จริยธรรมคอมพิวเตอร์ |
copyright หรือ software license | -ท่านซื้อลิทสิทธิ์มา และมีสิทธิ์ใช้ |
shareware | -ให้ทดลองใช้ได้ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ |
freeware | -ใช้งานได้ฟรี คัดลอก และเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้ |
การเข้าถึงข้อมูล (Data Accessibility)
ปัจจุบันการเข้าใช้งานโปรแกรม หรือระบบคอมพิวเตอร์มักจะมีการกำหนดสิทธิตามระดับของผู้ใช้งาน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันการเข้าไปดำเนินการต่างๆ กับข้อมูลของผู้ใช้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และเป็นการรักษาความลับของข้อมูล ตัวอย่างสิทธิในการใช้งานระบบ เช่น การบันทึก การแก้ไข/ปรับปรุง และการลบ เป็นต้น ดังนั้น
ในการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์จึงได้มีการออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงของผู้ใช้ และการเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมนั้น ก็ถือเป็นการผิดจริยธรรมเช่นเดียวกับการละเมิดข้อมูลส่วนตัว
ในการใช้งานคอมพิวเตอร์และเครือข่ายร่วมกันให้เป็นระเบียบ หากผู้ใช้ร่วมใจกันปฏิบัติตามระเบียบและข้อบังคับของแต่ละหน่วยงานอย่างเคร่งครัดแล้ว การผิดจริยธรรมตามประเด็นดังที่กล่าวมาข้างต้นก็คงจะไม่เกิดขึ้น
จริยธรรมการใช้คอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทต่อการดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์มากยิ่งขึ้น เนื่องจากคอมพิวเตอร์มีความสามารในการจัดเก็บข้อมูล ประมวลผลสารสนเทศ และเป็นเครื่องมือการสือสารที่รวดเร็ว ส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน โรงเรียน และหน่วยงานธุรกิจมีประสิทธิภาพสูงขึ้น คาดการณ์กันไว้ว่า ใน 2-3 ปีข้างหน้า
ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะมีการพัฒนาในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์ ซอร์ฟแวร์ การสื่อสารและเครือข่ายแบบไร้สาย และครือข่ายเคลื่อนที่ ตลอดจนเทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์
มนุษย์ได้คิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อจะได้นำอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีเหล่านั้นมาช่วยอำนวนความสะดวก ลดขั้นตอนการทำงาน ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต หรือแม้แต่การช่วยชีวิตมนุษย์ เช่น การใช้หุ่นยนต์ในการเก็บกู้ระเบิด และผ่าตัดรักษาโรค
ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะมีประโยชน์มากเพียงไรก็ตาม หากพิจารณาอีกด้านหนึ่งแล้ว คอมพิวเตอร์ก็จอาจจะเป็นภัยได้เช่นกัน หากผู้ใช้ไม่ระมัดระวังหรือนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น ในการใช้งานคอมพิวเตอร์ร่วมกันในสังคม ในแต่ละประเทศจึงได้มีารกำหนดระเบียบ กฎเกณฑ์ รวมถึงกฎหมายที่ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดคุณธรรมและจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) ถือเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่งนอกเหนือจากอสังหาริมทรัพย์ ความสามารถ ประสบการณ์หรือทักษะ โดยผลิตผลหรือผลงานนั้น อาจจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ สินค้า บริการ หรือกรรมวิธี เป็นต้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เรื่องของลิขสิทธิ์ และทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม ซึ่งได้แก่ สิทธิบัตร (Patent) เครื่องหมายการค้า (Trademark) ความลับทางการค้า (Trade Secrets) ชื่อทางการค้า (Trade Name) แบบผังภูมิทางวงจรรวม (Layout Designs of Integrated) และสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical_Indication) [Top]
เรามาทำความรู้จักกับเรื่องที่คุ้นๆ
หูกัน คือ "ลิชสิทธิ์ สิทธิ์บัตร และอนุสิทธิบัตร"
ลิขสิทธิ์
"ลิขสิทธิ์" คือ การคุ้มครองการแสดงออกทางด้านความคิด (Expression of Ideas) ซึ่งเป็นการสร้างสรรค์จากการริเริ่มของตนเอง (Original) โดยไม่จำเป็นต้องมีความใหม่ (Novalty) งานที่ได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมายลิขสิทธิ์ส่วนใหญ่เป็นงานประเภทในสาขาวรรณกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม หรืองานภาพยนตร์ เป็นต้น และงานด้านอื่นๆ ในแผนกวิทยาศาสตร์ รวมทั้งสิทธิข้างเคียงที่เกิดจากการนำงานด้านลิขสิทธิ์ออกแสดง โปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือชุดคำสั่งที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ งานฐานข้อมูลที่รวบรวมเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์ด้านต่างๆ
ลักษณะการละเมิดลิขสิทธิ์
ทำซ้ำ/ดัดแปลง
เผยแพร่ต่อสาธารณชน
ให้เช่าต้นฉบับ หรือสำเนางานดังกล่าว
ขาย หรือมีไว้เพื่อขาย เสนอขาย ให้เช่า ให้เช่าซื้อ หรือเสนอให้เช่าซื้อ
แจกจ่ายในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของลิขสิทธิ์
โทษของการละเมิดลิขสิทธิ์
เมื่อมีการละเมิดลิขสิทธิ์เกิดขึ้น ผู้ละเมิดจะถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา
ในทางแพ่ง
ผู้ถูกละเมิดลิขสิทธิ์ นอกจากการฟ้องร้อง ดำเนินคดี ยังสามารถฟ้องเรีบกค่าเสียหายได้
ในทางอาญา
1. การละเมิดลิขสิทธิ์ทางตรง คือ การทำซ้ำ ดัดแปลง ผลงานที่มีลิขสิทธิ์
- ถ้ากระทำเพื่อการค้า มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 4 ปี หรือปรับ ตั้งแต่ 100,000-800,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ถ้าไม่ได้กระทำเพื่อการค้า จะเสียค่าปรับอยู่ระหว่าง 20,000-200,000 บาท
2.การละเมิดลิขสิทธิ์ทางอ้อม คือ พ่อค้า แม่ค้า รับของที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์มาขายต่อจะถูกลงโทษปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท [Top]
สิทธิบัตร
"สิทธิบัตร" หมายถึง เอกสารสิทธิ์ที่แสดงถึงการจดทะเบียนคุ้มครองการประดิษฐ์และการออกแบบผลิดตภัณฑ์ ให้ความคุ้มครองสิ่งประดิษฐ์ทางอุตสาหกรมที่มีความใหม่และสามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้ เป็นสิทธิพิเศษที่กฎหมายบัญญัติให้เจ้าของสิทธิบัตรมีสิทธิเด็ดขาด หรือสิทธิแต่เพียงผู้เดียว ในการแสวงหาประโยชน์จากการประดิษฐ์ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับสิทธิบัตรนั้น
**ข้อควรทราบเกี่ยวกับการจดทะเบียนสิทธิบัตร
ไม่สามารถเผยแพร่การประดิษฐ์คิดค้น หรือออกแบบผลิตภัณฑ์ก่อนการตดสิทธิบัตรเว้นแต่เป็นการแสดงในงานที่หน่วยงานราชการได้จัดให้มีขึ้น การจดทะเบียนสิทธิบัตรในประเทศไทยจะให้ความคุ้มครองเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น หากต้องการจะไดรับความคุ้มครองที่ประเทศใดก็ต้องไปยื่นขอจดทะเบียนสิทธิบัตรในประเทศนั้นๆ [Top]
อนุสิทธิบัตร
"อนุสิทธิบัตร" หมายถึงเอกสารสิทธิที่แสดงถึงการจดทะเบียนคุ้มครองการประดิษฐ์และการออกแบบผลิตภัณฑ์ ให้ความคุ้มครองสิ่งประดิษฐ์ทางอุตสาหกรรมที่มีความใหม่ และสามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้เช่นกัน แต่ต่างกับสิทธิบัตรที่เป็นการประดิษฐ์ที่มีเทคนิคไม่สูงมากนัก อาจจะเป็นการปรับปรุงเพียงเล็กน้อย
**เงื่อนไขการขอรับอนุสิทธิบัตร
เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ยังไม่เคยมีการใช้ หรือเผยแพร่ก่อนวันที่ยื่นจอ หรือยังไม่เคยเปิดเผยสาระสำคัญมาก่อนวันยื่นขอทั้งในประเทศ หรือต่างประเทศ สามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้ [Top]
กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือสาร หรือ ICT (Information and communication Technology) ทำให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ทั้งทางด้านอุตสาหกรรมและบริการมีการทำธุรกิจผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น การซื้อ-ขายสินค้า
แลกเปลี่ยนข้อมูล ตลอดจนการให้บริการระหว่างประชาชนกับองค์การหรือระหว่างองค์การด้วยกันเอง มีการดำเนิงานและให้บริการแบบไม่จำกัดสถานที่และเวลา หรือการให้บริการแบบ 24 x 7 x 365 ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินธุรกิจและการให้บริการมีความคล่องตัว น่าเชื่อถือ และใช้เป็นแนวปฏิบัติร่วมกัน ประเทศต่างๆ จึงได้ออกกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศขึ้น สำหรับประเทศไทยก็ได้มีการร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น 6 ฉบับ คือ
กฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (eletronic transactions law)
กฎหมายเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (eletronic signatures law)
กฎหมายเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (computer crime law)
กฎหมายเกี่ยวกับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (eletronic funds transfer law)
กฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน (กฎหมายลำดับรองของรัฐธรรมนูญ มาตรา 78) (National information infrastructure law)
ต่อมาได้มีการรวมเอากฎหมายธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์และกฎหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส ์เป็นฉบับเดียวกันเป็นพระราชบัญญติว่าด้วยธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อววันที่ 3 เมษายน 2545 แต่ในปัจจุบันยังไม่ได้นำมาใช้สมบูรณ์แบบ เนื่องจากยังไม่มีคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนกฎหมายอีก 4 ฉบับที่เหลือ ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ (ข้อมูล ณ ตุลาคม 2546)
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ (computer crime หรือ cyber crime) เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือ เช่น การโจรกรรมข้อมูลหรือความลับของบริษัท การบิดเบือนข้อมูล การฉ้อโกง การฟอกเงิน การถอดรหัสโปรแกรมคอมพิวเตอร์ รวมถึงการก่อกวนโดยกลุ่มแฮกเกอร์ (Hacker) เช่น ไวรัสคอมพิวเตอร์ การทำลายข้อมูลและอุปกรณ์ เป็นต้น
โดยทั่วไปเข้าใจกันว่า แฮกเกอร์ คือ บุคคลที่ใช้ความรู้ความสามารถในทางที่ไม่ถูกต้อง/ผิดกฎหมาย ได้แก่ การลักลอบเข้าไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นโดยผ่านการสื่อสารเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อเข้าไปอ่าน คัดลอก เปลี่ยนแปลง ลบ หรือทำความเสียหายให้กับข้อมูล ซึ่งอาจจะกระทำไปด้วยความสนุก ต้องการทดลองความสามารถของตนเอง รวมทั้งการอวดความสามารถกับเพื่อนๆ ส่วนแครกเกอร์ (Cracker) คือ แฮกเกอร์ที่ลักลอบเข้าไปยังคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นเพื่อวัตถุประสงค์ในเชิงธุรกิจ นอกจากนี้ ยังมีคำว่า hacktivist หรือ cyber terrorist ซึ่งได้แก่ แฮกเกอร์ที่ใช้อินเตอร์เน็ตในการส่งข้อความเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองไปยังบุคคลอื่นๆ โดยเฉพาะในช่วงสงครามระหว่างประเทศสหรัสอเมริการกับอิรักที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีการพูดถึง hacktivist กันมากขึ้น
คอมพิวเตอร์เป็นทั้งเครื่องมือและเป้าหมายของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ในฐานะที่เป็นเครื่องมือ เช่น ใช้ในการขโมยเงิน รายชื่อลูกค้า ข้อมูลส่วนตัว หมายเลขบัตรเครดิต และอื่นๆ ส่วนคอมพิวเตอร์ในฐานะที่เป็นเป้าหมายของการก่ออาชญากรรม เช่น แฮกเกอร์เข้าไปก่อกวน ทำลายระบบของผู้อื่น