การดูแลตัวเอง หรือคนรอบข้าง ให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ นับว่าเป็นการป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนได้ และครอบครัวใดที่มีผู้สูงอายุอยู่ในบ้าน แม้ว่าผู้สูงอายุ จะไม่ได้มีภาวะของโรคกระดูกพรุน หรือไม่มีอาการของโรคกระดูกพรุนเลย แต่การดูแลผู้สูงอายุอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้นะคะ กระดูกพรุนเป็นภาวะที่เกิดขึ้นในกลุ่มของคนปกติซึ่งบ่งบอกว่าตนเองกำลังย่างเข้าสู่วัยชรา ผู้ป่วยบางรายไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะดังกล่าว จนกระทั่งเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือกระดูกบางส่วนมีการทรุดหัก ซึ่งภาวะที่พบกระดูกหักนั้นเป็นการตระหนักได้ว่า กระดูกไม่ได้รับการดูแล ไม่ได้ซ่อมแซมและไม่ได้ปรับปรุงคุณภาพในระยะเวลาอันควร จนทำให้กระดูกขาดความแข็งแรงและไม่สามารถทนแรงกระแทกได้ แม้ว่าจะเป็นการล้มเพียงเบาๆ หรือสะดุดก็อาจทำให้กระดูกหักหรือหักป่นจนยากที่จะซ่อมแซม ป้องกันกระดูกพรุนในวัยทองได้อย่างไร?วิธีการรักษาปัจจุบันมีการรักษาโรคกระดูกพรุนด้วยยาและฮอร์โมน ซึ่งใช้สำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระดูกพรุนเท่านั้น ทั้งในโรคกระดูกพรุนปฐมภูมิ และทุติยภูมิ โดยที่การรักษาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ข้อปฏิบัติหากสงสัยว่าเป็นโรคกระดูกพรุนหากท่านมีความสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยงภาวะกระดูกพรุน ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและในบางกรณีอาจต้องมีการวัดมวลกระดูกรวมทั้งการตรวจโลหิต เพื่อวินิจฉัยภาวะแทรกซ้อนอันเป็นเหตุให้เกิดการละลายของกระดูกเร็วก่อนวันอันควร รวมทั้งการตรวจพิเศษบางประเภท เพื่อช่วยในการหาความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนทุติยภูมิ แจ้งให้ผู้ป่วยทราบว่าโรคกระดูกพรุนเป็นโรคเรื้อรังที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาและการเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง แลระยะเวลานาน ความสำเร็จของการรักษาโรคกระดูกพรุนขึ้นอยู่กับการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต การรับประทานอาหาร และการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอมียาหลายชนิดที่มีหลักฐานทางการแพทย์ว่าสามารถรักษาโรคกระดูกพรุน ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสม 1 รับประทานแคลเซียมและวิตามินดี ให้พอเพียง (Adequate Intake of Calcium and Vitamin D)
2 ยาป้องกันการสลายกระดูก (Inhibitors of Bone resorption) ได้แก่ ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนต(Bisphosphonate), ฮอร์โมนเพศหญิง(Estrogen/Progestin), SERMs(Raloxifene), Calcitonin 3 ยาที่กระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่ (Stimulators of Bone formation)ได้แก่ ฮอร์โมนพาราไทรอยด์(Teriparatide), Denosumab (Receptor Activator of Nuclear Factor kappa-B (RANK) Ligand (RANKL)/ RANKL Inhibitor) 4 ยาที่ออกฤทธิ์ป้องกันการสลายกระดูกและกระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่ ได้แก่ วิตามินดี (Vitamin D), Strontium ranelate เป็นต้น 5 ระมัดระวังการหกล้ม หรืออุบัติเหตุ เพราะจะทำให้กระดูกหักได้ โดยแก้ไขภาวะต่างๆที่ผิดปกติของร่างกายที่ทำให้เกิดการหกล้มหรืออุบัติเหตุ เช่น
การดำเนินโรค ถ้าหากได้รับการดูแลรักษาอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง ก็สามารถทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น และลดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ลงได้ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ก็อาจทำให้กระดูกหัก อาจทำให้เกิดความพิการได้ ผู้ที่เป็นโรคที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน หรือใช้ยาที่ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน มีประวัติบิดาหรือมารดามีกระดูกสะโพกหัก อยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงจากการตรวจคัดกรองด้วยการคำนวณความเสี่ยงในการที่จะเกิดกระดูกหัก
|