!!! ประกาศ!!!! รายละเอียดการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษออนไลน์ Cambridge Key English Test (KET) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และนักเรียนใหม่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และ 3 เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับนักเรียนรายบุคคล เปิดระบบการสอบในวันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม 2564 การสอบประกอบด้วย 3 ส่วนได้แก่ Listening, Reading และ Writing ข้อสอบแต่ละส่วนจะใช้เวลาในการสอบประมาณ 30 นาที ในการสอบ Listening ต้องใช้หูฟังหรือลำโพง สามารถฟังคลิปเสียงได้ 2 ครั้ง โดยนักเรียนจะต้องเข้าสอบผ่านระบบ Schoology ด้วยคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (PC) หรือ Laptop เท่านั้น เมื่อสมัครบัญชี Schoology และเข้า Course ของตนเองแล้ว *** นักเรียนจะต้องกดเข้า Helps and Guidelines for the tests เพื่อศึกษาคำแนะนำและการสาธิตการทำข้อสอบ Cambridge PET*** หากพบปัญหาการสมัครใช้ Schoology และเรื่องอื่น ๆ เกี่ยวกับการสอบ กรุณาติดต่อทาง Line Group นี้เท่านั้น http://line.me/ti/g/u5hvpY6moQ O-NET, GAT/PAT และ 9 วิชาสามัญน่าจะเป็นการสอบที่น้องๆคุ้นเคยกันอยู่แล้วแต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีการสอบอีกหลายๆอย่างที่จำเป็น เมื่อน้องๆต้องการสมัครเข้าบางคณะสาขาวันนี้เราจึงรวมรวมการสอบที่จำเป็นต่างๆมาให้น้องๆได้ศึกษากันก่อนที่จะเลือกลงสนามจริงเน้นเลยนะครับว่าต้อง “เลือก” เพราะหากน้องๆไม่ได้มีเป้าหมายที่จะเข้าคณะสาขาที่ต้องใช้คะแนนสอบจากสนามสอบนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องไปสอบให้เสียเงินและเอาเวลาที่เหลือไปเตรียมตัวกับสนามสอบที่เป็นเป้าหมายของตัวเองดีกว่า O-NET (Ordinary National Educational Test) สอบอะไรบ้าง? ภาษาไทย, คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์, สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม, ภาษาอังกฤษ ใครบ้างที่ต้องสอบ? นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และที่สำคัญกับน้องๆชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ต้องใช้คะแนน O-NET เป็นส่วนหนึ่งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย GAT GAT เป็นการทดสอบวิชาความถนัดทั่วไป (General Aptitude Test) คือ การวัดศักยภาพในการเรียนในมหาวิทยาลัยให้ประสบความสำเร็จมี 2 ส่วน สอบอะไรบ้าง? ส่วนที่ 1 คือความสามารถในการอ่าน/การเขียน/การคิดเชิงวิเคราะห์/และการแก้โจทย์ปัญหา ส่วนที่ 2 คือ ความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย Speaking and Conversation, Vocabulary, Structure and Writing, Reading Comprehension ใครบ้างที่ต้องสอบ? น้องๆชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่จะยื่นสมัคร TCAS ตั้งแต่รอบที่ 2 เป็นต้นไป PAT PAT เป็นการทดสอบวิชาความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ (Professional and Academic Aptitude Test) คือการวัดความรู้ที่เป็นพื้นฐานกับศักยภาพที่จะเรียนในวิชาชีพนั้นๆให้ประสบความสำเร็จ สอบอะไรบ้าง? PAT 1 คือความถนัดทางคณิตศาสตร์ PAT 2 คือ ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ PAT 3 คือความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์ PAT 4 คือความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ PAT 5 คือความถนัดทางวิชาชีพครู PAT 6 คือความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์ PAT 7 คือความถนัดทางภาษาต่างประเทศ ประกอบด้วย PAT 7.1 ความถนัดทางภาษาฝรั่งเศส PAT 7.2 ความถนัดทางภาษาเยอรมัน PAT 7.3 ความถนัดทางภาษาญี่ปุ่น PAT 7.4 ความถนัดทางภาษาจีน PAT 7.5 ความถนัดทางภาษาอาหรับ PAT 7.6 ความถนัดทางภาษาบาลี ใครบ้างที่ต้องสอบ? น้องๆชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่จะยื่นสมัคร TCAS ตั้งแต่รอบที่ 2 เป็นต้นไปโดยไม่จำเป็นต้องสอบทั้งหมดทุกวิชาแต่เลือกสอบวิชาตามเกณฑ์การรับแต่ละสาขาของมหาวิทยาลัยที่น้องๆต้องการจะเรียนก็พอ 9 วิชาสามัญ ข้อสอบกลางที่จัดสอบโดยสทศ. เพื่อใช้ในการรับตรงเข้ามหาวิทยาลัย แต่เดิมจะสอบเพียง 7 วิชาแต่เพื่อให้ครอบคลุมกับเนื้อหาของสายศิลป์จึงเพิ่มอีก 2 วิชาเข้าไปรวมเป็น 9 วิชา สอบอะไรบ้าง? 1.วิชาภาษาไทย 2.วิชาสังคมศึกษา 3.วิชาภาษาอังกฤษ 4.วิชาคณิตศาสตร์ 1 5.วิชาฟิสิกส์ 6.วิชาเคมี 6.วิชาชีววิทยา 8.วิชาคณิตศาสตร์ 2 (สายศิลป์) 9.วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (สายศิลป์) ใครบ้างที่ต้องสอบ? วิชาสามัญนี้สามารถสอบได้ทั้งน้องๆสายวิทย์และสายศิลป์โดยไม่จำเป็นต้องสอบทั้ง 9 วิชาแต่เลือกสอบวิชาตามเกณฑ์การรับแต่ละสาขาของมหาวิทยาลัยที่น้องๆต้องการจะเรียนก็พอ วิชาความถนัดแพทย์ วิชาเฉพาะหรือวิชาความถนัดแพทย์คือวิชาที่สมัครสอบพร้อมสมัครกสพท. ใช้เป็นสัดส่วนทั้งหมด 30% สอบอะไรบ้าง? ประกอบด้วย 3 ส่วนดังนี้ 1.1 เชาว์ปัญญาเช่นคณิตศาสตร์อนุกรมเลขอนุกรมภาพการอ่านจับใจความเป็นต้น 1.2 จริยธรรมทางการแพทย์ซึ่งไม่มีสอนในห้องเรียน 1.3 ทักษะการเชื่อมโยงคล้ายๆกับ GAT ที่ก็มีส่วนที่แตกต่างกันอยู่บ้างนะคะ ใครบ้างที่ต้องสอบ? น้องๆที่ต้องการยื่นสมัครกสพท. ใน TCAS รอบที่ 3 จะต้องได้สอบในวิชาความถนัดแพทย์ซึ่งสัดส่วนคะแนนถือเป็นวิชาที่มีค่าน้ำหนักสูงที่สุดน้องจึงต้องวางแผนและเตรียมตัวให้ดี BMAT BMAT ย่อมาจาก Biomedical admission test เป็นข้อสอบเฉพาะทางสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าศึกษาต่อในสาขาการแพทย์สัตวแพทย์ซึ่งจัดทำโดย Cambridge Assessment แห่งสหราชอาณาจักรสรุปง่ายๆก็คือข้อสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรนั่นเองแต่สาเหตุที่มีการพูดถึงในไทยบ่อยครั้งในช่วงนี้เพราะหลักสูตรทางด้านการแพทย์ในไทยตกลงจะใช้ข้อสอบ BMAT ในการรับนักศึกษาแพทย์ใหม่เช่น วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (CICM) ซึ่งเป็นหลักสูตรแพทยศาสตร์ “อินเตอร์” ประกาศว่านักศึกษาใหม่จะต้องผ่านการสอบ BMAT ทุกคนหรือคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดลก็ยินดีรับผล BMAT เช่นกัน สอบอะไรบ้าง? การสอบ BMAT ใช้เวลา 2 ชั่วโมงประกอบด้วย 3 ส่วน ส่วนที่ 1 ความถนัดและทักษะ 60 นาที (ข้อสอบปรนัย) ส่วนที่ 2 ความรู้และการประยุกต์ด้านวิทยาศาสตร์ 30 นาที (ข้อสอบปรนัย) ส่วนที่ 3 งานเขียน 30 นาที (ข้อสอบบรรยาย) ใครบ้างที่ต้องสอบ? น้องๆที่ต้องการเข้าเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพในประเทศไทยควรเช็คให้ดีว่าในแต่ละรอบที่มีการเปิดรับในระบบ TCAS ต้องใช้คะแนน BMAT หรือไม่และน้องๆที่ต้องการเรียนในสาขาการแพทย์สัตวแพทย์ของมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร SAT SAT หรือ Scholastic Assessment Tests คือข้อสอบมาตรฐานที่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริการวมถึงบางหลักสูตรในเมืองไทยใช้ประกอบการสมัครเข้าเรียนระดับปริญญาตรีเพียงแต่ไม่ได้วัดที่ความรู้วิชาต่างๆแต่เป็นการวัดทักษะ (Skills) การใช้เหตุผลเหมือนข้อสอบความถนัดทั่วไป สอบอะไรบ้าง? SAT ประกอบด้วยข้อสอบ 3 ส่วนได้แก่ Critical Reading, Mathematics, และ Writing ใครบ้างที่ต้องสอบ? น้องๆที่สนใจจะสมัคร TCAS รอบที่ 1 บางโครงการ และหลักสูตรนานาชาติในรอบอื่นๆ SAT II เป็นข้อสอบที่ใช้สอบคัดเลือกเพื่อเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยอินเตอร์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ สอบอะไรบ้าง? AT II แบ่งเป็น 3 วิชาคือเคมีฟิสิกส์และชีววิทยา ใครบ้างที่ต้องสอบ? น้องๆที่สนใจจะสมัครหลักสูตรนานาชาติ
ACT หรือ American College Testing เป็นการสอบวัดระดับทักษะการใช้เหตุผลและการสื่อสารที่จำเป็นสำหรับการเรียนในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย สอบอะไรบ้าง? เป็นการวัดทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ไขปัญหาซึ่งมีความจำเป็นสำหรับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยข้อสอบ ACT มีคะแนนเต็มทั้งสิ้น 36 คะแนนจากการสอบทั้งหมด 5 ส่วนดังต่อไปนี้ 1) English 2) Mathematics 3) Reading 4) Science Reasoning 5) Writing ใครบ้างที่ต้องสอบ? เป็นการวัดทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ไขปัญหาซึ่งมีความจำเป็นสำหรับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยแต่โดยทั่วไปแล้วผลสอบ ACT ยังไม่เป็นที่ยอมรับแพร่หลายเหมือนกับผลสอบ SAT ซึ่งเป็นที่ยอมรับในเกือบทุกหลักสูตร TOEFL TOEFL หรือ Test of English as a Foreign Language เป็นการทดสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษตามมาตรฐานของภาษาอังกฤษอเมริกันซึ่งมีการออกแบบสำหรับใช้ในการประเมินความสามารถทางภาษาของผู้สมัครเพื่อนำไปใช้เป็นเกณฑ์ในเรื่องของการศึกษาต่อ หรือทำงานในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารโดยผลคะแนนโทเฟลจะใช้ได้เป็นระยะเวลา 2 ปี สอบอะไรบ้าง? TOEFL จะทดสอบทักษะภาษาอังกฤษทั้ง 4 ด้านได้แก่การพูด (Speaking) การฟัง (Listening) การอ่าน (Reading) และการเขียน (Writing) และในครั้งจะต้องผสมผสานทักษะต่าง ๆเข้าด้วยกันเพื่อใช้ในการตอบคำถามโดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่งสำหรับการสอบซึ่งคุณสามารถเลือกการสอบได้ทั้ง Internet-based Test (iBT) หรือ Paper-based Test (PBT) ขึ้นอยู่กับรูปแบบที่มีให้ที่ศูนย์ทดสอบ TOEFL Internet-based Test (iBT)ประเมินความสามารถของคุณในการอ่านฟังพูด และเขียนภาษาอังกฤษและใช้ทักษะเหล่านี้ร่วมกันในชั้นเรียนมหาวิทยาลัยเช่นคุณอาจอ่านหรือฟังบรรยายแล้วเขียนหรือพูดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณรู้ TOEFL Paper-based Test (PBT)ประเมินความสามารถของคุณในการอ่านฟังและเขียนภาษาอังกฤษ ใครบ้างที่ต้องสอบ? หลายคณะจะมีเกณฑ์กำหนดให้น้องๆ ต้องมีคะแนนสอบภาษาอังกฤษเพื่อยื่นรับตรงโดยเฉพาะในระบบ TCAS รอบที่ 1 (บางคณะให้เลือกสอบได้ระหว่าง TOEFL หรือ IELTS ) และหากน้องๆคนไหนต้องการไปเรียนต่อในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักก็ต้องใช้คะแนน TOEFL iBT เช่นกัน IELTS International English Language Testing System (IELTS) เป็นการสอบวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ได้รับความนิยมมากที่สุดโดยในปีที่ผ่านมามีผู้เข้าสอบมากกว่า 2.7 ล้านคนผลสอบ IELTS เป็นที่ยอมรับในมากกว่า 9,000 องค์กรซึ่งได้แก่สถานศึกษาบริษัทนายจ้างองค์กรทางวิชาชีพและรัฐบาลใน 140 ประเทศทั่วโลก เนื้อหาในการสอบ IELTS ได้รับการพัฒนาโดยทีมผู้เชี่ยวชาญนานาชาติและมีการวิจัยอย่างครอบคลุมเพื่อให้การสอบมีความยุติธรรมและเป็นกลางสำหรับผู้สมัครทุกคนโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติภูมิหลังเพศวิถีการดำเนินชีวิตหรือสถานที่อยู่ สอบอะไรบ้าง? เป็นการสอบวัดทักษะทางภาษาทั้งสี่ด้านและมีด้วยกันสี่หมวดได้แก่ การฟังการอ่านการเขียนและการพูดคุณจะต้องสอบการฟังการอ่านและการเขียนในวันเดียวกันทั้งหมดโดยไม่มีการหยุดพักระหว่างการสอบส่วนการพูดอาจสอบในวันเดียวกันกับการสอบอีกสามทักษะหรือภายในเจ็ดวันก่อนหรือหลังจากนั้นแล้วแต่ทางศูนย์สอบจะกำหนดโดยการสอบทั้งหมดจะใช้เวลาไม่เกินสามชั่วโมง ใครบ้างที่ต้องสอบ? หลายคณะจะมีเกณฑ์กำหนดให้น้องๆต้องมีคะแนนสอบภาษาอังกฤษเพื่อยื่นรับตรงโดยเฉพาะในระบบ TCAS รอบที่ 1 (บางคณะให้เลือกสอบได้ระหว่าง TOEFL หรือ IELTS ) HSK HSK ย่อมาจากตัวสะกดเสียงพินอินของภาษาจีนว่า “Hanyu Shuiping Kaoshi” ซึ่งหมายถึงการสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาจีนสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาจีนเป็นภาษาแม่การสอบนี้จัดขึ้นโดย The Office of Chinese Language Council International: HANBAN ของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนผู้ที่มีผลคะแนนสอบสูงสุดในแต่ละระดับของศูนย์สอบจะได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลจีนในการเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศจีนเป็นประจำทุกปี สอบอะไรบ้าง? การสอบ HSK แบ่งออกเป็น 3 ระดับดังนี้ 1. ระดับพื้นฐาน (HSK: Basic) สำหรับผู้ที่ผ่านหลักสูตรการเรียนภาษาจีนมาแล้วราว 100 - 800 ชั่วโมงมีความรู้ในคำศัพท์พื้นฐาน 400 - 3,000 คำและเข้าใจถึงหลักไวยากรณ์โครงสร้างประโยคขั้นพื้นฐาน 2. ระดับต้นและกลาง (HSK: Elementary and intermediate) คือระดับผู้ที่ผ่านหลักสูตรการเรียนภาษาจีนราว 400 - 2,000 ชั่วโมงมีความรู้ในคำศัพท์พื้นฐาน 2,000 - 5,000 คำ 3. ระดับสูง (HSK: Advanced) คือ ระดับผู้ที่ผ่านหลักสูตรการเรียนภาษาจีนมาแล้วตั้งแต่ 3,000 คาบขึ้นไปมีความรู้ในศัพท์กว่า 5,000 คำเข้าใจไวยากรณ์โครงสร้างทางภาษาในรูปประโยคที่ซับซ้อน ใครบ้างที่ต้องสอบ? น้องที่ต้องการไปเรียนต่อในประเทศจีนสามารถใช้ประกาศนียบัตรผลสอบเป็นเอกสารประกอบการศึกษาต่อ JLPT การสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาญี่ปุ่น (Japanese Language Proficiency Test : JLPT) มีวัตถุประสงค์เพื่อวัดความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นของชาวต่างชาติผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นการสอบภายในประเทศญี่ปุ่นจัดโดยสมาคมสนับสนุนการศึกษานานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น(JEES)โดยจัดสอบในหลายจังหวัดที่ประเทศญี่ปุ่นส่วนนอกประเทศญี่ปุ่นนั้นมูลนิธิญี่ปุ่น (Japan Foundation) เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดสอบแบ่งผลการสอบออกเป็น 5 ระดับและจัดสอบปีละ 2 ครั้งในสัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคม และเดือนธันวาคม สอบอะไรบ้าง? เป็นการวัดความสามารถทางทักษะแต่ละด้านและความสามารถด้านการสื่อสารการสอบนี้จะวัดความสามารถในการใช้ภาษาของผู้เรียนในสถานการณ์จริงวิชาที่สอบแบ่งออกเป็น 2 วิชาคือ 1. 読む試験(よむしけん)เป็นการสอบ ”文字(もじ)·語彙(ごい)" และ "文法(ぶんぽう)·読解(どっかい)" 2. 聞く試験(きくしけん)เป็นการสอบ ”聴解(ちょうかい) ใครบ้างที่ต้องสอบ? น้องๆที่ต้องการไปเรียนต่อในประเทศญี่ปุ่นโดยการรับทุน จำเป็นต้องสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาญี่ปุ่น TOPIK TOPIK ย่อมาจาก Test Of Proficiency In Korean เป็นการทดสอบความสามารถทางภาษาเกาหลีของชาวต่างชาติโดยเป็นการสอบเพื่อวัดพื้นฐาน หรือความสามารถทางภาษาเกาหลีของผู้ที่ไม่ใช้ภาษาเกาหลีเป็นพื้นฐานชาวเกาหลีที่อยู่ต่างแดนชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศเกาหลีผู้เรียนภาษาเกาหลีนักเรียนต่างชาติที่สนใจเรียนที่เกาหลีบุคคลที่สนใจทำงานในประเทศหรือต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับประเทศเกาหลี สอบอะไรบ้าง? TOPIK แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. การทดสอบความสามารถทางภาษาเกาหลีทั่วไป (The Standard TOPIK) เป็นการสอบเพื่อวัดระดับความสามารถในการใช้ภาษาเกาหลีทั่วๆไปในชีวิตประจำวันที่จำเป็นต่อความเข้าใจถึงวัฒนธรรมเกาหลีและการศึกษาต่อเป็นต้นหรือที่ในหมู่นักเรียนที่เรียนภาษาเกาหลีเรียกกันว่าการสอบ “กึบ” หรือ ระดับนั่นเองผู้เข้าสอบสามารถเลือกเข้าสอบตามระดับชั้นที่เหมาะสมกับความสามารถของตนโดยจะมีการเปิดให้สมัครสอบ 3 ช่วงชั้นด้วยกันคือชั้นต้นชั้นกลางและชั้นสูง 2. การทดสอบความสามารถทางภาษาเกาหลีเชิงธุรกิจ (The Business TOPIK) เป็นการสอบเพื่อวัดระดับความสามารถในการใช้ภาษาเกาหลีเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวันและที่จำเป็นต่อการทำงานในสถานประกอบการเกาหลีซึ่งจัดทำขึ้นสำหรับผู้ที่มีความประสงค์จะทำงานในประเทศเกาหลีการสอบ TOPIK ประเภทนี้ไม่มีการให้เกรดว่ามีความสามารถทางภาษาอยู่ในระดับใดหรือการประเมินผลว่าสอบตก – สอบผ่านใดๆทั้งสิ้นมีเพียงแต่การตรวจให้คะแนนและให้ผู้สอบนำผลคะแนนไปใช้ในการสมัครงานเท่านั้น โดยคะแนนเต็มของการสอบ TOPIK ประเภทนี้คือ 400 คะแนน ใครบ้างที่ต้องสอบ? TOPIK มีผลระดับน่าเชื่อถือสูงสุดในการสอบเพื่อเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยน้องๆที่ต้องการไปเรียนต่อในประเทศเกาหลี จึงจำเป็นต้องสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาเกาหลี ขอขอบคุณบทความจาก (www.admissionpremium.com) |