื่อความอุ่นใจด้วยนะครับ

การใช้งานบัตรเครดิต บางคนรูดง่าย เซ็นคล่อง ดังนั้นการจดทำรายการการใช้บัตรเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำอีกอย่าง เพื่อที่ว่าเราจะได้เห็นตัวเลขเป็นลายลักษณ์อักษรว่าเราใช้ไปแค่ไหนแล้ว งบเรามีเท่าไหร่ จะได้ไม่ใช้เงินเกินงบ กลับบ้านมาแทนที่จะสบายใจ จะกลายเป็นหนี้หนักเข้าไปใหญ่นะครับ

ควรพกเงินสดสำรองเผื่อฉุกเฉิน

 

ไม่ว่าคุณจะใช้บัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต แต่เมื่อไปต่างประเทศ บ้านไม่คุ้น เมืองไม่เคย สิ่งสำคัญอีกอย่าง คือ การวางแผนเผื่อเหตุฉุกเฉินนั่นเอง หากบังเอิญบัตรเครดิตถูกขโมยไปจริง ๆ อย่างน้อยเราก็มีเงินสดสำรองเอาไว้ส่วนหนึ่งเพื่อติดตัวไว้ใช้จนกว่าจะได้บัตรใหม่ หรือมีบัตรเดบิตติดตัวไปอีกใบแล้วเอาไว้ใช้ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ หรือใช้บัตรเดบิต แต่ว่ามีบัตรเครดิตเอาไว้เป็นทุนฉุกเฉิน อย่างนี้เป็นต้นครับ

 

อย่าลืมนะครับ บัตรเดบิต และบัตรเครดิตบางใบ ก็ไม่สามารถใช้ได้ในต่างประเทศ ทางที่ดีตรวจสอบกับทางธนาคารตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนจะเดินทางเพื่อความรอบคอบจะดีที่สุดครับ

ช่วงเทศกาลท่องเที่ยว หลายๆ คนชอบไปเที่ยวต่างประเทศ และกลับมามักจะต้องทำงานใช้หนี้บัตรเครดิตก้อนใหญ่กันหัวโตเลยกับบัตรเครดิตที่รูดซื้อของ หรือจ่ายค่าโรงแรมที่เมืองนอกไป วันนี้เรามีข้อแนะนำดีๆ 10 ข้อที่จะช่วยให้เราเซฟเงินในกระเป๋าได้เวลาไปรูดบัตรเครดิตที่ต่างประเทศครับ และหลายๆ ข้อแนะนำในนี้หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนด้วย ซี่งจะช่วยให้เราไม่ต้องเสียเงินหลายๆ ส่วนที่ไม่น่าเป็นไปได้หลายบาทเวลาไปเที่ยวเมืองนอก เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

ไป ยุโรป ใช้ บัตร เครดิต อะไร ดี

ไป ยุโรป ใช้ บัตร เครดิต อะไร ดี

เวลาเรารูดบัตรที่ต่างประเทศ บางทีเค้าจะถามว่าให้รูดบัตรเป็น Local Currency (เช่น เที่ยวญี่ปุ่นอยู่ เค้าจะถามว่ารูดเป็นเงิน Yen หรือเปล่า?) หรือบางทีเค้าอาจไม่ถาม แต่เราต้องดูตอนก่อนเซ็น หรือบอกเค้าก่อนเลยว่าจะจ่ายเป็น Local Currency เพราะถ้าให้จ่ายเป็นเงินบาทของประเทศเรา แม้เราอาจสบายใจว่าเราจะเห็นตัวเลขของสินค้าที่เราซื้อเป็นบาทตอนนั้นเลยว่าแพง หรือไม่แพงยังไง แต่ปัญหาคือ เราอาจโดนอัตราแลกเปลี่ยน 2 ต่อทันที (ศัพท์เทคนิคในเชิงการเงินคือ Dynamic Currency Conversion คือแสดงจำนวนเงินที่เรารูดเป็นเงินบาทให้เห็นเลยว่าเท่าไหร่ (กรณีคนไทย)) ในกรณีตัวอย่างข้างต้นคือจาก Yen เป็น USD และจาก USD เป็น Baht ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนของพวก Visa หรือ Mastercard พวกนี้ ส่วนใหญ่จะแพงกว่าปกติอยู่แล้ว

ไป ยุโรป ใช้ บัตร เครดิต อะไร ดี

ถ้าเรามีบัตรเครดิตที่เข้าใช้ Lounge สนามบินได้ (มีบัตรไหนบ้าง ดูได้ที่นี่) จะเป็นประโยชน์มากเพราะเราจะสามารถเข้าใช้บริการ Lounge สนามบินได้ฟรี ทั้งใน และต่างประเทศโดยเฉพาะเวลาที่เราไปถึงสนามบินเร็วเกิน และไม่มีที่นั่ง หรือเวลาที่เราไม่อยากต้องเสียเงินซื้อของกิน เราก็เข้าไปกินอาหาร หรือเครื่องดื่มที่เสริฟ์ในเลาจน์พวกนี้ได้ฟรี แต่เราควรเช็คก่อนว่าเราบินสนามบินไหนบ้าง เพราะแต่ละบัตรอาจมี Lounge ให้เข้า หรือเงื่อนไขการใช้ในแต่ละสนามบินไม่เหมือนกัน สำหรับบัตรที่ Hi-So หน่อย เช่น Kbank Wisdom เราจะได้บัตร Priority Pass พ่วงมาด้วย ซึ่งบัตรนี้จะใช้เข้า Lounge ได้ในสนามบินหลากหลายประเทศทั่วโลกเลย

ไป ยุโรป ใช้ บัตร เครดิต อะไร ดี

บัตรเครดิตในบ้านเราเดี๋ยวนี้จัดโปรโมชั่นให้คนถือบัตรไปใช้กันที่ต่างประเทศได้หลากหลาย เช่น ไปใช้ที่ห้างสรรพสินค้าในบางประเทศ อาจได้รับส่วนลด หรือเงินคืน เป็นต้น ดูรายละเอียดโปรโมชั่นบัตรเครดิตที่ใช้ต่างประเทศได้ที่นี่ หรือแม้กระทั่งหลายๆ บัตรเครดิตในเวลานี้ก็มีโปรโมชั่นว่าถ้าใช้ในเดือนเกิด หรือในต่างประเทศ คะแนนสะสมจะได้ทวีคูณมากกว่าปกติหลายเท่า เป็นต้น

ไป ยุโรป ใช้ บัตร เครดิต อะไร ดี

แต่ละธนาคารจะมีการคิดค่าความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเวลาที่เรารูดที่ต่างประเทศด้วยเสมอ ซึ่งค่าความเสี่ยงนี้จริงๆ เป็นเรื่องของธนาคารที่ลดความเสี่ยงของตัวเองจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ธนาคารจะ Pass ความเสี่ยงพวกนี้มาให้เรา โดยแต่ละธนาคารจะคิดแตกต่างกัน ส่วนใหญ่จะเป็น 2.5% ของยอดที่ใช้จ่าย แต่บางที่ก็อาจคิดแค่ 2.0% ของยอดที่ใช้จ่าย เป็นต้น ซึ่งในบางช่วงเวลา ธนาคารแต่ละที่อาจมีให้โปรโมชั่นค่าความเสี่ยงที่ถูกกว่าปกติ ในบางช่วงเวลาได้ ซึ่งเราสามารถดูรายละเอียดเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

ไป ยุโรป ใช้ บัตร เครดิต อะไร ดี

ปัจจุบันมีหลายธนาคารออกบัตรพิเศษ (ซึ่งโดยลักษณะคือบัตรเติมเงิน / บัตรเดบิต หรือ Pre-paid Card) สำหรับไปใช้ที่ต่างประเทศโดยเฉพาะ คือ แม้จะไม่ได้เครดิต 45 วัน แต่อาจใช้รูดในต่างประเทศได้เลยในอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าบัตรเครดิต และไม่เสียค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงิน (FX Rate) ซึ่งลักษณะของบัตรพวกนี้คือ เราต้องเติมเงินบาทเข้าไปก่อน (Pre-paid) แล้วใช้เงินบาทนี้แลกเงินตราต่างประเทศสำหรับอัตราแลกเปลี่ยนประเทศที่เราจะใช้ไปก่อนเดินทาง หรือจะแลกระหว่างเดินทางก็ได้ (ส่วนใหญ่แลกได้ทางออนไลน์ตลอด 24 ชม.) และเมื่อนำไปใช้ ก็ใช้วิธีรูดกับเครื่องรูดบัตรเหมือนบัตรเครดิตปกติ เพียงแต่ว่าเงินจะถูกตัดจากบัตรทันทีโดยตัดเป็นเงินสกุลต่างประเทศนั้นๆ ที่เราได้แลกเก็บไว้ในบัตรเลย ในขณะที่ถ้ารูดบัตรเครดิต เราจะยังไม่ต้องจ่ายจนกว่าจะครบกำหนด (เช่น 45 วัน) แต่จำนวนที่เราต้องจ่ายเป็นบาทอาจจะสูงกว่าจ่ายโดยพวกเดบิตพวกนี้ ตัวอย่างของบัตรพวกนี้ก็เช่น

ไป ยุโรป ใช้ บัตร เครดิต อะไร ดี

ไป ยุโรป ใช้ บัตร เครดิต อะไร ดี

บัตรเครดิตสมัยนี้มีการให้ความคุ้มครองในหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวกับการเดินทาง หรือการท่องเที่ยวในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัตรที่เน้นเรื่องการท่องเที่ยว เช่น UOB Privimiles, Citibank Royal Orchid Plus ตัวอย่างความคุ้มครองก็เช่น คุ้มครองเรื่องเครื่องบินออกสายไม่ตรงเวลา กระเป๋าเดินทางหาย ไฟลท์บินมีการยกเลิก เกิดอุบัติเหตุ หรืออื่นๆ ซึ่งถ้าเราเอาบัตรเครดิตที่มีพวกประกันภัย หรือประกันชีวิตพวกนี้ไปด้วย ก็จะช่วยให้เราสบายใจขึ้น และประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย หรือได้ค่าชดเชยกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดพวกนี้ขึ้นระหว่างทริปของเรา

ไป ยุโรป ใช้ บัตร เครดิต อะไร ดี

ในการเดินทางไปต่างประเทศ อาจเกิดเหตุการณ์ที่เราต้องโทรคุยกับธนาคารที่ออกบัตรเครดิตให้เรา เช่น บัตรหายจะอายัด หรือบัตรรูดไม่ได้เพราะวงเงินไม่พอ หรืออยู่ดีๆ บัตรรูดไม่ได้โดยไม่มีสาเหตุ หรือต้องขอเพิ่มวงเงินกรณีฉุกเฉิน หรือต้องการใช้สิทธิเกี่ยวกับประกันภัยที่มีมาให้ในบัตร ถ้าเราเจอแบบนี้ เราอาจต้องพูดคุยกับพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งประจำการ 24 ชั่วโมง คอยช่วยดูแลเราอยู่ ตัวอย่างเบอร์สายด่วนของบางธนาคารก็เช่น

ไป ยุโรป ใช้ บัตร เครดิต อะไร ดี

ไป ยุโรป ใช้ บัตร เครดิต อะไร ดี

ไป ยุโรป ใช้ บัตร เครดิต อะไร ดี

บัตรเครดิตแต่ละบัตรจะมี "วงเงินที่จะใช้ได้ (Credit Line)" ไม่เท่ากัน และแต่ละคนก็อาจจะได้วงเงินจากธนาคารเดียวกันไม่เท่ากันด้วยก็ได้ ถ้าเราคิดว่าจะรูดซื้อของเป็นจำนวนสูงๆ และอาจเกินวงเงินที่เราได้จากธนาคาร (วงเงินนี้จะนับรวมการรูดแบบสะสมไปเรื่อยๆ ในแต่ละรอบบิลนะครับ ดังนั้นถ้าเรารูดสะสมมาตั้งแต่ก่อนไปต่างประเทศ และพอไปต่างประเทศยอดเงินเต็มพอดี เราก็จะใช้บัตรในรอบนั้นอีกไม่ได้แล้ว เว้นแต่จะขอเพิ่มวงเงินเป็นกรณีพิเศษ) เราอาจต้องโทรแจ้ง Call Center ทำเรื่องเพิ่มวงเงินไว้ก่อน เพราะไม่งั้นบัตรอาจโดน Reject ได้ วงเงินบัตรเครดิตเราจะกำหนดเองไม่ได้ ธนาคารจะดูจากความน่าเชื่อถือและสถานะการเงินของเราแล้วเป็นคนกำหนดให้ ไม่เหมือนพวก App ธนาคารที่เราจะสามารถเข้าไปกำหนดวงเงินสำหรับการโอนออก หรือเบิกถอนเงินสดใน App เองได้

ไป ยุโรป ใช้ บัตร เครดิต อะไร ดี

การเอาบัตรเครดิตไปหลายใบ ฟังดูหมือนเสี่ยงแต่จริงๆ ประโยชน์คือ ถ้าบางประเทศไม่รับบัตรบางบัตร เช่น บางประเทศในยุโรปอาจไม่รับ Amex หรืออยู่ดีๆ บัตรเครดิตเราโดนบางร้านค้าปฏิเสธ (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางเทคนิค หรืออะไรก็ตาม) เราก็จะมีบัตรอีกใบที่ร้านค้าอาจรับ หรือถ้าบัตรเครดิตหายไปใบหนึ่ง ก็อาจเหลือสำรองไว้ใช้อีกใบหนึ่ง แต่เพื่อความปลอดภัย ถ้าเราเอาไปมากกว่า 1 ใบ อาจแยกเก็บไว้ในกระเป๋ามากกว่า 1 ใบก็ได้ เพื่อลดความเสี่ยงว่าถ้าเราโดนล้วงกระเป๋า หรือกระเป๋าหายไปใบหนึ่ง เราก็ยังเหลือบัตรอีกใบใช้ ข้อนี้สำคัญมากสำหรับคนที่เดินทางคนเดียว และข้อแนะนำอีกอย่างคือ ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก Visa และ Mastercard จะเป็นที่ยอมรับมากที่สุดเมื่อเทียบกับ Amex (ส่วนใหญ่อเมริกา) Union Pay (ส่วนใหญ่จีน) และ JCB (ส่วนใหญ่ญี่ปุ่น) 

ไป ยุโรป ใช้ บัตร เครดิต อะไร ดี

ในแต่ละประเทศ และแต่ละผู้ออกบัตรเครดิต อาจมีวิธีการ Verify ความเป็นเจ้าของ และตัวตนจริงของผู้ถือบัตรเครดิตไม่เหมือนกันเวลารูด บางที่หรือบางประเทศไม่ได้ใช้ระบบเซ็นลายมือชื่อเหมือนบ้านเรา แต่เค้าจะใช้ระบบให้กดตัวเลข PIN Number บางร้านค้าใช้ระบบเซ็นลายมือชื่อ แต่ถ้าจำนวนต่ำกว่ากำหนด เช่น 1,500 บาท หรือ 50 USD ก็อาจไม่ต้องเซ็น เป็นต้น ด้งนั้นก่อนไปควรลองทำการบ้านดูก็ดีครับ โดยเฉพาะบางประเทศที่เวลารูดบัตรต้องกด PIN Number ด้วย ถ้าเราเช็คตัวเลข Pin Number ของเราไปก่อนเดินทางก็จะช่วยให้เราสะดวกมากยิ่งขึ้น

เป็นยังไงกันบ้างครับ กับเช็กลิสต์ 10 ข้อนี้ หวังว่าจะช่วยให้เพื่อนๆ เดินทางท่องเที่ยวได้อย่างอุ่นใจมากยิ่งขึ้นนะครับ และหากมีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิต และการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ทาง CheckRaka.com ก็ไม่พลาดที่จะนำมาฝากเพื่อนๆ อีกแน่นอน Happy Trip นะครับ :)