ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศเกษตรกรรมมาช้านาน เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตมรสุมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีสภาพภูมิประเทศ ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และภูมิอากาศเอื้ออำนวยต่อการทำการเกษตร ประชากร ส่วนใหญ่ของประเทศประกอบอาชีพทางการเกษตรหรือเกี่ยวข้องมาโดยตลอด แม้ว่าจะพยายามพัฒนาไปสู่ความเป็นประเทศอุตสาหกรรมเพียงใดก็ตาม แต่ก็ยังคงพึ่งพาอาศัยเกษตรกรรมอยู่เช่นเดียวกับประเทศที่ได้พัฒนาไปแล้วทั้งหลาย วิวัฒนาการและพัฒนาการเกษตรของไทยได้เปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัย และตามกระแสการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของโลกมาตามลำดับ สมัยกรุงสุโขทัย (พ.ศ.1781-1893) การเกษตรในประเทศไทยได้มีการพัฒนามาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ราว พ.ศ.1800 พ่อขุนรามคำแหงทรงมีรัฐประศาสโนบายในทางส่งเสริมและบำรุงการเกษตร โดยประชาชนมีอิสระเสรีในการประกอบอาชีพตามถนัด ที่ดินที่ได้ปลูกสร้างทำประโยชน์ขึ้นก็ให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ปลูกสร้าง และให้เป็นมรดกตกทอดไปถึงลูกหลาน เป็นการให้กำลังใจแก่ประชาชนในอันที่จะหักร้างถางพงปลูกสร้างทำที่ดินให้เกิดประโยชน์2 สมัยนั้นมีระบบปลูกพืชเป็นแปลงขนาดใหญ่นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าคงมีระบบการทดน้ำและระบายน้ำเป็นอย่างดี ทำให้สามารถปลูกพืชเป็นแปลงใหญ่ๆ ได้ เพราะเมืองสุโขทัยเป็นที่ดอน แปลงปลูกพืชที่เป็นป่าก็มีทั้ง ป่าหมาก ป่าตาล ป่าพลู ป่าผลไม้ เช่น มะม่วง มะขาม มะพร้าว ตลอดไปจนถึงไร่และนาซึ่งมีอยู่มากมาย อีกทั้งไม่คิดภาษีจังกอบ เป็นการเพิ่มแรงจูงใจในการทำการเกษตร และทำให้การเกษตรพัฒนามาโดยตลอด ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893 -2310) ปรากฏว่ามีการบริหารราชการแผ่นดินแบบจตุสดมภ์ ประกอบด้วย กรมเมือง กรมวัง กรมคลัง และกรมนา กรมนามีหน้าที่เกี่ยวกับกิจการไร่นาและสัตว์พาหนะ ต่อมาได้ขยายหน้าที่ไปประจำตามหัวเมืองด้วย มีหน้าที่จัดการกับที่ดินรกร้างว่างเปล่าให้มีการใช้ประโยชน์ จัดการเกี่ยวกับการชลประทาน และเก็บภาษีเป็นหางข้าวขึ้นฉางหลวง แสดงว่าการเกษตรได้เจริญขึ้นในแผ่นดินนี้ การขยายตัวของกรมนาแสดงว่าข้าวกลายเป็นพืชสำคัญที่มีการปลูกและขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางในสมัยกรุงศรีอยุธยา ข้าวได้มีส่วนทำให้กรุงศรีอยุธยามีความมั่งคั่งเพราะเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ นอกจากนี้ ยังมีพวกของป่า หนังสัตว์ ไม้หอม และผลไม้ ในจดหมายเหตุของลาลูแบร์ผู้เดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีบันทึกไว้ว่า เมื่อล่องเรือผ่านเมืองธนบุรีอันเป็นเมืองหน้าด่านในสมัยนั้น ได้เห็นสวนผลไม้ใหญ่น้อยของชาวบ้านที่ปลูกกันเป็นขนัดเป็นระเบียบเรียบร้อยตลอดทาง ��þԨ�óҶ֧��Ҿ���ɰ�Ԩ�ͧ�ҳҨѡ���⢷�¹�� ���繨е�ͧ�Ԩ�óҶ֧��Ҿ�Ǵ�����ͧ��⢷������ռŵ������зҧ���ɰ�Ԩ�ͧ��⢷�����ҧ�ú�ҧ ��駹�����ͨ������㨶֧�ŷҧ���ɰ�Ԩ�����Դ����� �Ѩ��·������͵���ѡɳ����ɰ�Ԩ�ͧ�ҳҨѡ���⢷�� �մѧ��� ��Ҿ��鹴Թ������觹�� ����駢ͧ��⢷�� ��º�¢ͧ��黡��ͧ�ҳҨѡ���⢷�� Ref : http://www.geocities.com/m6_7_mp/new_page_11.htm 19/02/2008 ในสมัยโบราณนั้น การสร้างบ้านแปงเมืองต้องดูแหล่งน้ำ แหล่งที่ทำงานทำการเพาะปลูก สิ่งอื่นๆ ที่สำคัญเช่นกัน คือ ต้องอยู่ในชัยภูมิที่ดี ข้าศึกหรือศัตรูเข้าตีหรือยึดครองได้ยาก สิ่งต่างๆ ถ้าไม่มีก็ต้องสร้างขึ้นมา ศึกษาได้จากการสร้างเมืองสุโขทัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ว่าโดยสภาพภูมิศาสตร์ สุโขทัยตั้งอยู่บนที่ราบสูง เพราะบริเวณดังกล่าวในเวลาหน้าฝน น้ำทะลัก ลงมาจากภูเขาค่อนข้างแรงและรวดเร็ว พื้นที่ราบน้ำท่วมนั้นความเสียหายได้ง่าย ดังนั้น เมืองที่เลือกตั้งในที่ราบสูงต้องแก้ปัญหาหลายอย่าง การขาดแคลนความสมบูรณ์คือ ไม่มีต้นไม้ พืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ เมืองสุโขทัยมีเพียงแหล่งน้ำลำคลองไหลผ่านเท่านั้น แต่พระองค์ทรงแก้ปัญหาด้วยวิธีชาญฉลาด ซึ่งทำให้เมืองสุโขทัยอุดมสมบูรณ์ด้วยฝีมือของมนุษย์ การแก้ปัญหาเรื่องน้ำอุปโภคบริโภคที่ขาดแคลน พ่อขุนรามคำแหงใช้วิธีที่ปรากฏเป็นหลักฐาน คือ ที่เก็บน้ำขนาดใหญ่ทางด้านทิศใต้ “เบื้องหัวนอนเมืองสุโขทัย มีสรีดภงค์” สรีดภงค์มาจากภาษาสันสกฤต คือ สริทภงค แปลว่า “ทำนบ” แสดงว่ามีการเก็บน้ำขนาดใหญ่ไว้ในทำนบ และยังมีแหล่งเก็บน้ำตามธรรมชาติที่ค่อนข้างกว้างขวางมากเหมือนกัน ดังพรรณนาไว้ว่า “เบื้องตะวันออกมีทะเลหลวง” อีกทั้งยังปรากฏหลักฐานเรื่อง ท่อน้ำดินเผา ซึ่งเหมือนกับท่อประปาในปัจจุบันฝังจากแหล่งน้ำไปสู่ตัวเมืองสุโขทัย สำหรับแหล่งน้ำจืดในตัวเมืองสุโขทัยพรรณนาไว้ว่า “กลางเมืองสุโขทัยมีน้ำตะพังโพย” ตะพัง คือสระน้ำขนาดใหญ่สำหรับไว้ดื่มกิน เพราะกล่าวไว้ว่า “สีใสกินดีดังโขงเมื่อแล้ง” หมายถึงเป็นน้ำดื่มที่เย็นใสสะอาดและอร่อยเหมือนน้ำในแม่น้ำโขงเมื่อยามแล้ง การเปรียบเทียบทำให้เราเห็นได้ชัดเจน และจากการสำรวจตัวเมืองสุโขทัยในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ทุกวัดจะมีตะพังอยู่ในโบราณสถานเหล่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นแหล่งน้ำที่ประชาชนสามารถนำมาใช้ดื่ม โดยมีพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้ดูแล ยังมีแหล่งน้ำธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งในจารึกกล่าวว่า “เบื้องหัวนอน (ทิศใต้) มีน้ำโศก” น้ำโศก คือน้ำใช้ดื่มมีลักษณะเย็นที่ไหลลงมาจากภูเขาหรือที่ราบสูงขังอยู่ในบ่อ เพราะในบทร้องของเด็ก มีคำว่า “บ่อโศก” อยู่เหมือนกัน เช่น “แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อโศก โยกไปก็โยกมา” แหล่งการทดน้ำจากแม่น้ำที่อยู่ห่างไกลออกไปนั้น นักโบราณคดีบางคนสันนิษฐานว่า “ถนนพระร่วง” แท้จริงก็คือ ทำนบกั้นน้ำ มิใช่ถนน เพราะในบันทึกของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สำรวจเมืองสุโขทัย ทรงบันทึกไว้ว่า ถนนพระร่วงบางตอนสูงท่วมหัว และท่านอาจารย์ทิวา ศุภจรรยา ได้เคยสำรวจแผนที่ทางอากาศและสำรวจเส้นทางถนนพระร่วงได้สันนิษฐานว่า ถนนพระร่วงแท้จริงแล้วคือ ทำนบกั้นน้ำ ซึ่งลำเลียงน้ำจากแม่น้ำมาสู่เมืองสุโขทัย เมื่อแผ่นดินที่แห้งแล้งกลับอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งน้ำแล้ว สิ่งที่พ่อขุนรามคำแหงทรงดำเนินการต่อไป คือ การโน้มน้าวให้ผู้คนในเมืองสุโขทัยปลูกต้นไม้ โดยประกาศเป็นสัจธรรมว่า “ใครสร้างได้ไว้แก่มัน” ซึ่งเป็นแรงจูงใจอย่างวิเศษ ทำไมพ่อขุนรามคำแหงจึงให้ความสนพระราชหฤทัยต่อต้นไม้เป็นกรณีพิเศษ วิเคราะห์จากศิลาจารึกจะเห็นว่าพระองค์ทรงเชื่อในตำราประถมจินดา ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับต้นไม้ ซึ่งเกี่ยวข้องกันตั้งแต่เกิด ความเชื่อของคนไทยแต่ดั้งเดิมนั้น เวลาเกิดหรือตกฟากออกมา จะต้องนำรกไปฝังที่โคนต้นไม้ ดังนั้นในปัจจุบันมีคำว่า “รกราก” ซึ่งหมายถึงที่ฝังรกของคนนั้น แต่ก็ได้เปลี่ยนไปคือหมายความถึงที่เกิด หรือ สถานที่กำเนิดของแต่ละบุคคล ซึ่งคนไทยในปัจจุบันไม่ทราบของคำว่า รกราก นั้นมีความหมายที่แท้จริงว่าอย่างไร ปีเกิดนั้นมีการกำหนดว่าผู้เกิดปีใด มีต้นไม้ประจำตัวอะไร เป็นการบอกกล่าวให้แต่ละคนมีต้นไม้ประจำปีเกิด คือ เป็นการปลูกฝังเด็กทุกคนมีต้นไม้ประจำตัวมาตั้งแต่เกิด และผูกพันโดยแยกกันไม่ออก คนเกิดปีชวดคู่กับต้นมะพร้าว ปีฉลูคู่กับต้นตาล ปีขาลคู่กับต้นรัง ปีเถาะคู่กับต้นกัลปพฤกษ์ ปีมะโรงคู่กับต้นไผ่ ปีมะเส็งคู่กับต้นโพบาย ปีมะเมียคู่กับต้นกล้วย ปีมะแมคู่กับต้นทองหลาง ปีวอกคู่กับต้นขนุน ปีระกาคู่กับต้นไผ่ ปีจอคู่กับต้นบัวบก ปีกุนคู่กับต้นบัวหลวง หลักฐานในศิลาจารึกกล่าวว่า พ่อขุนรามคำแหงปลูกต้นตาลได้สิบสี่ข้าว (สิบสี่ปี่) จึงให้ช่างพันขนหินมาตั้งหว่างกลางไม้ตาลนี้” ให้พระภิกษุสงฆ์มาเทศนาให้ประชาชนฟังในวันพระ ถ้าเป็นวันธรรมดาพระองค์จะขึ้นนั่งสั่งสอนประชาชนเอง แสดงให้เห็นว่า พ่อขุนรามคำแหงน่าจะประสูติในปีฉลู ซึ่งเป็นการปลูกฝังจากบรรพบุรุษให้พระองค์รักและเข้าพระทัยในเรื่องต้นไม้ เพราะถูกสั่งสอนมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และทำให้พระองค์เข้าพระทัยในเรื่องต้นไม้เป็นอย่างดี เพราะพระองค์ได้ทรงประกาศให้ประชาชนในเมืองสุโขทัย ซึ่งวางแผนให้ปลูกต้นไม้เป็นป่าสงวน และนอกจากนี้ให้ปลูกพืชผักในการทำอาหารด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่าต้นไม้ที่พระองค์ให้ปลูกเป็นต้นไม้ที่ให้ลูกผล นอกจากจะให้ความร่มรื่นและยังเป็นอาหารและนำมาใช้เป็นยารักษาโรค อีกทั้งเป็นเครื่องบูชาด้วย มีทั้งต้นไม้เนื้ออ่อน ไม้เนื้อแข็ง ผสมผสานกันไป ดังข้อความ ดังนี้ “เบื้องตีนนอน (ทิศเหนือ) มีป่าหมากพร้าว ป่าหมากลาง มีไร่ มีนา” แสดงให้เห็นว่า มีต้นไม้ที่ให้ผลแล้วยังมีต้นไม้ทางเศรษฐกิจและมีนาสำหรับปลูกข้าว นอกจากนี้บริเวณรอบๆ ยังพรรณนาไว้ว่า มีถิ่นฐาน มีบ้านใหญ่ บ้านเล็ก เห็นได้ว่าในป่ายังมีชุมชนอาศัยอยู่เช่นกัน และทิศตะวันออก มีป่าหมาก ป่าพลู สำหรับเบื้องหัวนอน (ทิศใต้) มีป่าพร้าว ป่าลาง มีป่าม่วง ป่าขาม อยู่ร่วมกับชุนชนอีกเช่นกัน นอกจากนี้ ในตัวเมืองสุโขทัยยังมีป่าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ หมากม่วงก็หลายในเมืองนี้ หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ภายในเมืองสุโขทัยนอกจากมีป่าที่แสดงถึงความร่มเย็น ยังแสดงให้เห็นว่ายังมีแหล่งน้ำทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ มีวัดวาอาราม และบ้านเรือนประกอบกันเป็นชุมชน อยู่ในป่าที่คนในเมืองสุโขทัย ร่วมกันสร้างและช่วยกันรักษา นอกจากพระองค์ยังสร้างความศักดิ์สิทธิ์มาปกป้องป่ามิให้ถูกมนุษย์มาทำลาย โดยประกาศเป็นคำสาปว่า “มีพระขพุงผีเทพยดาในเขาอันนั้น เป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ ผิไหว้บ่ดี พลีถูก เมืองนี้เที่ยง เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอันบ่คุ้มบ่เกรงเมืองนี้หาย” คำประกาศดังกล่าวทำให้ประชาชนในเมืองสุโขทัยรักษาต้นไม้ รักสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติ แต่เมื่อมาถึงปัจจุบันคนสุโขทัยละทิ้งในคำสาปของพ่อขุนรามคำแหง ได้ทำลายป่าทำลายสิ่งแวดล้อมทำให้สภาพของเมืองสุโขทัยเปลี่ยนไป และเกิดภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วมในหน้าฝนและแห้งแล้งในหน้าร้อนอยู่เสมอๆ สิ่งที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า พ่อขุนรามคำแหงได้ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างได้ผลดี ในขณะที่ประเทศอเมริกายังไม่กำเนิดและหลายประเทศในทวีปยุโรปยังเป็นอนารยชนอยู่ และเชื่อไหมว่าตำราประถมจินดาที่สอนให้คนไทยรักในสิ่งแวดล้อมนั้น ถูกสั่งให้ยกเลิกการสอนที่โรงเรียนแพทย์ในโรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่พวกอาณานิคมเข้ามามีอำนาจในแผ่นดินไทย น่าเจ็บใจไหมล่ะ ท่านผู้อ่านที่เคารพ |