หลังจากอิ่มแล้วก็เดินเล่นไปมา พยายามอยู่นานที่จะไม่เข้าไปใน King Powder Duty Free แต่สายตาก็ดันดีเกิ๊นนน เหลือบไปเห็นยี่ห้อ The History of Whoo เป็นเครื่องสำอางจากเกาหลีซึ่งแพ็คเกจสวยมากๆ ก็เลยกะว่าจะซื้อลิปสักแท่งละกัน เอามาลองดูว่าดีมั้ย ถ้าดีก็มีขายในเคาน์เตอร์บ้านเราก็ค่อยซื้อ แต่ดันเหลือบไปเห็น Cushion อีก ก็เลยโดนมา 2 สิ่งค่ะ แต่บอกเลยว่าคุ้มค่ามาก ลิปสติกแท่งละ 1,400 บาท Cushion ตลับละ 1,800 บาท (มีรีฟิลด้วย) แล้วจ๊ะจ๋าเป็นสมาชิกคิงพาวเวอร์ก็ได้ส่วนลดไปอีก 10% กรีดร้องงงง นี่กำลังจะหยิบลิปสติกเพิ่มอีก 3-4 แท่ง แต่แฟนเบรคไว้ก่อน ฮ่าๆ Show ก็นั่งเครื่องบินมา หลับตั้งแต่เครื่องบินยังไม่ขึ้นเลยค่ะ ฮ่าๆ มาถึงที่ปีนังประมาณ 4 โมงครึ่ง (ต้องปรับเวลาบวก 1 ชั่วโมงจากไทยนะคะ) ระหว่างที่กำลังเดินตามทางไปเรื่อยๆก็เจอร้านขายซิมการ์ดเลยแวะซื้อก่อน เห็นมีค่ายสีแดงกับสีเหลือง แต่สีเหลืองคนมุงเต็มเลยขี้เกียจรอ ซื้อของค่ายสีแดงมา 26RM (RM = ริงกิต, เรทตอนที่ไปประมาณ 9 บาท/ 1 RM) ก็เข้าแถวด่านตม. จู่ๆก็เจอผู้หญิงวัยประมาณ 30 ปีเดินมาข้างๆ เราก็หันไปมองข้างหลังก็เห็นแถวมันยาวแล้วไม่มีที่ยืน ก็เข้าใจว่าเค้าคงจะซ้อนแถวสองแล้วรอเข้าทีหลัง แต่พอแถวขยับเท่านั้นล่ะ เจ้แกรีบเดินจะแซงเข้ามาข้างหน้า นี่ก็ไม่ยอมค่ะ ยืนต่อคิวตั้งนานจะมาแซงซะงั้น เพื่อนๆเจ้ก็สะกิดนางนะบอกให้ไปเข้าคิวด้านหลัง นางทำมึนเดินไปแซงคนข้างหน้าเฉยเลย เห็นพาสปอร์ตคือคนจีนค่ะ อื้มมมม ชื่อเสีย(ง)ล่ำลือไกล ด่านตม.ที่นี่ไม่ต้องกรอกเอกสารเหมือนที่เคยเข้าประเทศอื่น ก็สะดวกดีแฮะ จากนั้นก็เดินออกมารอรับกระเป๋าค่ะ สนามบินที่นี่เป็นสนามบินไม่ใหญ่มาก เลยทำให้แถวที่รอคิวออกนั้นยาวเหยียดเลย เราก็ต่อคิวปกติ แต่แล้วจู่ๆก็มีผู้ชายหน้าจีนๆมาพร้อมกระเป๋าเดินมาจะแซงตรงหน้าเลย (ทำไมดวงโดนคนเอาเปรียบตลอดเลยเนี่ย - -") แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะฝรั่งด้านหลังตัวใหญ่เค้ากระดิกนิ้วแล้วพูดว่า "Hey! Line up!" อู้วววว ตอนนั้นนี่หันไปยิ้มให้เลย เพราะเราก็ไม่กล้าพูดไล่ตรงๆ เพราะไซส์ห่างกับคนจีนนั้นเยอะเลย ต่อไปคือการเดินทางไปยังที่พักค่ะ ตั้งใจว่าจะนั่งบัสไปละกันเพราะประหยัดดี (คนละประมาณ 4RM มั้งไม่แน่ใจ) ก็เดินลากกระเป๋าออกมาตรงที่รอรถบัส แล้วก็ไม่มาสักที คือแดดที่ปีนังร้อนมากกกกก แสบผิวขั้นแม็กซ์เลยค่ะ ระหว่างที่ยืนรอรถอยู่นั้นก็มีคนขับแท็กซี่เดินมาถามว่าเราจะไปไหน ก็บอกไปว่าจะไป Batu Ferringhi (อยู่ติดทะเลทางตอนเหนือของปีนัง ส่วนสนามบินอยู่ทางตอนใต้) เค้าก็บอกว่า Seventeen RM ก็เลยหันไปมองหน้ากับแฟน เอ้ย!ไม่แพงหนิ งั้นนั่งแท็กซี่ละกัน ไม่ยืนรอละ มันร้อนมาก ขณะอยู่ในรถเค้าก็ชวนเราคุยเรื่อยๆ คนขับรีบออกตัวว่าเค้าเป็นคนขับ Uber นะ แต่ไม่ต้องใช้ Application เอา Name card ไปแล้วโทรมาถ้าอยากจะไปเที่ยวไหน เค้าออกตัวแรงว่าไม่ต้องกังวลนะ แท็กซี่ที่นี่โนชีตติ้ง #ยิ้มอ่อน ระหว่างที่นั่งไปเรื่อยๆนั่นแทบอยากจะอาเจียนค่ะ เพราะเค้าเลือกเส้นทางเลี่ยงรถติด จากที่จะต้องผ่านตัวเมืองก็ไปขับลัดเลาะเขาแทน คือมึนมาก โค้งอะไรจะเยอะขนาดนั้น ระหว่างทางจู่ๆก็คุยเรื่องอะไรกันสักอย่างแล้วไปสะดุดตรงที่ว่าเนี่ยยูขึ้นรถแท็กซี่มาอ่ะถูกแล้ว ถ้ารอรถบัสนะกว่าจะถึงก็อีกนานเพราะตอนนี้รถติดมาก เวลาเลิกงาน แค่ 70 RM เอง เราก็ เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ! ตอนที่คุยตอนแรกคือย้ำแล้วนะ ถามแล้วด้วยว่า 17 RM ใช่มั้ย เค้าก็เยสๆ Seventeen พอขึ้นรถมาทำไมมันพูดชัดเป็น Seventy เลยล่ะ มีย้ำอีกที Seven-Zero ไอ้เราก็หันหน้ามองกัน เอาละไง พี่แท็กเล่นละไง ฮ่าๆๆๆๆ ขำแรง คือก่อนมาเนี่ยมีเพื่อนของแฟนเค้าก็เตือนมาแล้วว่าแท็กซี่ที่นี่แพงนะ แล้วก็โก่งราคาสุดๆเลยโดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวเนี่ย แต่ตอนนี้ไม่ทันละ นั่งรถเค้ามาเป็นชั่วโมงละไง ก็จ่ายไปเลยจ้ะ 70 RM แล้วก็มาถึง Roomie's Suite (ในรูปด้านบน) ก็ทำการเช็คอินกันไป ที่นี่ต่างกับอีกที่คนละขั้วเลยค่ะ ค่าห้องพักที่ Roomie's guesthouse จ่ายคนละประมาณ 300 กว่าบาท แต่ที่ Roomie's Suite คืนละประมาณ 1,4xx บาทรวมอาหารเช้า แต่บอกเลยว่าจองมา 3 คืน ไม่เคยทานอาหารเช้าของที่พักเลย ฮ่าๆ ปลั๊กไฟที่นี่ไม่เหมือนบ้านเราเพราะฉะนั้นต้องใช้ Adapter ค่ะ ถ้าไม่ได้เอามาก็ไม่เป็นไรเพราะไม่ไกลจากที่พักมีขายอยู่ 14RM ถามว่าทำไมรู้ดีล่ะ ก็เพราะนี่ไปซื้อมาไงล่ะคะ ฮ่าๆๆๆ วันแรกที่มาถึงนี่ไม่ได้เที่ยวเลย ได้แค่สำรวจบริเวณรอบๆที่พักเท่านั้นเนอะ เพราะเดินทางก็เหนื่อยละ แล้วเวลาก็เร็วกว่าไทยไป 1 ชั่วโมงอีก วันที่ 2 และวันที่ 3 ช่วงเช้า จ๊ะจ๋ามีธุระก็เลยไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยค่ะ ได้ออกมาผจญภัยก็วันที่ 3 ตอนบ่ายละ คนปีนังจะมีมุสลิม อินเดียแล้วก็จีน คือในแต่ละโซนที่อยู่อาศัยเนี่ยก็ค่อยข้างจะชัดเจนอยู่นะ อย่างตรง Batu Ferringhi อ่ะค่ะ เป็นมุสลิมเสียส่วนใหญ่เลย ไม่เจอคนจีนแถวนี้ มีแต่มุสลิมและอินเดีย อาหารการกินก็จะหาหมูไม่ได้เลย จะมีแต่ไก่และเนื้อ ถ้าอยากจะทานอาหารแบบอร่อยๆจีนๆหน่อยต้องเข้าไป George Town ค่ะ จ๊ะจ๋าขึ้นจาก Batu Ferringhi ไปยัง George Town ค่าโดยสารคนละ 2.70RM ค่ะ แต่ถ้าเรียกแท็กซี่ไปล่ะก็ 50RM ค่ะ อยู่ไทยก็ไม่ขึ้นรถเมล์แต่มานี่ต้องขึ้นจ้า แทบจะไม่ได้นั่งเลย บอกเลยว่ายืนยาวๆเป็นเวลาชั่วโมงกว่าๆจนถึงที่หมายเลย ตอนแรกๆก็ดี๊ด๊าอยู่แค่ป้ายสองป้าย หลังจากนั้นคนเต็มรถเลย แล้วอินเดียอ่ะคือกลิ่นตัวเค้าเหม็น T^T นี่ก็ยืนติดกระจกแดดส่องแสบผิวสุดๆ กลิ่นก็ไม่บริสุทธิ์ โอยยยย อารมณ์เหมือนผัดซีอิ๊วบ้านเรา ซึ่งร้านนี้ผัดอร่อยมากกกกกกก แนะนำเลยค่ะ เพราะทริปนี้จ๊ะจ๋าไม่ได้ทานชาก๋วยเตี๋ยวแค่ร้านนี้ร้านเดียว แต่ร้านนี้ตราตรึงใจมากบอกเลย ถ้ามาแล้วจะไม่ผิดหวัง แล้วก็เดินมั่วมากๆจนมาเจอที่นี่เช่นกัน ณ ตอนนั้นคืออยากได้ห้องแอร์มากเพราะเหงื่อออกแบบไม่ไหวแล้ว แล้วก็จ่ายเงินเข้าไปตากแอร์ค่ะ รู้สึกค่าแอร์จะแพงไปนะ ฮ่าๆ แชะ แชะ!! แผ่นฟิล์มสมัยก่อน สวยดีเนอะ แล้วเราก็ออกมาเดินตากแดดกันต่อ บ้านเมืองในโซนนี้เนี่ยบอกเลยว่าเหมือนแฝดเมืองเก่าภูเก็ตชัดๆ เป็นตึกชิโนโปรตุกีส สั่ง Bak Kut Teh ไปก็ได้มาเป็นชุดพร้อมข้าวและปาท่องโก๋เลย ระหว่างที่นั่งทานอยู่ก็มีคุณยายโต๊ะข้างๆเค้าก็มองมาแล้วก็ยิ้มให้พร้อมพูดภาษาจีนมารัวเลย นี่ก็งงได้แต่ยิ้มแห้งๆ พอยายเค้าทานเสร็จกำลังจะออกจากร้าน นางก็มายืนใกล้เลยค่าาา แล้วก็พูดจีนใส่รัวเลย หน้าตายิ้มแย้ม แต่ไม่รู้เลยสักนิดว่าเค้าพูดว่าอะไร แล้วคือไม่ใช่แค่ประโยคสองประโยคนะ นางพูดยาวเป็นนาทีเลย พอนางเดินไป โต๊ะข้างๆที่เป็นครอบครัวคนจีนก็หันมามองจ๊ะจ๋าหมดเลยแบบว่าทำหน้าเหมือนอยากรู้อยากเห็นอะไรสักอย่าง นี่งงว่ายายพูดอะไร ก็เลยรีบทานแล้วรีบไปเลยค่ะ เหมือนจะเป็นร้านขายขนมพื้นเมืองเค้านะคะ ทั้งๆที่จ๊ะจ๋าเพิ่งจะอิ่มแต่เห็นขนมนี่ไม่ได้เลย ก็เข้าร้านทันทีเลยค่ะ ถ้าจะซื้อพวกขนมของฝาก จ๊ะจ๋าแนะนำร้านนี้ค่ะ ร้านนี้เค้าไม่ได้มีแค่ร้านเดียวนะ เหมือนเค้าจะเป็นร้านดังเลยล่ะ ในห้างก็มีสาขาย่อย ที่สนามบินก็มีเช่นกัน ราคาก็จะแพงกว่าหน่อย แล้วจ๊ะจ๋าก็เดินเล่นต่อแค่แปปเดียวก็ไปขึ้นรถบัสกลับที่พักแล้วค่ะ เพราะนี่ก็ไม่รู้ว่ารถหมดกี่โมง ก็เพิ่งนึกได้ว่าทำไมไม่ถามเค้าเนอะ จะได้เดินเล่นต่อ จากในรูปนี่คือประมาณ 1 ทุ่มแล้วค่ะ แดดยังคงสะท้านอยู่เลย ดันสุ่มผิดไปหน่อย ร้านนี้เน้นอาหารปากีสถาน มีซีฟู้ดและอาหารอินเดีย คือแบบชิลๆ ก็สั่งมาทานคนละจาน (ตอน 3 ทุ่มครึ่ง) พร้อมกับดื่มเบียร์และจิบไวน์ มื้อค่ำนี่ตั้งใจว่าจะหาร้านอาหารที่แบบหรูๆแพงๆทานก่อนกลับ แต่นี่ก็ไม่แพงมาก ทานไปทั้งหมด 107RM เท่านั้น คือพันกว่าบาท แล้วก็มาถึงวันสุดท้ายแล้วค่าาา ตื่น 8 โมงแล้วแล้วเช็คเอาท์ออกจากที่พัก 10 โมง เพื่อที่จะมีเวลาแวะไปจอร์ชทาวน์เล็กน้อย อาหารเช้าก็ไม่ได้ทานเช่นเคย มื้อเช้าวันแรกกับวันที่สองนี่ทานที่ Starbucks ตลอดเลย วันสุดท้ายนี่ล่ะที่จะทานอาหารพื้นเมืองให้ได้ และแน่นอนว่าไม่ขอทานอาหารมุสลิมแล้ว ก็เอากระเป๋าขึ้นรถบัสไปจอร์ชทาวน์เลย แล้วคนแบบเต็มคันรถ ไม่มีที่นั่ง กระเป๋าก็ใบใหญ่ ทุลักทุเลมาก แต่มีฝรั่งใจดีที่เค้านั่งอยู่ เค้าอาสาเอาขาหนีบกระเป๋าไม่ให้ไหลไปมาให้ เพราะว่ามันจับไม่ทันจริงๆค่ะ มือต้องจับที่จับไว้ ไม่งั้นเซล้มแน่ ขนาดว่าจับยังเซจะล้มเลยค่ะ ชื่อร้าน "Restoran Zim sum" คือดูจากโหงวเฮ้งแล้วต้องอร่อยแน่ๆ และจ๊ะจ๋าก็ทานติ่มซำเป็นอาหารเช้าประจำอยู่ละ ก็เดินเข้ามาในร้าน พนักงานก็จะพาไปที่โต๊ะ จากนั้นก็เดินลุกไปหยิบจานที่เราอยากทานได้เลยค่ะ "Restoran Zim sum"เป็นร้านที่จ๊ะจ๋า Recommended เลยค่ะ ถ้ามาปีนังอยากจะให้มาลองทานร้านนี้จริงๆ อร๊อยอร่อยและราคาไม่แพงด้วย มือเช้าประมาณ 10 กว่าริงกิตเท่านั้น แล้วรถก็ไปหยุดที่ท่ารถติดกับท่าเรือเลย ก็เลยออกมายืนรอข้างหน้าแล้วใช้ App Uber เรียกแท็กซี่มารับไปสนามบินค่ะ ถ้าจะนั่งบัสไปก็กลัวว่าจะตกเครื่อง ลองเรียกแล้วราคาไม่แพงเลยค่ะ แนะนำว่าถ้าอยากนั่งแท็กซี่ใช้เรียกผ่าน Uber เลยค่ะ อย่าไปโบกแท็กซี่ตามท้องถนนเพราะเค้าไม่มีมิเตอร์ พอไปถึงสนามบินก็แวะทานชาก๋วยเตี๋ยวอีกร้าน คือร้านนี้ไม่ถูกปากอ่ะค่ะ แต่ร้านนี้เน้นใส่หอยเยอะนะ จากนั้นก็เดินเลือกซื้อของฝากอีกนิดหน่อย ซึ่งตอนนี้หมดไปหลายอย่างละ เป็นคนที่ชอบทานขนมอ่ะเนอะ แล้วดันอร่อยอีก ทริปนี้ก็ใช้เงินไปไม่มาก คือใช้แบบไม่เซฟเลยนะคะ เข้าสตาบัคบ่อยมาก แต่อาจจะเป็นเพราะไม่มีแหล่งให้ช็อปปิ้งอะไรเลยนอกจากขนมก็เลยหมดไปไม่เยอะ แลกเงินไป 1,150RM (ประมาณ 10,000 บาท) เหลือกลับมา 400RM แน่ะ ค่าตั๋วเครื่องบินไม่ได้จองไป-กลับทีเดียวก็เลยแพงหน่อย ค่าตั๋ว 2 คนก็หมื่นกว่าบาท ตกคนละเกือบ 6,000 บาท คนมาเลย์ชอบซื้ออะไรในไทยของฝากที่คนมาเลเซียชื่นชอบ ได้แก่ ยาหม่องน้ำเซียงเพียวอิ๊ว แป้งตรางู ยาสีฟันเทพไท เหล่านี้ คือ local product ที่นักท่องเที่ยวเคยใช้มาแล้วติดใจก็กลับมาซื้อซ้ำอีก
เที่ยวปีนังช่วงไหนดีที่สุด3. ไป เที่ยวปีนัง ช่วงไหนดีที่สุด
จะบอกว่าดีมากๆ ที่เราสามารถท่อง เที่ยวปีนัง ได้ตลอดทั้งปีเลยค่ะ ภูมิอากาศโดยรวมคือ ร้อน และ ชื้น(มาก) มีฝนตกตลอดทั้งปีค่ะ โดยฤดูฝน เริ่มตั้งแต่ เดือนเมษายน – กันยายน ส่วนเดือนตุลาคมนั้น อาจสามารถเจอหางฤดูฝนได้ (ไม่ได้ตกทุกวัน) โดยที่ปีนังสามารถมีฝนตกได้ตลอดปีค่ะ
ไปปีนังต้องกินอะไรกินไรดี... CHENDUL – แชนเดิล (3.5 RM) ... . LOK LOK – ลวกลวก (5.6 RM) ... . ICE BALL – น้ำแข็งไส (1.7 RM) ... . ASSAM LAKSA – อาซัม ลักซา (4.8 RM) ... . PUFF DURIAN – พัฟทุเรียน ร้าน Taste Better (3 ชิ้น 5.7 RM) ... . CHEE CHEONG FUN ( 5 RM ) ... . ROJAK – โรจ๊ะก์ ... . SATAY – สะเต๊ะ ( 12 RM). ไปปีนัง ต้องใช้เอกสารอะไรบ้างการเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวปีนัง มาเลเซีย. พาสปอร์ตที่มีอายุใช้งานคงเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือน. วัคซีนพาสปอร์ต ... . ไม่ต้องมีประกันโควิด. แลกเงิน ... . ภาษา ... . เสื้อผ้าชุดแต่งกาย ... . เวลาที่มาเลเซียจะเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมงค่ะ. |