Iphone 11 pro รองร บ 5g ไหม

ใช้งาน iPhone 12 หรือ iPhone 13 ทั้งที อย่าพลาดประสบการณ์ AIS 5G ที่ iPhone ทั้ง 2 รุ่นรองรับกันนะคะ โดยวันนี้เรามีวิธีการตั้งค่า AIS 5G และทริคการตั้งค่าให้ไม่เปลืองแบตและไม่กินเน็ตมาฝากกันค่ะ

สารบัญ Show

• ฟีเจอร์เด่น iPhone 11 น่าใช้
• iPhone 11 น่าใช้หรือไม่ เหมาะกับใคร
• iPhone 11 ซื้อได้ที่นี่
• Apple iPhone 11 Pro รองรับ5G ไหม
• 5G ใช้กับไอโฟนอะไร
• ไอโฟน11 ใช้กี่จี
• ทำไมไอโฟน13ไม่ขึ้น5G

แต่ก่อนที่เราจะพาไปดูการตั้งค่า AIS 5G อยากให้ทุกคนลองตรวจสอบดูก่อนว่าพื้นที่ที่ใช้งานมี AIS 5G หรือเปล่า โดยเข้าไปตรวจสอบได้ที่นี่เลยค่ะ คลิก

บางคนอาจจะใช้งานในพื้นที่ที่มี 5G อยู่ตลอด บางคนอาจจะมีการใช้งานในพื้นที่ที่ไม่มี 5G บ้าง
ไม่ว่าจะใช้งานแบบไหนก็ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ เพราะเราสามารถตั้งค่า AIS 5G ให้เหมาะสมกับการใช้งานของเราได้
และที่สำคัญ หากตั้งค่าให้เหมาะสมแล้ว จะทำให้เครื่องไม่ต้องค้นหาสัญญาณอยู่ตลอดเวลาจนแบตหมดไวอีกด้วยค่ะ

วิธีการตั้งค่า AIS 5G บน iPhone
1. ไปยังการตั้งค่า (Settings) > เซลลูลาร์ (Cellular) > ตัวเลือกข้อมูลเซลลูลาร์ (Cellular Data Options)
2. ถ้ามีแพ็กเกจรองรับ 5G แล้วเรียบร้อย จะขึ้นหน้าตัวเลือกข้อมูลเซลลูลาร์ขึ้นมาค่ะ
ตัวเลือกที่เราสามารถตั้งค่าได้ในหน้านี้
   - ดาต้าโรมมิ่ง (Data Roaming)
   - เสียงและข้อมูล (Voice & Data)
   - โหมดข้อมูล (Data Mode)

3. ไปดูกันที่เมนู เสียงและข้อมูล (Voice & Data) กันก่อนเลยค่ะ ตรงนี้เป็นเมนูที่เราจะตั้งค่าว่าจะให้ iPhone ของเราใช้ 5G ยังไงบ้าง โดยมีตัวเลือกดังนี้

   - 5G ตลอด (5G On) เมื่อเลือกตัวเลือกนี้ เครื่องจะใช้งานและค้นหา 5G อยู่ตลอดเวลา และอาจทำให้แบตหมดเร็วได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานในพื้นที่ที่มีสัญญาณ 5G ตลอด แต่ถ้าต้องใช้งานนอกพื้นที่ด้วย ไปดูตัวเลือกต่อไปเลยค่ะ
   - 5G อัตโนมัติ (5G Auto) เมื่อเลือกตัวเลือกนี้ เครื่องจะกลับไปใช้สัญญาณ 4G หากอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณ 5G หรือมีสัญญาณ 5G ไม่เพียงพอ โดยตัวเลือกนี้จะช่วยประหยัดแบตมากกว่าตัวเลือกแรก
   - 4G (LTE) เมื่อเลือกตัวเลือกนี้ เครื่องจะมีการใช้งาน 4G เท่านั้น (หรือ 3G เมื่ออยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณ 4G) แนะนำให้เลือกตัวเลือกนี้เมื่ออยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณ 5G หรือเลือกเมื่อต้องการประหยัดแบต ใช้งานได้ยาว ๆ ไม่พลาดทุกการสื่อสารค่ะ

4. เมนูถัดมา โหมดข้อมูล (Data Mode) จะเป็นที่ตั้งค่าเพื่อจำกัดการใช้งานดาต้ามือถือหรือว่าอินเทอร์เน็ตนั่นเองค่ะ ใครที่ใช้งานเน็ตแบบไม่จำกัดต้องไฮไลท์ตรงนี้ไว้เลยนะคะเพราะว่าสำคัญมาก ๆ ถ้าไม่อยากให้เน็ตหมดไว ต้องตั้งค่าให้เหมาะสมกับการใช้งานนะคะ โดยเมนูนี้มีตัวเลือกดังนี้

   - อนุญาตให้ใช้ข้อมูลเพิ่มเติมบน 5G (Allow More Data on 5G) เมื่อเลือกตัวเลือกนี้จะทำให้เครื่องสามารถอัปเดต iOS ได้ผ่านดาต้ามือถือ มีการใช้ดาต้ามากขึ้นกับบริการของ Apple อย่าง FaceTime, Apple TV, Apple Music และอาจทำให้แอปอื่น ๆ มีการใช้งานดาต้าของเรามากขึ้นด้วยค่ะ
ตัวเลือกนี้เหมาะสำหรับใครที่มีแพ็กเกจเน็ตไม่จำกัดอยู่แล้ว สามารถเลือกใช้งานเพื่อสัมผัสประสบการณ์ 5G ได้เลยค่ะ
   - มาตรฐาน (Standard) ทำให้มีการอัปเดตแอปพื้นหลังอยู่อย่างอัตโนมัติโดยใช้ดาต้ามือถือ และวิดีโอและ FaceTime ก็จะใช้งานดาต้าตามคุณภาพมาตรฐาน
   - โหมดประหยัดข้อมูล (Low Data Mode) เมื่อเลือกตัวเลือกนี้จะทำให้ลดการใช้ WiFi และดาต้า โดยจะไม่มีการอัปเดตแอปพื้นหลัง จะโหลดก็ต่อเมื่อเปิดแอปขึ้นมาเพื่อใช้งาน
หากใช้งานเน็ตจำกัด แนะนำให้เลือกโหมด มาตรฐาน (Standard) หรือโหมดประหยัดข้อมูล (Low Data Mode) โดยดูจากการใช้งานของเราได้เลยค่ะ

เพียงเท่านี้ก็สามารถตั้งค่าการใช้งาน AIS 5G ให้เหมาะสมกับพื้นที่และการใช้งานของเราได้แล้วนะคะ

สำหรับใครที่ไม่เจอเมนู 5G บนตัวเครื่อง ไม่ต้องตกใจนะคะ
ถ้าซิมการ์ดในตัวเครื่องของเรามีแพ็กเกจ 5G แล้วเรียบร้อย เพียงอัปเดตที่ตัวเครื่องง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ
1. อัปเดต iOS เป็นเวอร์ชันล่าสุด โดยไปที่ การตั้งค่า (Settings) > ทั่วไป (General) > รายการอัพเดทซอฟต์แวร์ (Software Update) หากมีเวอร์ชันล่าสุดออกมาจะมีปุ่ม ดาวน์โหลดและติดตั้ง (Download and Install)
2. หากอัปเดต iOS เรียบร้อยแล้ว ต่อไปเข้าไปอัปเดตผู้ให้บริการ (Carrier) โดยไปที่การตั้งค่า (Settings) > ทั่วไป (General) > เกี่ยวกับ (About) จะมีหน้าต่าง Pop-up ขึ้นมา กด อัพเดต ได้เลยค่ะ

แล้วถ้าซิมการ์ดของเรายังไม่มีแพ็กเกจ 5G ต้องทำอย่างไร?
AIS 5G มีแพ็กเกจหลากหลายให้เลือกเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นแพ็กเกจหลักหรือแพ็กเกจเสริม ดูถาม-ตอบข้อสงสัยแพ็กเกจ 5G คลิก

iPhone 11 น่าใช้หรือไม่ และเหมาะกับใคร สมาร์ทโฟนที่เปิดตัวมาแล้วเกือบ 3 ปี มีกล้องหลังคู่ หน้าจอ 6.1 นิ้ว Liquid Retina HD วันนี้ทีมงาน iphone-droid.net จะมาแนะนำเพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน

ฟีเจอร์เด่น iPhone 11 น่าใช้

• จอภาพ แบบ Liquid Retina HD ขนาด 6.1 นิ้ว
• ระบบกล้องคู่พร้อมโหมดกลางคืน โหมดภาพถ่ายบุคคล และวิดีโอระดับ 4K สูงสุด 60 fps
• กล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 12MP พร้อมโหมดภาพถ่ายบุคคล, วิดีโอระดับ 4K และโหมดสโลว์โมชั่น
• ชิป A13 Bionic พร้อม Neural Engine
• Face ID เพื่อการยืนยันตัวตนที่ปลอดภัย

iPhone 11 เปิดตัวเมื่อปลายปี 2019 มาพร้อมชิปเซ็ต A13 Bionic ซึ่งเป็นชิปที่มีประสิทธิภาพในอันดับต้นๆ เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนในระดับเดียวกัน ในขณะที่ปัจจุบันชิปเซ็ต A15 Bionic เป็นชิปที่เร็วแรงที่สุดบน iPhone ก็ยังถูกนำมาใช้งานลน iPhone SE (2022) ด้วย

ดีไซน์ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบากำลังดี เวลาถือใช้งานจะรู้สีกว่าขนาดตัวเครื่องพอดีมือ จับถนัด และยังสามารถถือใช้งานมือเดียวได้อยู่ และตัวเครื่องยังได้มาตราฐานทนน้ำ IP68 อีกด้วย ทนน้ำถึงระดับความลึก 2 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที

ด้านฟีเจอร์กล้องก็จัดเต็มไม่แพ้รุ่นใหม่ รองรับการถ่ายกลางคืน Night mode ที่จะช่วยให้ภาพถ่ายเก็บแสงที่รายละเอียดได้ดีมากขึ้นเมื่อเทียบกับโหมดปกติ โดยจะเป็นการถ่ายภาพทั้งหมด 9 ภาพรวมไว้เป็นภาพเดียว หรือจะเป็นการถ่ายภาพบุคคลแบบหน้าชัดหลังละลาย Portrait Mode ก็สามารถใช้ถ่ายสัตว์เลี้ยงได้ด้วย รองรับการถ่ายภาพขณะถ่ายวิดีโอได้ และกล้องหน้ามี FaceID สำหรับสแกนใบหน้า

ตัวเครื่องมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล Liquid Retina ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1792 x 828 พิกเซล ซึ่งเป็นแผงหน้าจอชนิด IPS LCD เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป แต่สีสันความคมชัดจะสู้จอ OLED ไม่ได้ในรุ่น iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ที่เรียกว่าจอภาพ Super Retina XDR ขนาด 5.8 และ 6.5 นิ้วตามลำดับ

นอกจากนี้แล้ว ยังรองรับการอัปเกรด iOS 16 เวอร์ชั่นใหม่ที่จะมาในปลายปีนี้ด้วย และทุกคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า iPhone จะได้รับการสนับสนุนหรือว่ารองรับการอัปเดท iOS เวอร์ชั่นใหม่ประมาณ 5 ปี นั่นก็หมายความว่า iPhone 11 ยังได้ไปต่ออีกหลายปี

iPhone 11 น่าใช้หรือไม่ เหมาะกับใคร

iPhone 11 เป็นรุ่นเก่ากว่า iPhone SE 3 แถมไม่รองรับ 5G ด้วย แต่รุ่นเก่านี้ก็มีฟีเจอร์หลายอย่างที่ครบเครื่องกว่าและน่าซื้อมากกว่า โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นใช้งาน iPhone และเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจหากกำลังวางแผนซื้อให้คุณพ่อคุณแม่หรือญาติผู้ใหญ่

หน้าจอ 6.1 นิ้ว ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป ดังนั้น iPhone SE ตัดออกไปได้เลย แต่ขนาดตัวเครื่องใกล้เคียงกัน เพราะดีไซน์หน้าจอแบบใหม่ของ iPhone 11 นั่นเอง แถมมีระบบ Face ID และมีกล้องที่ดีกว่าด้วยกล้องคู่ กล้องหลักและกล้อง Ultra-wide อีกทั้งกล้องหน้าคมชัดกว่าคือ 12 ล้านพิกเซล สำหรับการ FaceTime ที่ดีขึ้น

ด้านชิปประมวลผล A13 Bionic ไม่ส่งผลต่อการใช้งานสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน iPhone หรือคุณพ่อคุณแม่ผู้สูงอายุ และที่สำคัญแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่า iPhone SE รุ่นใหม่ด้วยตามข้อมูลสเปคที่ Apple ระบุเอาไว้

iPhone 11 ยังเหมาะกับผู้ใช้งาน iPhone รุ่นเก่าอย่าง iPhone 7 หรือรุ่นเก่ากว่านั้น เพราะใน iOS 16 จะไม่รองรับรุ่นดังกล่าวแล้ว ถ้าใครใช้รุ่นเหล่านั้นนะครับ การขยับขึ้นมาใช้ iPhone 11 ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเลย แถมราคาก็จับต้องได้ง่ายมากขึ้นในช่วงไม่เกิน 20,000 บาทด้วย แต่ใครที่ต้องการรุ่นที่รองรับ 5G ก็จะไม่เหมาะกับรุ่นนี้

iPhone 11 ซื้อได้ที่นี่

• iPhone 11 ความจุ 64GB ราคา 19,500 บาท
• iPhone 11 ความจุ 128GB ราคา 21,500 บาท

สามารถซื้อได้ที่ Apple Store, Apple Online Store, Shopee, Lazada รวมไปถึงร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม iPhone 11 ไม่มีอะแดปเตอร์แปลงไฟหรือหูฟัง EarPods ให้มาด้วย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามของ Apple ที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สิ่งที่มีมาให้ในกล่องได้แก่สาย USB‑C เป็น Lightning ที่รองรับการชาร์จเร็วและใช้งานได้กับอะแดปเตอร์แปลงไฟ USB-C รวมถึงพอร์ตคอมพิวเตอร์ต่างๆ

ทั้งหมดนี้ก็เป็นการแนะนำ iPhone 11 ยังน่าใช้หรือไม่ในปี 2022 เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานมากที่สุดและคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป อย่าลืมกดติดตามแฟนเพจ @iPhoneDroid.net และทวิตเตอร์ @iPhone_Droid จะได้ไม่พลาดข่าวสารดีๆ ด้วยนะครับ

Apple iPhone 11 Pro รองรับ5G ไหม

5G ใช้กับไอโฟนอะไร

ไอโฟน11 ใช้กี่จี

ทำไมไอโฟน13ไม่ขึ้น5G