บทที่ 7 > 7.3 สื่อกลางในการสื่อสารข้อมูล > สายคู่บิดเกลียว 7/11 สายคู่บิดเกลียว สายคู่บิดเกลียว (twisted pair) ประกอบด้วยเส้นลวดทองแดงที่หุ้มด้วยฉนวนพลาสติก 2 เส้นพันบิดเป็นเกลียว ทั้งนี้เพื่อลดการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากคู่สายข้างเคียงภายในเคเบิลเดียวกันหรือจากภายนอก เนื่องจากสายคู่บิดเกลียวนี้ยอมให้สัญญาณไฟฟ้าความถี่สูงผ่านได้ สำหรับอัตราการส่งข้อมูลผ่านสายคู่บิดเกลียวจะขึ้นอยู่กับความหนาของสายด้วย กล่าวคือ สายทองแดงที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้าง จะสามารถส่งสัญญาณไฟฟ้ากำลังแรงได้ ทำให้สามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราส่งสูง โดยทั่วไปแล้วสำหรับการส่งข้อมูลแบบดิจิทัล สัญญาณที่ส่งเป็นลักษณะคลื่นสี่เหลี่ยม สายคู่บิดเกลียวสามารถใช้ส่งข้อมูลได้ถึงร้อยเมกะบิตต่อวินาที ในระยะทางไม่เกินร้อยเมตร เนื่องจากสายคู่บิดเกลียว มีราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดี จึงมีการใช้งานอย่างกว้างขวาง ตัวอย่างเช่น(ก) สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair : STP) เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยลวดถักชั้นนอกที่หนาอีกชั้นเพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(ข) สายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (Unshielded Twisted Pair : UTP) เป็นสายคู่บิดเกลียวมีฉนวนชั้นนอกที่บางอีกชั้นทำให้สะดวกในการโค้งงอแต่สามารถป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้น้อยกว่าชนิดแรก แต่ก็มีราคาต่ำกว่า จึงนิยมใช้ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ในเครือข่าย ตัวอย่างของสายสายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวนที่เห็นในชีวิตประจำวันคือ สายโทรศัพท์ที่ใช้อยู่ในบ้าน 1.1) �������Ǥ��Ẻ����ͧ�ѹ�ѭ�ҳú�ǹ���ͪ�Դ���������ǹ (Un-shielded Twisted Pair : UTP) ����µ�����Ǥ��������թ�ǹ��鹹͡ ������дǡ㹡���駧� ������ö��ͧ�ѹ���ú�ǹ�ͧ�����������俿������¡�����µ�����Ǥ�� ��Դ������ǹ (STP) ����к�ǧ�����Ѿ��Ẻ������ �Ѩ�غѹ�ա�û�Ѻ�س���ѵ����բ�� ����ö��Ѻ�ѭ�ҳ��������٧�� ������ͧ�ҡ���Ҥ��٧�֧������㹡�����������ػ�ó�����͢��� Show สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair : STP) เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยลวดถักชั้นนอกที่หนาอีกชั้น เพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(นิยมนำมาใช้เป็นสายโทรศัพท์) สายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (Unshielded Twisted Pair : UTP) เป็นสายคู่บิดเกลียวมีฉนวนชั้นนอกที่บางอีกชั้น ทำให้สะดวกในการโค้งงอ แต่สามารถป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้น้อยกว่าชนิดแรก แต่ก็มีราคาต่ำกว่า จึงนิยมใช้ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ในเครือข่าย ตัวอย่างของสายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวนที่เห็นในชีวิตประจำวัน คือ สายโทรศัพท์ที่ใช้อยู่ในบ้าน Unshielded Twisted : UTP) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ยูทีพี สายสัญญาณประเภทนี้เป็นสายบิดคู่ตีเกลียวที่ให้ในระบบวงจรโทรศัพท์ตั้งเดิม ต่อมาได้มีการปรับปรุงคุณสมบัติให้ดีขึ้น สายยูทีพีที่นิยมใช้ในปัจจุบันได้ปรับปรุงคุณสมบัติจนสามารถใช้กับสัญญาณความถี่สูงได้ สายยูทีพีใช้ลวดทองแดง 8 เส้น ขณะที่ในระบบโทรศัพท์จะใช้เพียง 2 หรือ 4 เส้น ซึ่งต่อเข้ากับหัวต่อแบบ RJ 45 ซึ่งเป็นตัวต่อที่มีลักษณะคล้ายกับหัวต่อในระบบโทรศัพท์ทั่วไป แต่ในระบบโทรศัพท์ จะเรียกหัวต่อว่า RJ 11 การที่มีสายทองแดงไว้หลายเส้นก็เพื่อให้หัวต่อ RJ 45 ซึ่งเป็นหัวต่อมาตรฐานสามารถเลือกใช้งานได้ในหลายๆ รูปแบบ เช่น+ ใช้สายทองแดงตั้งแต่ 3 - 8 เส้น เป็นสายสัญญาณ 10 เมกะบิตของ อีเธอร์เน็ตแบบ 10BASE-T + ใช้สายทองแดง 4 เส้น เป็นสายสัญญาณ 100 เมกะบิต ของอีเธอร์เน็ตแบบ 100BASE-T + ใช้สายทองแดง 8 เส้น เป็นสายสัญญาณของเสียง + ใช้สายทองแดง 2 เส้น สำหรับระบบโทรศัพท์
คุณสมบัติพิเศษของสายบิดคู่ตีเกลียว Category 1 / Class A : เป็นสายที่ใช้ในระบบโทรศัพท์อย่างเดียว โดยสายนี้ไม่สามารถใช้ในการส่งข้อมูลแบบดิจิตอลได้ สายโทรศัพท์ที่ใช้ก่อนปี 1983 จะเป็นสายแบบ Cat 1 หัวเชื่อมต่อ
การเข้าหัวสาย หลักการและเหตุผล ในการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายของเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายคือ สายสัญญาณ UTP ซึ่งเป็นสายสัญญาณทำจากสายทองแดง 8 เส้น พันเป็นคู่ ๆ ได้ 4 คู่อยู่ภายในฉนวน ซึ่งมีราคาไม่แพงแล้วสามารถติดตั้งเองได้อย่างง่ายดาย ซึ่งในการทดลองนี้จะให้นักศึกษาได้รู้จักและได้ทดลองการเข้าหัวสาย UTP ในแบบต่าง ๆ และทราบถึงการเลือกใช้สาย UTP แบบต่างๆ ให้เหมาะสมกับการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายอย่างถูกต้อง อุปกรณ์การเข้าหัวสาย
มาตราฐานการเข้าหัวสายแบบ EIA/TIA 568A และ EIA/TIA 568B
สาย UTP (Unshielded Twisted Pairs) เป็นสายสัญญาณที่ผลิตตามมาตรฐาน EIA/TIA 568 ซึ่งมีรูปแบบการใช้งานต่อ 1 ช่วงสายสัญญาณไม่เกิน 100 เมตร ซึ่งสาย UTP จะประกอบด้วยสายสัญญาณ 4 คู่ (8เส้น) ที่มีสีระบุเพื่อแยกสายออกจากกันอยู่ 4 สี การนำสายสัญญาณไปใช้งานจะต้องมีการนำสายสัญญาณเข้าหัว RJ-45 เพื่อเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่าง NIC กับสายสัญญาณ UTP โดยการเข้าหัวสายมีมาตรฐาน 2 แบบ คือ EIA/TIA 568A และ EIA/TIA 568B โดยมีอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการเข้าหัวดังนี้ 1. คีมเข้าหัวสาย (ดังรูปด้านบน) 2. อุปกรณ์ตัดแต่งสายสาย เช่น คัตเตอร์, มีด, คีม เป็นต้น 3. เคเบิลแอนาไลเซอร์ ( Cable analyzer ) เครื่องมือวัดสายสัญญาณ EIA/TIA 568A EIA/TIA 568B Pin Function สีของสาย Pin Function สีของสาย 1 Transmit ขาวเขียว 1 Transmit ขาวส้ม 2 Transmit เขียว 2 Transmit ส้ม 3 receive ขาวส้ม 3 receive ขาวเขียว 4 Not used น้ำเงิน 4 Not used น้ำเงิน 5 Not used ขาวน้ำเงิน 5 Not used ขาวน้ำเงิน 6 receive ส้ม 6 receive เขียว 7 Not used ขาวน้ำตาล 7 Not used ขาวน้ำตาล 8 Not used น้ำตาล 8 Not used น้ำตาล
มาตรฐานการเข้าหัวสาย
จากรูปเป็นมาตรฐานการเข้าหัวสาย 2 แบบโดยการเข้าหัวสายคือการเรียงสายสัญญาณตามสีดังรูปแล้วตัดให้ส่วนหัวของสายสัญญาณให้เสมอกันทุกเส้นแล้วทำการสอดเข้าไปในหัว RJ45 โดยมีลำดับการเข้าหัวสายดังต่อไปนี้ ขั้นตอนการเข้าหัวสาย
มีข้อพิจารณาหลักก่อนที่จะนำไปย้ำด้วยที่เข้าหัวมีอยู่สองประการคือ เมื่อมองที่ส่วนบนของหัว RJ-45 ควรที่จะเห็นหน้าตัดของสายทองแดงอย่างชัดเจนดังรูป
ที่หัว RJ-45 สังเกตให้ดีที่ด้านล่างของหัวมีส่วนที่จะสามารถโค้งงอลงมาเพื่อยึดสายฉนวนของสาย UTP ให้ติดกับตัว RJ-45 อย่างแน่นหนา ฉะนั้นในการปอกสายฉนวนของสาย UTP จะต้องพิจารณาให้ฉนวนยื่นเข้าไปในส่วนของหัว RJ-45 จนล้ำเข้าไปเกินส่วนยึดดังกล่าว
การเข้าหัว RJ-45 การเข้าหัวแบบสายตรง ( Straight-through cable EIA/TIA 568B ) ปลายสายด้านที่ 1 ลำดับสาย การเรียงสี ปลายสายด้านที่ 2 1 ขาว-ส้ม 2 ส้ม 3 ขาว-เขียว 4 น้ำเงิน 5 ขาว-น้ำเงิน 6 เขียว 7 ขาว-น้ำตาล 8 น้ำตาล
อุปกรณ์ต้นทาง อุปกรณ์ปลายทาง HUB computer Switch computer Router Computer & Switch การใช้งานสาย Through เช่น จาก Swith ไปยัง computer หรือจาก router ไปยัง Swith ให้เชื่อมต่อแบบ EIA/TIA 568B (สาย Through) ทั้งสองข้างหัวท้าย
การเข้าหัวแบบสายไขว้ ( Crossover cable EIA/TIA 568A & 568B ) ปลายสายด้านที่ 1 ลำดับสาย การเรียงสี ลำดับสาย การเรียงสี ปลายสายด้านที่ 2 1 ขาว-เขียว 1 ขาว-ส้ม 2 เขียว 2 ส้ม 3 ขาว-ส้ม 3 ขาว-เขียว 4 น้ำเงิน 4 น้ำเงิน 5 ขาว-น้ำเงิน 5 ขาว-น้ำเงิน 6 ส้ม 6 เขียว 7 ขาว-น้ำตาล 7 ขาว-น้ำตาล 8 น้ำตาล 8 น้ำตาล
อุปกรณ์ต้นทาง อุปกรณ์ปลายทาง HUB HUB Switch Switch Switch HUB Computer Computer Router Computer & Switch การใช้งานสาย Cross เช่น จาก Swith ไปยัง Swith , จาก computer ไปยัง computer , จาก router (ethernet) ไปยัง computer การเข้าสายโดยข้างหนึ่งเป็นแบบ EIA/TIA 568B (สาย Through) และอีกข้างเป็น EIA/TIA 568A (สาย Cross)
การทดสอบสาย UTP
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากเหตุต่างๆเหล่านี้
การแชร์อินเตอร์เน็ต ปัจจุบันการใช้อินเตอร์เน็ตแทบจะเป็นอะไรที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราไปซะแล้ว ทุกวันเราจะต้องมีการเข้าอินเตอร์เน็ต เช็คอีเมล์ว่าวันนี้มีใครส่งเมล์มาหรือเปล่า ลองสมมติว่าถ้าเรามีคอมพิวเตอร์มากกว่า 1 เครื่อง แต่มีแค่ 1 เบอร์โทรศัพท์และ 1 บัญชีอินเตอร์เน็ตและเราก็รู้ว่าที่บ้านหรือที่งานของเรามีความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตกันอยู่หลายคน แถมยังชอบใช้ในเวลาเดียวกันซะด้วย นั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหา ทางออกของเราก็อาจจะทำโดยการเพิ่มเบอร์โทรศัพท์เพิ่มบัญชีอินเตอร์เน็ตซึ่งมันก็เป็นทางออกทางหนึ่งแต่แน่นอนก็ต้อง มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น แต่ด้วยการใช้เครือข่าย เรามีทางออกที่ดีกว่านั้นก็คือการแชร์ใช้อินเตอร์เน็ต จากบัญชีอินเตอร์เน็ตบัญชีเดียวและเบอร์เดียวได้หลาย ๆคนในเวลาเดียวกัน เช่น คนหนึ่งต้องการหาข้อมูล อีกคนต้องการใช้อีเมล์ เป็นต้น การแชร์อินเทอร์เน็ตผ่านทางคอนเน็กชันเดียว หากเป็นการใช้งานผ่านทางโมเด็มเช่นโมเด็ม 56K อาจจะดูเหมือนเป็นการยากที่จะทำให้คอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องจะแบ่งปันแบนวิดธ์ที่มีอยู่น้อยนิด ให้สามารถใช้งานกระจายกันไปอย่างทั่วถึง แต่สำหรับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแล้ว การแชร์เพื่อแบ่งกันใช้งานอินเทอร์เน็ตภายในระบบเครือข่าย กลับกลายเป็นเรื่องง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก นับเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับบ้านหรือสำนักงานที่มีคอมพิวเตอร์มากกว่าหนึ่งเครื่อง (รูปที่ 1 และ 2)
จะแชร์อินเทอร์เน็ตได้อย่างไร การที่จะแชร์อินเทอร์เน็ตให้กับคอมพิวเตอร์ได้ทุกเครื่องนั้น คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องอยู่ในระบบเน็ตเวิร์ก ซึ่งถ้าเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะส่วนใหญ่มักจะถูกติดตั้งระบบเน็ตเวิร์กมาให้ตั้งแต่โรงงาน ผู้ใช้ก็แค่หาสายเคเบิลสำหรับเน็ตเวิร์กมาใช้งานก็ได้แล้ว แต่ถ้าหากไม่มีการ์ดเน็ตเวิร์กติดตั้งมาพร้อมตั้งแต่แรก ก็จำเป็นต้องหามาติดตั้งก่อนละครับ เพื่อที่จะแชร์อินเทอร์เน็ตให้กันและกันได้ โดยการติดตั้งเน็ตเวิร์กนั้น ในที่นี้คงไม่ได้พูดถึง เพราะได้เคยว่ากันไปแล้วในคอมพิวเตอร์.ทูเดย์ แชร์อินเทอร์เน็ตด้วยวินโดวส์เอ็กซ์พี ความสามารถในการแชร์อินเทอร์เน็ตในวินโดวส์เอ็กซ์พี นี้เรียกว่า Internet Connection Sharing ซึ่งการใช้งานก็ไม่ยาก (แต่ก่อนอื่นต้องติดตั้งไดรเวอร์สำหรับ ADSL เอาไว้ให้เรียบร้อยก่อน) เริ่มต้นก็ให้คุณเปิด My Network Places ขึ้นมา จากนั้นก็เลือกที่ View Network Connections ก็จะเห็นว่ามีไอคอนสำหรับเน็ตเวิร์กคอนเน็กชันอยู่หลายๆ อัน แต่ที่จะให้ความสนใจ ก็คงเป็นไอคอนสำหรับ ADSL อันเดียวเท่านั้น จากนั้นก็ให้คลิ้กขวาที่ไอคอนนี้ แล้วเลือกที่ Properties ก็จะปรากฏหน้าต่าง Properties ของคอนเน็กชันนี้ขึ้นมา ให้พิจารณาดูที่แท็ป Advanced ซึ่งภายใต้หัวข้อนี้จะพบว่ามีส่วนให้เลือกใช้งานอยู่ 2 ส่วน ด้านบนเป็น Internet Connection Firewall สำหรับใช้เป็น Personal Firewall ส่วนตัวที่ไว้ป้องกันไม่ให้เกิดการบุกรุกเข้ามายังเครื่องจากไวรัส หรือว่าอื่นๆ ส่วนที่สองเป็นสิ่งที่เราสนใจครับ นั่นก็คือ Internet Connection Sharing ซึ่งหากเราต้องการแชร์การใช้งานอินเทอร์เน็ตก็ให้คลิ้กเลือกที่หัวข้อนี้ จากนั้นก็จะปรากฏหัวข้อให้เลือกเพิ่มขึ้น สำหรับกำหนดการทำงาน (รูปที่ 3)
เพียงเท่านี้คอมพิวเตอร์ของคุณก็จะพร้อมสำหรับการการแชร์อินเทอร์เน็ตให้กับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ที่ต่ออยู่ในระบบแล้วครับ เรามาดูกันว่าจะกำหนดการทำงานให้กับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ได้อย่างไร ... จะใช้อินเทอร์เน็ตแชร์ได้อย่างไร สำหรับการกำหนด Gateway นี้ทำยังไง อย่าเพิ่งทำหน้ายุ่งผสมงงครับ เพราะผมกำลังจะเฉลยอยู่ตรงนี้ครับ เริ่มต้นให้กำหนดหมายเลขไอพีสำหรับคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องก่อน โดยแต่ละเครื่องจะต้องมีหมายเลขไม่เหมือนกัน ที่นิยมส่วนมากจะเป็น 192.168.0.1 แล้วก็ไล่ต่อไปเรื่อยๆ โดยแต่ละเครื่องจะเปลี่ยนเฉพาะตัวเลขสุดท้าย เช่น 192.168.0.1, 192.168.0.2 , 192.168.0.3 เป็นต้น ส่วนหมายเลขของ Subnet Mark จะใช้เป็น 255.255.255.0 ซึ่งค่านี้ในทุกเครื่องจะต้องเหมือนกัน ที่นี้สำหรับ IP หมายเลขหนึ่ง เราได้กำหนดให้เครื่องสำหรับแชร์อินเทอร์เน็ตเป็นหมายเลข 1 ไปแล้ว ซึ่งเครื่องที่เหลือเราจึงต้องกำหนดให้เป็นหมายเลข 2, 3 ,4 ไล่ลำดับไปเรื่อยๆ จากนั้นให้กำหนดหมายเลขของ Gateway เป็น 192.168.0.1 ตามไอพีของเครื่องที่แชร์อินเทอร์เน็ตเท่านี้ เราก็สามารถจะใช้อินเทอร์เน็ตร่วมกัน โดยมี ADSL คอนเน็กชันเพียงอันเดียวได้แล้วล่ะครับ การกำหนดไอพีสำหรับระบบที่ใช้โมเด็มแบบที่มีฮับในตัวส่วนใหญ่ จะสามารถกำหนดหมายเลขไอพีให้กับตัวโมเด็มได้ ซึ่งในการใช้งานตัวเครื่องลูกทั้งหมาย ก็ต้องกำหนด Gateway ให้ชี้มายังไอพีของโมเด็มเช่นเดียวกัน (ดังรูปที่ 4)
โปรแกรมเหล่านี้อาจจะเป็นซอฟต์แวร์ Personal Firewall ที่จะคอยตรวจสอบการไหลเข้าของข้อมูล รวมถึงการต้องขออนุญาตผ่านเข้าออกสำหรับแพ็กเกจข้อมูล ที่จะผ่านออกไปยังอินเทอร์เน็ตก่อน ซึ่งจะทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตนั้นมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งการป้องกันแบบนี้ถึงจะดูเหมือนว่าไม่ได้ป้องกันอะไรมากนัก และ แต่ก็สามารถกันความเสียหายให้กับคอมพิวเตอร์ที่ต่ออยู่ในระบบได้ส่วนหนึ่งทีเดียว สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการลงทุนอะไรมากนัก นอกจากนั้นการใช้งาน อาจจะจำกัดอยู่บ้าง สำหรับกรณีที่คุณใช้ ADSL ราคาประหยัด ที่สามารถใช้ได้เฉพาะเว็บไซต์ในประเทศเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถจะต่อใช้งานผ่านไปยังเว็บไซต์ต่างประเทศได้ แต่หากต้องการจะใช้งานเว็บไซต์ต่างประเทศ ก็จำเป็นต้องซื้อชั่วโมงเน็ตสำหรับใช้งานมาเพิ่มเติม หรือใช้พร็อกซี่เซิร์ฟเวอร์ที่อื่นๆ ในการต่ออินเทอร์เน็ตไปยังเว็บไซต์นอกประเทศ ซึ่งพร็อกซี่บางที่จะมีการลิมิตตัวเองไม่ให้คอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ระบุเอาไว้ ผ่านออกนอกประเทศได้ โดยจะใช้ได้ก็สำหรับคอมพิวเตอร์ที่ได้ล็อกอินเข้าไปใช้งานในพร็อกซี่เซิร์ฟเวอร์เท่านั้น หากเป็นแบบนี้แล้วคุณต้องการแชร์อินเทอร์เน็ตให้เครื่องอื่นๆ สามารถต่อไปยังเว็บไซต์ต่างประเทศได้ ก็จำเป็นต้องหาโปรแกรมพิเศษ เช่น โปรแกรมพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ มาลงไว้ในเครื่องที่ใช้สำหรับคอนเน็กออกไปก่อน เพื่อให้คอมพิวเตอร์เครื่องลูกที่ต่ออยู่ในระบบสามารถคอนเน็กอินเทอร์เน็ตออกไปโดยผ่านทางโปรแกรมพร็อกซี่นี้อีกทีหนึ่ง แน่นอนว่าการติดตั้งโปรแกรมพร็อกซี อาจจะดูยุ่งยากไปหน่อย เพราะคุณต้องกำหนดค่าต่างๆ ให้กับโปรแกรม เพื่อที่จะสามารถใช้งาน ซึ่งการปรับแต่งนี้อาจจะต้องอาศัยผู้วชาญเข้ามาช่วยเพื่อให้การทำงานของโปรแกรมนั้นไม่เป็นปัญหา แต่โปรแกรมสมัยใหม่ก็ใช้งานได้ง่ายขึ้น เช่น โปรแกรมยอดนิยมอย่าง WinGate ที่จะช่วยให้ผู้ใช้แชร์อินเทอร์เน็ต พร้อมกับมีความสามารถในการป้องกันด้วย firewall ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และยังมีความสามารถในการแจกจ่ายไอพี ซึ่งทำให้คุณไม่ต้องไปกำหนดอะไรให้กับเครื่องลูกข่ายเลย เพียงแค่ต่อเข้ากับระบบเน็ตเวิร์ก เท่านี้ก็พร้อมจะใช้งานได้แล้ว หากใครสนใจรายละเอียดของ WinGate Proxy Server ก็แวะไปดูได้ที่ www.wingate.com ดูนะครับ จะลองโหลดโปรแกรมมาลองใช้งานดูก่อนก็ได้ครับ (รูปที่ 5) สายสัญญาณตีเกลียวมีกี่เส้น1.) สายตีเกลียวคู่ ประกอบ ด้วยเส้นทองแดง 2 เส้นที่หุ้มด้วยฉนวนพลาสติก พันบิดกันเป็นเกลียว เพื่อลดการบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากสายข้างเคียงภายในเคเบิลเดียวกัน หรือจากภายนอก เนื่องจากสายตีเกลียวคู่นี้ยอมให้สัญญาณไฟฟ้าความถี่สูงผ่านได้ สำหรับอัตราการส่งข้อมูลผ่านสายตีเกลียวคู่จะขึ้นอยู่กับความหนาของสาย คือ สายทองแดงที่ ...
สายคู่ตีเกลียว แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือข้อใดจะถูกห่อหุ้มฉนวนอีกชั้นหนึ่งรวมกันเป็นสายขนาดใหญ่เพียงสายเดียว สายคู่บิดเกลียว แบ่งออกเป็นสองประเภทคือ 1. แบบไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP : Unshielded Twisted Pair) 2. แบบมีฉนวนหุ้ม (STP : Shielded Twisted Pair)
Shield Twisted Pair เป็นอย่างไรเป็นสายคู่บิดเกลียวแบบมีฉนวนหุ้ม ซึ่งสายสัญญาณ STP มีการนำสายคู่พันเกลียวมารวมอยู่และมีการเพิ่มฉนวนป้องกันสัญญาณรบกวน ซึ่งจะมีคุณสมบัติเป็นเกราะในการป้องกันสัญญาณรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่างๆ เรียกเกราะนี้ว่า ชิลด์ (Shield) และเป็นสายสัญญาณที่ได้รับการพัฒนาต่อจากสาย UTP โดยเพิ่มการชีลด์กันสัญญาณรบกวนเพื่อทำให้ ...
สาย Unshielded TwistedUTP ย่อมา จาก Unshield Twist Pair หรือที่เรารู้จักกันว่าสายแลนนั้นเอง เขียนให้ถูกต้องเลยต้องเขียนว่า U/UTP คือสายที่นำทองแดงมาตีเกลียวเป็นคู่จำนวน 4 คู่ จะมีประเภทหลักๆที่นิยมคือ CAT5E CAT6 หรือ CAT6A นั่นเอง
|