2.ข้อใดคือความหมายของ IS * การศึกาาค้นคว้าสิ่งที่เราอยากรู้ การศึกษาค้นคว้าสิ่งที่เราสนใจ 3.บันไดสู่ความสำเร็จ ของวิชา IS มีกี่ขั้น * 4. ข้อใดไม่ใช่บันไดสู่ความสำเร็จของวิชา IS * การตั้งประเด็นคำถามและสมมุติฐาน การแสวงหาและสืบค้นความรู้ 5. รายงานทางวิชาการมีกี่ประเภท * 6. การนำเสนอผลงานอันเนื่องมาจากการศึกษาค้นคว้าพิเศษนอกเหนือจากสิ่งที่เราเรียนในชั้นเรียนคือความหมายของข้อใด * 7. การศึกษาค้นคว้าตามความถนัด ความสนใจ ความสามารถของผู้เรียนเอง ที่ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทำการค้นคว้าหาคำตอบหรือผลงานซึ่งมีความสมบูรณ์ในชั้นงาน โดยนักเรียนเป็นผู้วางแผนการศึกษาค้นคว้า คือความหมายของข้อใด * 8. เป็นรายงานศึกษาวิจัยสำหรับนักศึกษาปริญญาโท จัดทำขึ้นจากการทดลองค้นคว้าและทำการวิจัยอย่างพอสมควร และได้ข้อมูลที่อาจเป็นข้อมูลเพิ่มเติมหรือข้อมูลที่ได้ค้นพบใหม่ คือความหมายของข้อใด * 9. เป็นรายงานศึกษาวิจัยสำหรับนักศึกษาปริญาเอก ต้องจัดทำขึ้นจากการทดลองค้นคว้าอย่างเป็นระบบ มีวิธีการกระทำที่ถูกต้องและลึกซึ้งตามหลักวิชาการ ทั้งยังมีข้อมูลที่บ่งชัดเจนถึงสิ่งที่ได้ค้นพบใหม่ หรือองค์ความรู้ใหม่ ซึ่งอาจนำไปใช้ในการสร้างทฤษฎีใหม่ หรือนำไปประยุกต์ใช้ต่อไปได้ คือความหมายของข้อใด * 10. ข้อใดไม่ใช่ประเภทของการศึกษาค้นคว้า * ประเภทการสร้างและพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ 11.องค์ประกอบของตั้งชื่อเรื่องการศึกษาค้นคว้าจะต้องมีกี่ส่วน * 12. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบของการต้องชื่อเรื่อง * 13.เอกสารงานเขียนที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือชื่อเรื่องที่ผู้ศึกษาค้นคว้าสนใจ * 14. ข้อคือความสำคัญของการทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้อง * เพื่อให้ทราบถึงองค์ความรู้ ช่วยให้สามารถหลีกเลี้ยงความซ้ำซ้อนกับผู้อื่น ช่วยให้เห็นแนวทางการดำเนินงานของผู้ค้นคว้าเอง 15. ข้อใดคือแบบอ้างอิงในเนื้อหา * 16. การอ้างอิงท้ายเล่มเรียกว่าอะไร * 17. ให้นักเรียนระบุข้อมูลที่ใช้เขียนแบบ MLA (2 คะแนน) * เรื่อง การอ้างอิงทางวิชาการ ผู้แต่ง วิจิตร ณัฏฐการนิจ พิมพ์ครั้งที่ 2 แก้ไขปรับปรุง สถานที่พิมพ์ วัฒนาพานิช กรุงเทพมหานคร ปี 2555 18. ให้นักเรียนระบุข้อมูลที่ใช้เขียนแบบ APA(2 คะแนน) * เรื่อง การอ้างอิงทางวิชาการ ผู้แต่ง วิจิตร ณัฏฐการนิจ พิมพ์ครั้งที่ 2 แก้ไขปรับปรุง สถานที่พิมพ์ วัฒนาพานิช กรุงเทพมหานคร ปี 2555 ห้ามส่งรหัสผ่านใน Google ฟอร์ม โรงเรยี นเทพศิรินทรค์ ลองสิบสาม ปทุมธานี ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 IS 1 คำนำ การจัดการเรียนรใู้ นโรงเรยี นมาตรฐานสากล มุง่ เนน้ การเสริมสร้างความรู้ ความสามารถและ หลักสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากลเป็นหลักสูตรที่ใช้เป็นเป้าหมายและทิศทางในการยกระดับ ค่มู ือการเรียนการสอนวชิ า การศึกษาค้นควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ : IS1 ของโรงเรยี น คณะผ้จู ัดทำ สารบญั หนา้ สารบญั (ต่อ) หน้า หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 การตัง้ ประเดน็ ปญั หาหรือต้งั คำถาม การใช้คำถามเป็นเทคนิคสำคัญในการเสาะแสวงหาความรู้ที่มีประสิทธิภาพ เป็นกลวิธีการสอนที่ก่อให้เกิดการ การถามเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ช่วยให้ผู้เรียนสร้างความรู้ ความเข้าใจ
และพัฒนาความคิดใหม่ ๆ การสังเกต (Observation) วิธีการทางวิทยาศาสตร์มักจะเริ่มจากการสังเกต 1 การตงั้ ปัญหา และมองเหน็ ลูท่ างของการคน้ หาคำตอบเพ่ือแก้ปัญหาทต่ี ัง้ ข้ึน ดังน้นั จึงต้องหมั่นฝึกการสงั เกตสิ่งทส่ี งั เกตนัน้ เป็น ตัวอย่าง "แสงแดดมีสว่ นเก่ยี
วข้องกบั การเจรญิ งอกงามของตน้ ไมห้ รือไม่" 2 1) คำถามระดับพื้นฐาน เป็นการถามความรู้ ความจำ เป็นคำถามท่ีใช้ความคิดทั่วไป หรือความคิดระดับต่ำ ใช้พื้น 1.1) คำถามใหส้ งั เกต เปน็ คำถามท่ีให้ผ้เู รียนคิดตอบจากการสังเกต เปน็ คำถามที่ต้องการใหผ้ ู้เรียนใช้ประสาทสัมผัสท้ัง คำตอบ คอื ใชต้ าดู มือสมั ผัส จมกู ดมกล่ิน ล้ินชมิ รส และหฟู ังเสียง ตัวอยา่ งคำถาม เชน่ 1.2) คำถามทบทวนความจำ เป็นคำถามทใ่ี ชท้ บทวนความรู้เดิมของผู้เรยี น เพ่ือใช้เชือ่ มโยงไปสู่ความรู้ใหมก่ ่อนเริ่ม ตวั อยา่ งคำถาม เชน่ 1.3) คำถามทีใ่
หบ้ อกความหมายหรือคำจำกัดความ เปน็ การถามความเข้าใจ โดยการให้บอกความหมายของข้อมูล - คำวา่ สิทธิมนษุ ยชนหมายความว่าอยา่ งไร 1.4) คำถามบง่ ช้ีหรือระบุ เป็นคำถามทีใ่ ห้ผู้เรยี นบ่งช้ีหรอื ระบุคำตอบจากคำถามให้ถกู ต้อง ตวั อย่างคำถาม เชน่ 3 2) คำถามระดับสูง เป็นการถามให้คิดค้น หมายถึง คำตอบที่ผู้เรียนตอบต้องใช้ความคิดซับซ้อนเป็นการส่งเสริม 2.1) คำถามให้อธิบาย เป็นการถามโดยให้ผู้เรียนตีความหมาย ขยายความ
โดยการให้อธิบายแนวคิดของข้อมูล - เพราะเหตุใดใบไม้จึงมีสเี ขยี ว 2.2) คำถามให้เปรยี บเทยี บ เปน็ การตง้ั คำถามให้ผเู้ รยี นสามารถจำแนกความเหมือน – ความแตกตา่ งของข้อมลู ได้ - พชื ใบเลย้ี งคู่ต่างจากพืชใบเล้ยี งเดยี่ วอย่างไร 2.3) คำถามให้วเิ คราะห์ เปน็ คำถามใหผ้ ู้เรยี นวเิ คราะห์ แยกแยะปัญหา จดั หมวดหมู่ วจิ ารณ์แนวคดิ หรอื บอก - อะไรเป็นสาเหตุทีท่ ำให้เกดิ ภาวะโลกร้อน 2.4)
คำถามให้ยกตัวอยา่ ง เปน็ การถามใหผ้ ู้เรยี นใช้ความสามารถในการคดิ นำมายกตัวอย่าง ตัวอยา่ งคำถาม เช่น 4 2.5) คำถามให้สรุป เป็นการใช้คำถามเมื่อจบบทเรียน เพื่อให้ทราบว่าผู้เรียนไดร้ ับความรู้หรือมคี วามก้าวหน้าใน - จงสรุปเหตผุ ลท่ีทำให้พระเจา้ ตากสินทรงย้ายเมืองหลวง 5 การตั้งสมมตฐิ าน HYPOTHESIS ว่า สมมตฐิ านเปน็ ส่งิ ทบี่ คุ คลหรอื กลมุ่ บุคคลคาดวา่ จะเกดิ ขนึ้ โดยทีค่ วามเชื่อหรอื ส่งิ ทคี่ าดนัน้
จะเป็นจริงหรือไม่ก็ได้ การคาดคะเน หรอื ทำนายคำตอบอย่างไรให้มเี หตุผลโดยอาศัย ตวั อย่างการตงั้ สมมตฐิ าน ทำแบบนไ้ี ปอีกหน่งึ ปจี ะมเี งินเก็บ 60,000 บาท นง่ั ในสภาตำ่ กวา่ 50% ของทง้ั หมด 1. ความแตกต่างของสมมตฐิ านกับการพยากรณ์ 6 2. หลักการต้งั สมมุติฐาน 1) สมมติฐานต้องเปน็ ขอ้ ความทบี่ อกความสัมพนั ธ์ระหว่าง ตวั แปรตน้ กบั ตวั แปรตาม 2) ในสถานการณ์หน่งึ ๆ อาจตัง้ หนึง่ สมมตฐิ านหรือหลายสมมตฐิ านก็ได้ สมมตฐิ านท่ีต้ังข้ึนอาจจะถูกหรือ ตัวอยา่ งการตั้งสมมตฐิ าน คำถาม : อะไรมผี ลต่อความเร็วรถ (ความเร็วรถขนึ้ อยูก่ บั ปจั จยั อะไรบา้ ง) สมมติวา่ นักเรยี นเลอื กขนาดของยางรถยนต์ เปน็ ตัวแปรทต่ี อ้ งการทดสอบ ก็อาจตั้งสมมติฐานไดว้ ่า การตง้ั สมมตฐิ าน : เม่ือขนาดของยางรถยนตใ์ หญ่ข้นึ ความเรว็ ของรถยนต์จะลดลง (ตัวแปรตน้ : ขนาดของยางรถยนต์) (ตวั แปรตาม : ความเร็วของรถยนต)์ 3. การตั้งสมมติฐานทีด่ ี ควรมีลักษณะดงั น้ี 1) เป็นสมมติฐานทีเ่ ข้าใจง่าย มักนยิ มใช้วลี “ถา้ …ดังน้นั ” 2) เป็นสมมติฐานที่แนะลูท่ างท่ีจะตรวจสอบได้ 3) เป็นสมมตฐิ านที่ตรวจไดโ้ ดยการทดลอง 4) เป็นสมมตฐิ านทส่ี อดคล้องและอยู่ในขอบเขตขอ้ เท็จจริงท่ีไดจ้ ากการสังเกตและสัมพันธก์ บั ปัญหาที่ต้งั ไว้ 5) ใชภ้ าษาที่งา่ ยๆ มคี วามหมายชดั เจน 7 4. ตวั อย่างการตง้ั สมมติฐาน มธั ยมศกึ ษาปที …่ี ..ชอบเรียนวิชาวิทยาศาสตร์” รับแสงแดดจะไมง่
อกงามหรือตายไป” หรือ “ถ้าแสงแดดมีสว่ นเก่ยี วขอ้ งกับการเจรญิ งอกงามของตน้ หญ้า ดังน้ัน ตน้ หญา้ 5. ประเภทของสมมติฐาน 5.1 สมมุติฐานทางการวิจัย.... (Research Hypothesis) - สมมตฐิ านแบบมีทศิ ทาง (Directional hypothesis) 8 5.1.1 สมมตฐิ านแบบมีทิศทาง (Directional hypothesis) - นักเรียนหญิงส่งงานตรงเวลามากกวา่ นกั เรยี นชาย เปน็ สมมตฐิ านท่เี ขยี นโดยไม่ไดร้ ะบทุ ิศทางของความสัมพันธข์ องตวั แปร หรือทศิ ทางของความแตกต่าง -
สภาพแวดล้อมทางกายภาพ มคี วามสัมพนั ธ์ กบั ประสิทธผิ ลในการทำงาน 9 6. ประโยชนข์
องสมมตฐิ าน 10 กจิ กรรมท่ี 1.1 คำชแ้ี จง ใหน้ ักเรยี นสังเกตภาพแล้วกำหนดประเดน็ ปัญหาหรือตง้ั คำถามและกำหนดแนวทางแก้ไขปญั หา ภาพละ 5 ทีม่ า : https://www.nationweekend.com/content/image_news/7042 ประเดน็ ปญั หา 1. แนวทางแกไ้ ข/พัฒนา 11 ทีม่ า: https://www.rakluke.com/school-zone ประเดน็ ปัญหา 1. แนวทางแกไ้ ข/พัฒนา 12 ที่มา : http://www.saohinlocal.go.th/webboard.php?qid=20191018142916HpjmmYQ ประเดน็ ปัญหา 1. แนวทางแกไ้ ข/พฒั นา 13 ที่มา : http://www.xn--e3ca6azave5c9bh0pubo.com/Article/Detail/70672 ประเด็นปญั หา 1. แนวทางแกไ้ ข/พฒั นา 14 กจิ กรรมที่ 1.2 คำช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นเลอื กประเด็นที่สนใจในชุมชน ท้องถิ่น และประเทศ ตั้งประเดน็ ปัญหา อย่างละ 5 ประเด็น และ ประเดน็ ใน ชุมชน ประเดน็ ปัญหา ประเดน็ ใน ท้องถิน่ ประเดน็ ปญั หา 15 กจิ กรรม มท่ี 1.3 16 กจิ กรรมท่ี 1.4 ทีม่ า : ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. 17 2. 18 3. 19 5. 20 กิจกรรมท่ี 1.5 ประเดน็ ปญั หา/วตั ถุประสงค์ของการคน้ คว้า คำชแ้ี จง ใหน้ กั เรียนแบ่งกลุ่ม กลมุ่ ละ 3-4 คน ระดมความคิดในเร่อื งที่สนใจ แลว้ ใหน้ ักเรียนระบปุ ัญหาทนี่ ักเรียนเลือกมา กลุ่มที่ สมาชกิ 1. เลขที่ ชั้น ประเดน็ ปญั หา วตั ถุประสงค์ของการศกึ ษาค้นคว้า 21 แนวทางในการศึกษา 22 กจิ กรรมท่ี 1.6 ประเด็นปัญหา/วตั ถุประสงค์/สมมติฐาน คำช้แี จง ให้นกั เรยี นแบง่ กลมุ่ กล่มุ ละ 3-4 คน (กลุ่มเดมิ ท่เี ลือกแล้ว) โดยใหน้ ักเรียนระบุปญํ หา วัตถุประสงค์ สมมตฐิ าน กล่มุ ที่ สมาชกิ 1. เลขท่ี ช้นั 2. เลขที่ ชั้น 3. เลขที่ ชั้น 4. เลขที่ ชั้น ประเด็นปัญหา (เร่ืองเดิมท่ีเลือก) วตั ถปุ ระสงค์ของการศกึ ษาค้นคว้า สมมติฐานของการศกึ ษาคน้ ควา้ 23 กิจกรรมท่ี 1.7 การวางแผนและการออกแบบการทำงาน คำชแ้ี จง ให้นักเรยี นแบ่งกลุม่ กลมุ่ ละ 3-4 คน (กลุ่มเดิมท่ีเลือกแล้ว) โดยใหน้ กั เรียนระดมความคิดในเรื่องที่นักเรียนศึกษา กลุ่มที่ สมาชิก 1. เลขท่ี ชน้ั 2. เลขท่ี ชนั้ 3. เลขที่ ชน้ั 4. เลขที่ ชน้ั 1.คำถามวจิ ยั 2.นกั เรยี นต้องการรู้อะไรบ้าง 3.จดุ ศกึ ษาหรือบรเิ วณท่ีจะศึกษา (สถานท)่ี 24 5.นักเรียนจะตอบคำถามวจิ ยั ได้อย่างไร 6.นักเรยี นจะต้องวัดอะไรบ้าง อย่างไร และตรวจวดั เมอ่ื ใด สิ่งทต่ี ้องการตรวจวัด วธิ กี ารตรวจวัด ช่วงเวลาในการตรวจวัด 1. 2. 3. 4. 5. 8.นักเรยี นจะใช้เวลานานเทา่ ไร 9.นักเรียนวิเคราะห์ข้อมูลโดยวธิ ใี ด 25 1.ช่ือเรอ่ื งหรือประเดน็ ปัญหา กจิ กรรมท่ี 1.8 3. ชอื่ ครทู ี่ปรึกษาการศกึ ษาค้นควา้ 6.วัตถปุ ระสงค์ของการศึกษา 26 7.สมมตฐิ าน 8.1 วสั ดุอุปกรณ์ 27 9.แผนการดำเนนิ งาน (กำหนดช่วงเวลาในการทำงาน) ขนั้ ตอนการดำเนนิ งาน วนั เดอื น ปี ผ้รู ับผดิ ชอบ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 11. 10.ประโยชน์ทจ่ี ะได้รับ 11. เอกสารอ้างอิง (หาข้อมูลมาจากท่ีไหนบ้าง) 28 ผลการพิจารณาของครทู ี่ปรึกษา ไม่อนมุ ัติเร่ืองหรือประเด็นปญั หา ข้อเสนอแนะ(สำหรบั ครทู ป่ี รึกษา) ลงชือ่ ...................................................ครทู ่ีปรกึ ษา 29 กลมุ่ ท่ี
สมาชิก 1. เลขที่ ช้ัน แบบบันทึกการศึกษาคน้ ควา้ ขอ้ มูล คำชแี้ จง ใหน้ กั เรียนบนั ทึกการสบื เสาะค้นคว้าข้อมลู ลงในแบบบนั ทกึ อยา่ งละเอียด คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี เรือ่ ง/ประเด็นที่ศกึ ษา ที่มาของข้อมูล 30 แบบบนั ทึกการศกึ ษาค้นคว้าข้อมูล คำชี้แจง ใหน้ กั เรยี นบันทึกการสืบเสาะค้นคว้าข้อมลู ลงในแบบบันทกึ อยา่ งละเอียด ครั้งท่ี วนั /เดือน/ปี เรอ่ื ง/ประเด็นทศี่ กึ ษา ท่มี าของข้อมูล 31 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 2. การฟัง เป็นทักษะสำคญั ในการศกึ ษาเลา่ เรียนของนกั เรยี นเเละนักศึกษา รวมทัง้ บุคคลทว่ั ไปท่ีสนใจหาความรู้จาก 32 3. การดู เป็นการศึกษาเรียนรู้อีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ผู้ดูมีความรู้ในเรื่องที่ชอบเเละสนใจซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ 4. การสอบถาม เปน็ การศกึ ษาเรยี นรู้ด้วยการสอบถามจากผ้รู ู้ เปน็ วธิ กี ารเรียนรทู้ ีช่ าญฉลาดเพราะการสอบถามจาก 5.
การลงมอื ปฏิบัติจริง เปน็ การศึกษาเพ่ือเรียนร้จู ากการลงมือปฏบิ ตั จิ รงิ เชน่ การปลกู พชื การเล้ียงสัตว์ การจัด 33 การคน้ หาข้อมูลใน Google Advance search เครื่องมือค้นหากันเสียเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็เชื่อต่อไปอีกว่าหลายท่านน่าจะทราบว่า Google นั้น เป็นมากกว่าเครื่องมือใน Google Search เป็นเครื่องมือที่ให้บริการค้นหาข้อมูลบนอินเทอ ร์เน็ต ( Search Engine) ของ ไม่เฉพาะแต่เพียงการค้นหาข้อมูลในรูปของเว็บไซต์เท่านั้น Google Search ยัง 1. เวบ็ ( Web) เป็นการคน้ หาข้อมลู ในรปู แบบของเว็บไซตต์ า่ ง ๆ ทั่วโลก โดยการ 34 2. รูปภาพ ( Images) เปน็ การค้นหาไฟลร์ ปู ภาพจากการแปลคำ Keyword 3. กลมุ่ ข่าว ( News
Groups) เปน็ การคน้ หาข่าวสารจากกลุ่มสมาชิกทใี่ ช้บรกิ าร Google News Groups เพอื่ รบั ส่ง 4. สารระบบเว็บ ( Web Directory) Google มีการจัดประเภทของเวบ็ ไซตอ์ อกเป็นหมวดหมู่ ซ่งึ ผูใ้ ชส้ ามารถค้นหา รปู แบบการค้นหาขอ้ มูลด้วย Google ทค่ี วรทราบ การค้นหาโดยท่วั ไปสว่ นใหญ่แลว้ จะใช้ Keyword เปน็
เคร่ืองมอื ในการนำทางการค้นหาอยา่ งเดียว แต่ถ้าผ้ใู ชร้ ู้จักใช้ 1. การเช่อื มคำด้วยการใช้เครือ่ งหมายบวก (+) การใช้เครื่องหมายบวก (+) เชื่อมคำ โดยปกติ Google จะไม่ใส่ใจในในการค้นหาข้อมูลจากการ ภาพตัวอย่างการใช้เง่ือนไข (+) 35 2. การตดั คำทไ่ี ม่ต้องการด้วยการใช้เคร่อื งหมายลบ ( - ) ตัดบางคำที่ไม่ต้องการค้นหาด้วยเครื่องหมายลบ ( - ) จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถตัดเรื่องที่ผู้ใช้ไม่ต้องการ หรือไม่ ภาพตวั อย่างการใช้เงื่อนไข (-) ใช้ “-” เพื่อช่วยตัดคำบางคำออกเพื่อลดความกำกวม เช่น Inception -Movie (หมายถึงจะเอา Result ท่ี 3. การค้นหากลุ่มคำ Keyword ดว้ ยการใชเ้ ครื่องหมายคำพูด ("...") การค้นหาด้วยเครื่องหมายคำพูด ("...") เหมาะสำหรับการค้นหาคำ Keyword ที่มีลักษณะเป็น ประโยควลีหรือ ภาพตวั อยา่ งการใช้เง่ือนไข ("...") 36 4. การค้นหาข้อมลู เพ่มิ มากขึ้น ด้วยการใชค้ ำวา่ OR เก่ียวกบั การลอ่ งแก่ง ทั้งในจังหวดั ตาก
และปราจีนบรุ ี ใหผ้ ู้ใช้พิมพ์ Keyword ว่า ลอ่ งแก่ง ตาก OR ปราจีนบุรี Google จะ ภาพตวั อยา่ งการใช้เง่ือนไข OR 5. ไม่ต้องใชค้ ำวา่ AND ในการแยกคำคน้ หา เหล่านั้น ปัจจุบันไม่ต้องใช้ AND แล้ว เพราะ Google จะทำการแยกคำให้โดยอัตโนมัติเมื่อผูใ้
ช้ทำการเว้นวรรคคำเหล่านั้น ภาพตัวอยา่ งการใชเ้ ง่ือนไข AND 37 6. คน้ หาภายในเวบ็ (Site Search) 7. หาเว็บทีม่ ีเน้ือหาใกล้เคียง (Related) 8.
ใช้จุดสองจุด “..” พ.ศ. 2500..2555 ค้นหารูปไดแ้ สนง่าย ความสามารถทผ่ี ู้ใชส้ ่วนใหญ่ชอบกนั นกั หนา และสรา้ งชือ่ ให้กับ Google กค็ ือการค้นหา 1. คลิกเมนลู งิ ค์ รูปภาพ จากนนั้ ก็พมิ พช์ ่อื ภาพท่ีตอ้ งการคน้ หา และคลกิ ปุ่มค้นหารปู ภาพ ดงั รปู 38 2. จะปรากฏรูปภาพทง้ั หมดที่ตอ้ งการดังรปู เทคนคิ พิเศษทีม่ ีใน Google Google คน้ หาไฟล์ได้ Google สามารถค้นหาไฟล์เอกสารทส่ี ำคัญๆ ได้ดังน้ี คอื Adobe Portable Document 39 1.รูปแบบของการค้นหาคือ ให้ผู้ใช้พิมพ์ "ชื่อเรื่องหรือชื่อเอกสาร" filetype: นามสกุลของไฟล์ ใน ภาพตวั อยา่ งการใช้ file type: 2. Google สามารถค้นหาเว็บท้งั หมดท่ีเช่อื มมายังเว็บนั้นได้ โดยพมิ พ์ link: ชื่อ URL ของเวบ็ ในชอ่ ง Search ภาพตวั อยา่ งการใช้เง่ือนไข link:www.plawan.com 3. Google สามารถหาคำเฉพาะเจาะจงในเวบ็ ไซต์นน้ั ๆ ได้ โดยพมิ พ์ คำท่ีค้นหา site: ชื่อ URL ของเว็บ ในชอ่ ง ภาพตวั อยา่ งการใช้เง่ือนไข site:www.kapook.com 40 4. ค้นหาแบบวัดดวงกนั บ้าง จะวัดดวงค้นหาเว็บไซต์ด้วย Google กนั สักครงั้ คงไม่เปน็ ไร เพราะถ้าดวงดีผ้ใู ชก้ จ็ ะ ภาพตวั อย่างการใช้ปุ่ม ดใี จจงั คน้ หาแลว้ เจอเลย ภาพตวั อย่างการใช้ book about ภาพตวั อยา่ งการใช้เง่ือนไข calculator 41 7. คน้ หาความหมายหรือนิยามของศพั ท์เฉพาะ(เปน็ ภาษาอังกฤษ) Google สามารถค้นหาศพั ทเ์ ฉพาะได้ดว้ ย ภาพตัวอยา่ งการใชเ้ ง่ือนไข define ภาพตวั อย่างการใช้เง่ือนไข pictures ภาพตวั อย่างการใช้เง่ือนไข movie: 42 10. ค้นเน้ือหาข้อมลู ในเว็บไซต์ทต่ี ้องการ ผู้ใชส้ ามารถค้นหาข้อมลู เฉพาะในเวบ็ ไซตท์ ่ตี ้องการได้ โดยการพมิ พ์ ชอ่ื ภาพตวั อย่างการใช้เงื่อนไขเวบ็ ไซตท์ ต่ี ้องการ เพ่ือความแมน่ ยำในการคน้ หาข้อมลู ผู้ใช้สามารถกำหนดเงอ่ื นไขในแบบท่ีละเอียดไดไ้ ม่ยาก เพราะ Google ได้เพิ่ม 43 หนา้ ตาของ Google Advance Search กจิ กรรมที่ 2.1 45 |