ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ “เรวะ” (令和;Reiwa) คือชื่อศักราชใหม่ของญี่ปุ่นที่จะมาต่อศักราชเฮเซ โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 0 นาฬิกาของวันที่ 1 พฤษภาคม 2019 พร้อมกับการขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระจักรพรรดิองค์ใหม่แห่งญี่ปุ่นทันทีหลังจากที่ศักราชเฮเซปิดฉากลงในคืนวันที่ 30 เมษายน วัฒนธรรมการใช้ชื่อศักราชของญี่ปุ่นมีภูมิหลังและความเปลี่ยนแปลงอย่างไร และ “เรวะ” มีความหมายอย่างไร พื้นที่ตรงนี้จะนำประเด็นเหล่านั้นมาขยายความ ญี่ปุ่นใช้ “ชื่อศักราช” หรือ “เก็งโง” (元号;gengō) ในชีวิตประจำวันควบคู่กับคริสต์ศักราชด้วยโดยขึ้นอยู่กับกาลเทศะและการเลือกใช้ขององค์กรแต่ละแห่ง ทว่าเอกสารทางการส่วนใหญ่ใช้ศักราชญี่ปุ่นในการระบุวันเดือนปีของการทำธุรกรรม และปัจจุบันมีเพียงญี่ปุ่นเท่านั้นที่ยึดถือขนบนี้ซึ่งเป็นการอิงสถาบันจักรพรรดิ ในอดีตประเทศที่เคยมีขนบเช่นเดียวกัน ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม และอันที่จริง ญี่ปุ่นรับการใช้มาจากจีน แต่ขณะนี้นอกจากญี่ปุ่นแล้ว อีกสามประเทศไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน ขนบนี้จึงหมดไปด้วย ในเชิงประวัติศาสตร์ การเรียก “เก็งโง” ว่า “รัชสมัย” บางครั้งอาจก่อให้เกิดความสับสนได้จึงควรพิจารณาบริบทให้ดี ที่เป็นเช่นนี้เพราะคำว่า “รัชสมัย” มักสื่อความถึงยุคที่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่งครองราชย์ตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่ในญี่ปุ่นสมัยก่อน บางครั้งในช่วงเวลาของจักรพรรดิองค์เดียวก็มี “เก็งโง” มากกว่าหนึ่งชื่อสืบเนื่องจากเหตุผลหลายอย่าง “เก็งโง” จึงมิได้หมายถึงรัชสมัย (ตั้งแต่ต้นจนจบ) เสมอไป และจำนวน “เก็งโก” ก็มีมากกว่าจำนวนจักรพรรดิญี่ปุ่น มาในระยะหลัง ๆ นี่เองที่ “เก็งโง” กับ “รัชสมัย” กลายเป็นสิ่งเดียวกันโดยเริ่มตั้งแต่สมัยเมจิมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจาก “ชื่อศักราช” วนเวียนอยู่ในชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่น เมื่อเกิดการเปลี่ยนชื่อ ประชาชนจึงให้ความสนใจอย่างยิ่งเพราะศักราชคือสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนเข้าสู่ยุคใหม่ ถือเป็น “เส้นแบ่ง” ชั่วคน เช่น ในการสนทนากันทั่วไป หากมีการถามถึงปีเกิดขึ้นมาเมื่อไร คนญี่ปุ่นมักยกชื่อศักราชขึ้นมาประกอบ เช่น “ผมเกิดสมัยโชวะ”, “โอ๊ะ คนนี้เป็นเด็กยุคเฮเซหรือ? เด็กจัง” และการคัดเลือกชื่อศักราชก็เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ระดับประเทศที่มีกฎหมายรองรับ มีกรรมการผู้เชี่ยวชาญคัดกรองอย่างเป็นกิจจะลักษณะ อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนไปดูในยุคแรก ๆ จะพบว่า การใช้ชื่อศักราชของญี่ปุ่นไม่ได้เป็นวัฒนธรรมที่หยั่งรากทันที มีช่วงว่างเว้นอยู่หลายสิบปี และเหตุผลของการเปลี่ยนชื่อศักราชเมื่อครั้งอดีตกับตอนนี้ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ญี่ปุ่นเริ่มใช้ศักราชของตัวเองครั้งแรกเมื่อปี 645 (พ.ศ. 1188) ชื่อที่ใช้คือ “ไทกะ” (大化;Taika) สาเหตุแห่งการเริ่มต้นคือ เกิดการปฏิรูปทางการเมือง
จักรพรรดิโคโตกุเป็นผู้ทรงริเริ่มใช้ ต่อมาในปี 654 ก็หยุดใช้เมื่อจักรพรรดิโคโตกุสวรรคตและทางวังหลวงก็มิได้กำหนดชื่อศักราชขึ้นใหม่แม้ยังคงมีผู้สืบทอดราชสมบัติต่อมาอีกก็ตาม ปัจจุบันมีบทบัญญัติที่ว่าเมื่อจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์จะต้องเปลี่ยนชื่อศักราช
แต่ก่อนหน้าสมัยเมจิ (1868-1912) ไม่มีข้อกำหนดตายตัวเช่นนั้น และสามารถเปลี่ยนได้ง่ายโดยขึ้นอยู่กับพระราชวินิจฉัยของจักรพรรดิหรือวิจารณญาณของโชกุน บางครั้งชื่อศักราชมีอายุแค่ไม่กี่เดือนด้วยซ้ำ ในช่วงเวลาของจักรพรรดิ 122 รัชสมัยจนถึงสมัยจักรพรรดิเมจิ ญี่ปุ่นมีชื่อศักราชถึง 244 ชื่อ
มากกว่าจำนวนจักรพรรดิถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ 1) ผลัดแผ่นดิน เมื่อจักรพรรดิองค์ปัจจุบันสวรรคตหรือสละราชสมบัติ และจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ส่วนใหญ่แล้วมักมีการเปลี่ยนชื่อศักราช แม้มีช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างจักรพรรดิบางองค์ที่ไม่เปลี่ยนชื่อศักราชด้วย แต่ก็น้อยมาก 2) โอกาสมงคล เมื่อเกิดเหตุการณ์น่ายินดี จะมีการเปลี่ยนชื่อศักราช ถือเป็นการต้อนรับความเป็นสิริมงคล ทว่าการเปลี่ยนด้วยเหตุผลนี้เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายเมื่อปี 877 3) ภัยพิบัติ เมื่อเกิดเหตุร้ายจากภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว พายุ หรือโรคระบาด จะมีการเปลี่ยนชื่อศักราชโดยถือว่าเป็นการปัดรังควานสิ่งเหล่านั้นออกไปและช่วยให้ผู้คนคลายความกังวล 4) แก้เคล็ดปีชง เมื่อคำนวณแล้วปีไหนตรงกับปีชงก็จะเปลี่ยนชื่อศักราชในปีนั้น ญี่ปุ่นอิงการนับ (โดยละเอียด) แบบจีน และถือว่าปีที่นำ 60 มาหารแล้วเหลือเศษ 1 หรือ 4 ถือว่าเป็นปีชง มีโอกาสที่จะเกิดการปฏิวัติได้ง่าย ทำให้การเมืองสั่นคลอน ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้เคล็ดจึงเปลี่ยนชื่อศักราชเสียใหม่ เมื่อลำดับศักราชในยุคใหม่ของญี่ปุ่นตั้งแต่เริ่มปรับประเทศให้ทันสมัย และเมื่อชื่อศักราชคือชื่อรัชสมัยโดยเกิดขึ้นเพราะการผลัดแผ่นดินเท่านั้น จะได้ดังนี้ 244) เมจิ (明治;Meiji)1868-1912การรู้แจ้ง/ตื่นรู้ บทกลอนอันเป็นที่มาคือ “บทกวีดอกบ๊วย” มีความหมายโดยสังเขปคือ “ณ เวลานั้น ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ในเดือนอัน น่ายินดี(ตามปฏิทินจันทรคติคือเดือนสอง) อากาศแจ่มใส ลมโชย ดอกบ๊วยบานงดงาม ดอกกล้วยไม้จรุงกลิ่นกำจร” 于時、初春令月、氣淑風和、梅披鏡前之粉、蘭薫珮後之香。 ส่วน和(วะ)แปลว่า ความสอดประสาน ความกลมกลืน ความสงบ หรือทำให้คลายลงอ่อนลง และแปลว่า “ญี่ปุ่น” ได้ด้วย เป็นตัวอักษรที่ใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ปรากฏเป็นครั้งที่ 19 ในชื่อศักราช (ตัวอักษรที่ใช้มากที่สุดคือ 永 (เอ) แปลว่า นิรันดร์ ใช้ 29 ครั้ง) เมื่อรวมกันเป็น 令和 ซึ่งเป็น 1 ใน 6 ชื่อสุดท้ายในการพิจารณาของกรรมการรวม 9 คน ตีความได้ว่า “ความสอดผสานอันปีติ” และหลังจากเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ชูป้ายประกาศชื่อออกนี้มาแล้ว นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นก็ออกมาขยายความโดยบอกว่า ชื่อนี้สื่อความว่า “ท่ามกลางการประสานใจกันอย่างงดงามของผู้คน วัฒนธรรมจะก่อกำเนิดและเติบโต” สมัยนี้การหลีกเลี่ยงคำอภิปรายหรือคำวิจารณ์จากมวลชนนั้นทำได้ยาก และคงแทบไม่มีกรณีใดในโลกที่จะไม่ก่อให้เกิดความเห็นที่แตกต่าง ในการประกาศชื่อศักราชใหม่ครั้งนี้ก็เช่นกัน เกิดทัศนะหลายกระแส บ้างก็ว่านึกไม่ถึงว่าจะใช้ตัวอักษร “เร”, เอ๊ะ สรุปว่านี่ฟังคล้าย ๆ กับเผด็จการรึเปล่า...เพราะอักษร “เร” แปลว่าคำสั่งนี่นา, บ้างก็ว่าชื่อพ้องกับชื่อคนบางคนซึ่งใช้ตัวอักษรสองตัวนี้เช่นกัน แต่อ่านว่า “โนริกาซุ” (令和;ตัวอักษรญี่ปุ่นมักอ่านได้มากกว่าหนึ่งเสียง), และตอนนี้เลยไปถึงขั้นกลายเป็นประเด็นการเมืองอ่อน ๆ ขึ้นมาเมื่อฝ่ายค้านจี้ถามรัฐบาลว่าทำไมกระบวนการคัดเลือกชื่อศักราชต้องปิดเป็นความลับถึงขนาดนั้น แต่ทว่าคงเป็นไปได้ยากที่จะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ หลังจากประกาศออกมาแล้ว และหากจะเลือกมองในแง่ดีก็แน่นอนว่าชื่อ “เรวะ” นี้ย่อมมีแง่นั้นให้มองอยู่เช่นกัน ********** ยุคสมัยของญี่ปุ่นมีอะไรบ้างเนื้อหา. 1 ยุคก่อนประวัติศาสตร์และญี่ปุ่นโบราณ 1.1 ยุคหินเก่า 1.2 ยุคโจมง ... . 2 ยุคญี่ปุ่นคลาสสิก 2.1 ยุคอาซูกะ 2.2 ยุคนาระ (ค.ศ. ... . 3 ยุคศักดินา 3.1 ยุคคามากูระ (ค.ศ. 1185–1333). 4 ยุคมูโรมาจิ 4.1 การค้านัมบัง ... . 5 ยุคญี่ปุ่นใหม่ตอนต้น 5.1 ยุคเอโดะ (ค.ศ. ... . 6 ยุคใหม่ 6.1 ยุคเมจิ ... . 7 อ้างอิง 7.1 รายการอ้างอิง. 8 หนังสืออ่านเพิ่ม. ปีเรวะที่ 1 คือปีค.ศ.ใด(8 มกราคม ค.ศ. 1989 – 30 เมษายน ค.ศ. 2019) เรวะ
รัชสมัยปัจุบันของญี่ปุ่นคือ สมัยอะไรรัชสมัยของ สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ พระจักรพรรดิองค์ปัจจุบันของญี่ปุ่นมีชื่อว่า "เฮเซ" ซึ่งมีความหมายว่า "สงบสุขทุกสารทิศ" รัชสมัยของพระองค์เริ่มต้นเมื่อปี 1989 นั่นหมายความว่าในปี 2019 จะเรียกชื่อยุคกันว่า "เฮเซ 31" การเลือกชื่อดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความปรารณนาที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีทั้งในประเทศและระหว่าง ...
|