ราชาลิจฉวี ไป่มีสักองค์ แปล

E-BOOK

เรื่อง สามัคคีเภทคำฉันท์

จัดทำโดย

นางสาวกฤติยาภรณ์ ขวัญเต่า เลขที่ ๑๓

นางสาวกัณฐมณี ตันมณี เลขที่ ๑๔

นางสาวปัญญารัตน์ ชัยศรีสมุทร เลขที่ ๒๔

นางสาวอรุณกมล รัตนวรรณ์ เลขที่ ๓๗

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ห้อง ๓

เสนอ

ครูณัฐยา อาจมังกร

รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทย ท๓๓๑๐๑

ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕

โรงเรียนมัธยมวัดหนองแขม

คำนำ
E-bookเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖
เพื่อให้ได้ศึกษาความรู้ใน เรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ เพื่อได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็น
ประโยชน์กับการเรียน
ผู้จัดทำหวังว่า E-bookเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่อ่าน หรือนักเรียน ที่กำลังหา
ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับ
ข้อผิดพลาดทุกประการและขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ผู้จัดทำ
๒๑ พ.ค. ๒๕๖๕

เรื่อง สารบัญ ก
หน้า ข
คำนำ

สารบัญ

ผู้แต่ง ๑-๒
จุดประสงค์ ๒-๓
ที่มา ๔
ลักษณะคำประพันธ์ ๖-๓๖
เรื่องย่อก่อนบทเรียน ๓๗-๔๐
ถอดคำประพันธ์ ๔๑-๔๔
คำศัพท์ยาก ๔๕-๔๗
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๔๘-๔๙
คุณค่าด้านสังคมและวัฒนธรรม
บรรณานุกรม

เรื่อง สามัคคีเภทคำฉันท์
ผู้แต่ง : ชิต บุรทัต ได้แต่งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2457 ในสมัยรัชกาลที่ 6
นายชิต เข้าศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนวัดราชบพิธ และเข้าศึกษาจนจบชั้นมัธยมบริบูรณ์
ที่โรงเรียนวัดสุทัศน์ เมื่ออายุได้ 15 ปี บิดาจึงให้บวชเป็นสามเณร
ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ในเวลานั้นทรงเป็นอุปัชฌาจารย์ บวชได้ไม่นานก็ลาสิกขา
นายชิตมีความสนใจการอ่านเขียน และมีความเชี่ยวชาญในภาษาไทย มีความรู้ภาษาบาลี

และยังฝึกฝนภาษาอังกฤษอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ และเริ่มการประพันธ์เมื่ออายุได้ 18 ปี นายชิต

กลับมาบวชสามเณรอีกครั้ง ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ในฐานะเป็นศิษย์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า

กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้เขียนงานประพันธ์ครั้งแรก โดยใช้นามปากกา "เจ้าเงาะ,

เอกชน, แมวคราว" จนเป็นที่รู้จักกันดีในเวลานั้น

จุดประสงค์ในการแต่ง : เพื่อมุ่งชี้ความสำคัญของการรวมเป็นหมู่คณะ เป็นน้ำหนึ่งใจ
เดียวกันเพื่อป้องกันรักษาบ้านเมืองให้มีความเป็นปึกแผ่น เพื่อแสดงความสามารถในเชิงกวี

ให้เป็นที่ปรากฏ เป็นพิทยาภรณ์ประดับบ้านเมือง และภายหลังได้รับการยกย่องเป็นตำรา

เรียนวรรณกรรมไทยที่สำคัญเล่มหนึ่งทั้งในอดีตและปัจจุบัน

ที่มาของเรื่อง : ในสมัยรัชกาลที่ ๖ เกิดวิกฤตการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น เกิด

สงครามโลกครั้งที่ ๑ เกิดกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของบ้านเมือง นาย

ชิต บุรทัต จึงได้แต่งเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ เพื่อมุ่งชี้ความสำคัญ

ของการรวมกันเป็นหมู่คณะ เรื่องสามัคคีเภท เป็นนิทานสุภาษิต

ในมหาปรินิพพานสูตร และอรรถกถาสุมังคลวิลาสินี ทีฆนิกายมหาวรรค ลงพิมพ์ในหนังสือ

ธรรมจักษุ ของมหามกุฎราชวิทยาลัย โดยเรียบเรียงเป็นภาษาบาลี

ลักษณะคำประพันธ์ : แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทฉันท์ ๑๙ ชนิด กาพย์ ๑ ชนิด คือ
๑. สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙ เป็นฉันท์ที่มีลีลาการอ่านสง่างาม เคร่งขรึม มีอำนาจดุจเสือ

ผยอง ใช้แต่งสำหรับบทไหว้ครู บทสดุดี ยอพระเกียรติ
๒. วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ เป็นฉันท์ที่มีลีลาไพเราะ งดงาม เยือกเย็นดุจเม็ดฝน ใช้สำหรับ

บรรยายหรือพรรณนาชื่นชมสิ่งที่สวยงาม
๓. อุปชาติฉันท์ ๑๑ นิยมแต่งสำหรับบทเจรจาหรือบรรยายความเรียบๆ
๔. อีทิสังฉันท์ ๒๑ เป็นฉันท์ที่มีจังหวะกระแทกกระทั้น เกรี้ยวกราด โกรธแค้น และ

อารมณ์รุนแรง เช่น รักมาก โกรธมาก ตื่นเต้น คึกคะนอง หรือพรรณนาความสับสน
๕. อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ เป็นฉันท์ที่มีลีลาสวยงามดุจสายฟ้าพระอินทร์ มีลีลาอ่อนหวาน

ใช้บรรยายความหรือพรรณนาเพื่อโน้มน้าวใจให้อ่อนโยน เมตตาสงสาร เอ็นดู ให้อารมณ์

เหงาและเศร้า
๖. วิชชุมมาลาฉันท์ ๘ หมายถึง ระเบียบแห่งสายฟ้า เป็นฉันท์ที่ใช้ในการบรรยายความ
๗. อินทรวงศ์ฉันท์ ๑๒ เป็นฉันท์ที่มีลีลาตอนท้ายไม่ราบเรียบคล้ายกลบทสะบัดสะบิ้ง ใช้

ในการบรรยายความหรือพรรณนาความ
๘. วังสัฏฐฉันท์ ๑๒ เป็นฉันท์ที่มีสำเนียงอันไพเราะเหมือนเสียงปี่
๙. มาลินีฉันท์ ๑๕ เป็นฉันท์ที่ใช้ในการแต่งกลบทหรือบรรยายความที่เคร่งขรึม เป็นสง่า

๑๐. ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒ เป็นฉันท์ที่มีลีลางามสง่าดุจงูเลื้อย นิยมใช้แต่งบทที่ดำเนินเรื่อง

อย่างรวดเร็วและคึกคัก
๑๑. มาณวกฉันท์ ๘ เป็นฉันท์ที่มีลีลาผาดโผน สนุกสนาน ร่าเริง และตื่นเต้นดุจชายหนุ่ม
๑๒. อุเปนทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ เป็นฉันท์ที่มีความไพเราะใช้ในการบรรยายบทเรียบๆ
๑๓. สัทธราฉันท์ ๒๑มีความหมายว่า ฉันท์ยังความเลื่อมใสให้เกิดแก่ผู้ฟังจึงเหมาะเป็นฉันท์

ที่ใช้สำหรับแต่งคำนมัสการ อธิษฐาน ยอพระเกียรติ หรืออัญเชิญเทวดา ใช้แต่งบทสั้นๆ
๑๔. สาลินีฉันท์ ๑๑ เป็นบทที่มีคำครุมาก ใช้บรรยายบทที่เป็นเนื้อหาสาระเรียบๆ
๑๕. อุปัฏฐิตาฉันท์ ๑๑ เป็นฉันท์ที่เหมาะสำหรับใช้บรรยายบทเรียบๆ แต่ไม่ใคร่มีคนนิยม

แต่งมากนัก
๑๖. โตฏกฉันท์ ๑๒ เป็นฉันท์ที่มีลีลาสะบัดสะบิ้งเหมือนประตักแทงโค ใช้แต่งกับบทที่

แสดงความโกรธเคือง ร้อนรน หรือสนุกสนาน คึกคะนอง ตื่นเต้น และเร้าใจ
๑๗. กมลฉันท์ ๑๒ หมายถึง ฉันที่มีความไพเราะเหมือนดังดอกบัว ใช้กับบทที่มีความตื่น

เต้นเล็กน้อยและใช้บรรยายเรื่อง
๑๘. จิตรปทาฉันท์ ๘ เป็นฉันท์ที่เหมาะสำหรับบทที่น่ากลัว เอะอะ เกรี้ยวกราด ตื่นเต้น

ตกใจและกลัว
๑๙. สุรางคนางค์ฉันท์ ๒๘ มีลักษณะการแต่งคล้ายกาพย์สุรางคนางค์๒๘ แต่ต่างกันที่มีข้อ

บังคับ ครุ ลหุ เพิ่มขึ้นมา ทำให้เกิดความไพเราะมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับข้อความที่คึกคัก

สนุกสนาน โลดโผน ตื่นเต้น

๒๐. กาพย์ฉบัง ๑๖ เป็นกาพย์ที่มีลีลาสง่างาม ใช้สำหรับบรรยายความงามหรือดำเนินเรื่อง

อย่างรวดเร็ว
แผนผังฉันทลักษณ์ของ วิชชุมมาลาฉันท์ ๘

แผนผังฉันทลักษณ์ของ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑

เรื่องย่อก่อนบทเรียน : สามัคคีเภทคำฉันท์ดำเนินเรื่องโดยอิงประวัติศาสตร์ครั้งพุทธกาล ว่า

ด้วยการใช้เล่ห์อุบายทำลายความสามัคคีของเหล่ากษัตริย์ลิจฉวี กรุงเวสาลี แห่งแคว้นวัชชี

เนื้อความนี้มีปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร แห่งพระไตรปิฎก และอรรถกถาสุมังคลวิสาสินี

โดยเล่าถึงกษัตริย์ในสมัยโบราณ ทรงพระนามว่า พระเจ้าอชาตศัตรู แห่งแคว้นมคธ ทรงมี

อำมาตย์คนสนิทชื่อ วัสสการพราหมณ์ ทรงมีดำริจะปราบแคว้นวัชชี ซึ่งมีกษัตริย์ลิจฉวีครอบ

ครอง แต่แคว้นวัชชีมีความเป็นปึกแผ่นและปกครองกันด้วยความสามัคคี พระเจ้าอชาตศัตรู

ปรึกษากับวัสสการพราหมณ์เพื่อหาอุบายทำลายความ สามัคคีของเหล่ากษัตริย์ลิจฉวี โดยการ

เนรเทศวัสสการพราหมณ์ออกจากแคว้นมคธ เดินทางไปยังเมืองเวสาลี แล้วทำอุบายจนได้เข้า

เฝ้ากษัตริย์ลิจฉวี และในที่สุดได้เป็นครูสอนศิลปวิทยาแก่ราชกุมารทั้งหลาย

ถอดคำประพันธ์ : ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒

ทิชงค์ชาติฉลาดยล คะเนกลคะนึงการ

กษัตริย์ลิจฉวีวาร ระวังเหือดระแวงหาย

เหมาะแก่การณ์จะเสกสรร ปวัตน์วัญจโนบาย

มล้างเหตุพิเฉทสาย สมัครสนธิ์สโมสร

ณวันหนึ่งลุถึงกา ลศึกษาพิชากร

กุมารลิจฉวีวร เสด็จพร้อมประชุมกัน

ตระบัดวัสสการมา สถานราชเรียนพลัน

ธแกล้งเชิญกุมารฉัน สนิทหนึ่งพระองค์ไป

ลุห้องหับรโหฐาน ก็ถามการณ์ ณ ทันใด

มิลี้ลับอะไรใน กถาเช่นธปุจฉา

จะถูกผิดกระไรอยู่ มนุษย์ผู้กระทำนา

และคู่โคก็จูงมา ประเทียบไถมิใช่หรือ

กุมารลิจฉวีขัตติย์ ก็รับอรรถอออือ

กสิกเขากระทำคือ ประดุจคำพระอาจารย์

ก็เท่านั้นธเชิญให้ นิวัตในมิช้านาน

ประสิทธิ์ศิลป์ประศาสน์สาร สมัยเลิกลุเวลา

อุรสลิจฉวีสรร พชวนกันเสด็จมา

และต่างซักกุมารรา ชองค์นั้นจะเอาความ

พระอาจารย์สิเรียกไป ณข้างในธไต่ถาม

อะไรเธอเสนอตาม วจีสัตย์กะส่ำเรา

กุมารนั้นสนองสา รวากย์วาทตามเลา

เฉลยพจน์กะครูเสา วภาพโดยคดีมา

กุมารอื่นก็สงสัย มิเชื่อในพระวาจา

สหายราชธพรรณนา และต่างองค์ก็พาที

ไฉนเลยพระครูเรา จะพูดเปล่าประโยชน์มี

เลอะเหลวนักละล้วนนี รผลเห็นบเป็นไป

เถอะถึงถ้าจะจริงแม้ ธพูดแท้ก็ทำไม

แนะชวนเข้าณข้างใน จะถามนอกบยากเย็น

ชะรอยว่าทิชาจารย์ ธคิดอ่านกะท่านเป็น

รหัสเหตุประเภทเห็น ละแน่ชัดถนัดความ

และท่านมามุสาวาท มิกล้าอาจจะบอกตา

พจีจริงพยายาม ไถลแสร้งแถลงสาร

กุมารราชมิตรผอง ก็สอดคล้องและแคลงดาล

พิโรธกาจวิวาทการณ์ อุบัติขึ้นเพราะขุ่นเคือง
พิพิธพันธไมตรี ประดามีนิรันดร์เนือง

กะองค์นั้นก็พลันเปลือง มลายปลาตพินาศปลงฯ

ถอดความ : พราหมณ์ผู้ฉลาดคาดคะเนว่ากษัตริย์ลิจฉวีวางใจคลายความหวาดระแวง เป็น

โอกาสเหมาะที่จะเริ่มดำเนินการตามกลอุบายทำลายความสามัคคี วันหนึ่งเมื่อถึงโอกาสที่
จะสอนวิชา กุมารลิจฉวีก็เสด็จมาโดยพร้อมเพรียงกัน ทันใดวัสสการพราหมณ์ก็มาถึงและ

แกล้งเชิญพระกุมารพระองค์ที่สนิทสนมเข้าไปพบในห้องส่วนตัว แล้วก็ทูลถามเรื่องที่ไม่ใช่

ความลับแต่ประการใด ดังเช่นถามว่า ชาวนาจูงโคมาคู่หนึ่งเพื่อเทียมไถใช่หรือไม่ พระกุมาร

ลิจฉวีก็รับสั่งเห็นด้วยว่าชาวนาก็คงจะกระทำดังคำของพระอาจารย์ ถามเพียงเท่านั้น

พราหมณ์ก็เชิญให้เสด็จกลับออกไป ครั้นถึงเวลาเลิกเรียนเหล่าโอรสลิจฉวีก็พากันมาซักไซ้

พระกุมารว่าพระอาจารย์เรียกเข้าไปข้างใน ได้ไต่ถามอะไรบ้าง ขอให้บอกมาตามความ
จริง พระกุมารพระองค์นั้นก็เล่าเรื่องราวที่พระอาจารย์เรียกไปถาม แต่เหล่ากุมารสงสัยไม่

เชื่อคำพูดของพระสหาย ต่างองค์ก็วิจารณ์ว่าพระอาจารย์จะพูดเรื่องเหลวไหลไร้สาระเช่นนี้

เป็นไปไม่ได้ และหากว่าจะพูดจริงเหตุใดจะต้องเรียกเข้าไปถามข้างในห้อง ถามข้างนอก
ห้องก็ได้ สงสัยว่าท่านอาจารย์กับพระกุมารต้องมีความลับอย่างแน่นอน แล้วก็มาพูด
โกหก ไม่กล้าบอกตามความเป็นจริง แกล้งพูดไปต่าง ๆ นานา กุมารลิจฉวีทั้งหลายเห็น

สอดคล้องกันก็เกิดความโกรธเคือง การทะเลาะวิวาทก็เกิดขึ้นเพราะความขุ่นเคืองใจ
ความสัมพันธ์อันดีที่เคยมีมาตลอดก็ถูกทำลายย่อยยับลง

ถอดคำประพันธ์ : มาณวกฉันท์ ๘

ล่วงลุประมาณ กาลอนุกรม

หนึ่งณนิยม ท่านทวิชงค์

เมื่อจะประสิทธิ์ วิทยะยง

เชิญวรองค์ เอกกุมาร

เธอจรตาม พราหมณไป

โดยเฉพาะใน ห้องรหุฐาน

จึ่งพฤฒิถาม ความพิสดา

ขอธประทาน โทษะและไข

อย่าติและหลู่ ครูจะเฉลย

เธอน่ะเสวย ภัตกะอะไร

ในทินนี่ ดีฤไฉน

พอหฤทัย ยิ่งละกระมัง

ราช ธ ก็เล่า เค้าณประโยค

ตนบริโภค แล้วขณะหลัง

วาทะประเทือง เรื่องสิประทัง

อาคมยัง สิกขสภา

๑๐

เสร็จอนุศาสน์ ราชอุรส

ลิจฉวิหมด ต่างธก็มา

ถามนยมาน ท่านพฤฒิอา

จารยปรา รภกระไร

เธอก็แถลง แจ้งระบุมวล

ความเฉพาะล้วน จริงหฤทัย

ต่างบมิเชื่อ เมื่อตริไฉน

จึ่งผลใน เหตุบมิสม

ขุ่นมนเคือง เรื่องนฤสาร

เช่นกะกุมาร ก่อนก็ระ

เลิกสละแยก แตกคณะกล

เกลียวบนิยม คบดุจเดิม

ถอดความ : เวลาผ่านไปตามลำดับเมื่อถึงคราวที่จะสอนวิชาก็จะเชิญพระกุมารพระองค์หนึ่ง
พระกุมารก็ตามพราหมณ์เข้าไปในห้องเฉพาะ พราหมณ์จึงถามเนื้อความแปลกๆ ว่าขออภัย

ช่วยตอบด้วย อย่าหาว่าตำหนิหรือลบหลู่ ครูขอถามว่าวันนี้พระกุมารเสวยพระกระยาหาร

อะไร รสชาติดีหรือไม่ พอพระทัยมากหรือไม่ พระกุมารก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระกระยาหารที่

เสวย หลังจากนั้นก็สนทนาเรื่องทั่วไป แล้วก็เสด็จกลับออกมายังห้องเรียน เมื่อเสร็จสิ้น

การสอนราชกุมารลิจฉวีทั้งหมดก็มาถามเรื่องราวที่มีมาว่าท่านอาจารย์ได้พูดเรื่องอะไรบ้าง

๑๑

พระกุมารก็ตอบตามความจริง แต่เหล่ากุมารต่างไม่เชื่อ เพราะคิดแล้วไม่สมเหตุสมผล ต่าง

ขุ่นเคืองใจด้วยเรื่องไร้สาระเช่นเดียวกับพระกุมารพระองค์ก่อน และเกิดความแตกแยกไม่

คบกันอย่างกลมเกลียวเหมือนเดิม

๑๒

ถอดคำประพันธ์ : อุเปนทรวิเชียรฉันท์ ๑๑

ทิชงค์เจาะจงเจตน์ กลห์เหตุยุยงเสริม

กระหน่ำและซ้ำเติม นฤพัทธก่อการณ์

ละครั้งระหว่างครา ทินวารนานนาน

เหมาะท่าทิชาจารย์ ธก็เชิญเสด็จไป

บห่อนจะมีสา รฤหาประโยชน์ไร

กระนั้นเสมอนัย เสาะแสดงธแสร้งถาม

และบ้างก็พูดว่า น่ะแน่ะข้าสดับตาม

ยุบลระบิลความ พจแจ้งกระจายมา

ละเมิดติเตียนท่าน ก็เพราะท่านสิแสนสา

รพัดทลิทภา วและสุดจะขัดสน

จะแน่มิแน่เหลือ พิเคราะห์เชื่อเพราะยากยล

ณที่บมีคน ธก็ควรขยายความ

และบ้างก็กล่าวว่า น่ะแน่ะข้าจะขอถาม

เพราะทราบคดีตาม วจลือระบือมา

ติฉินเยาะหมิ่นท่าน ก็เพราะท่านสิแสนสา

รพันพิกลกา ยพิลึกประหลาดเป็น

๑๓

จะจริงมิจริงเหลือ มนเชื่อเพราะไป่เห็น

ผิข้อบลำเค็ญ ธก็ควรขยายความ

กุมารองค์เสา วนเค้าคดีตาม

กระทู้พระครูถาม นยสุดจะสงสัย

ก็คำมิควรการณ์ คุรุท่านจะถามไย

ธซักเสาะสืบใคร ระบุแจ้งกะอาจารย์

ทวิชแถลงว่า พระกุมารโน้นขาน

ยุบลกะตูกาล เฉพาะอยู่กะกันสอง

กุมารพระองค์นั้น ธมิทันจะไตร่ตรอง

ก็เชื่อณคำของ พฤฒิครูและวู่วาม

พิโรธกุมารองค์ เหมาะเจาะจงพยายาม

ยุครูเพราะเอาความ บมิดีประเดตน

ก็พ้อและต่อพิษ ทุรทิฐิมานจน

ลุโทสะสืบสน ธิพิพาทเสมอมา

และฝ่ายกุมารผู้ ทิชครูมิเรียกหา

ก็แหนงประดารา ชกุมารทิชงค์เชิญ

พระราชบุตรลิจ ฉวิมิตรจิตเมิน

๑๔

ณกันและกันเหิน คณะห่างก็ต่างถือ
ทะนงชนกตน พลล้นเถลิงลือ
มนฮึกบนึกขาม
ก็หาญกระเหิมฮือ

ถอดความ : พราหมณ์เจตนาหาเหตุยุแหย่ซ้ำเติมอยู่เสมอ ๆ แต่ละครั้ง แต่ละวัน นานนาน

ครั้ง เห็นโอกาสเหมาะก็จะเชิญพระกุมารเสด็จไป ไม่มีสารประโยชน์อันใด แล้วก็แกล้ง

ทูลถาม บางครั้งก็พูดว่า นี่แน่ะข้าพระองค์ได้ยินข่าวเล่าลือกันทั่วไป เขานินทาพระกุมารว่า

พระองค์แสนจะยากจนและขัดสน จะเป็นเช่นนั้นแน่หรือ พิเคราะห์แล้วไม่น่าเชื่อ ณ ที่

นี้ไม่มีผู้ใด ขอให้ทรงเล่ามาเถิด บางครั้งก็พูดว่าข้าพระองค์ขอทูลถามพระกุมาร เพราะ

ได้ยินเขาเล่าลือกันทั่วไปเยาะเย้ยดูหมิ่นท่าน ว่าท่านนี้มีร่างกายผิดประหลาดต่าง ๆ นานา

จะเป็นจริงหรือไม่ ใจไม่อยากเชื่อเลยเพราะไม่เห็น ถ้าหากมีสิ่งใดที่ลำบากยากแค้นก็ตรัส

มาเถิด พระกุมารได้ทรงฟังเรื่องที่พระอาจารย์ถามก็ตรัสถามกลับว่า สงสัยเหลือเกิน

เรื่องไม่สมควรเช่นนี้ท่านอาจารย์จะถามทำไม แล้วก็ซักไซ้ว่าใครเป็นผู้มาบอกกับอาจารย์

พราหมณ์ก็ตอบว่าพระกุมารพระองค์โน้นตรัสบอกเมื่ออยู่กันเพียงสองต่อสอง กุมารพระองค์

นั้นไม่ทันได้ไตร่ตรอง ก็ทรงเชื่อในคำพูดของอาจารย์ ด้วยความวู่วามก็กริ้ว
พระกุมารที่ยุพระอาจารย์ใส่ความตน จึงตัดพ้อต่อว่ากันขึ้น เกิดความโกรธเคืองทะเลาะ

วิวาทกันอยู่เสมอฝ่ายพระกุมารที่พราหมณ์ไม่เคยเรียกเข้าไปหาก็ไม่พอพระทัยพระกุมารที่

พราหมณ์เชิญไปพบ พระกุมารลิจฉวีหมางใจและเหินห่างกัน ต่างองค์ทะนงว่าพระบิดาของ
ตนมีอำนาจล้นเหลือ จึงมีใจกำเริบไม่เกรงกลัวกัน

๑๕

ถอดคำประพันธ์ : สัทธราฉันท์ ๒๑

ลำดับนั้นวัสสการพราหมณ์ ธก็ยุศิษยตาม

แต่งอุบายงาม ฉงนงำ

ปวงโอรสลิจฉวีดำ ริณวิรุธก็สำ

คัญประดุจคำ ธเสกสรร

ไป่เหลือเลยสักพระองค์อัน มิละปิยะสหฉันท์

ขาดสมัครพันธ์ ก็อาดูร

ต่างองค์นำความมิงามทูล พระชนกอดิศูร

แห่งธโดยมูล ปวัตติ์ความ

แตกร้าวก้าวร้ายก็ป้ายปาม ลุวรบิดรลาม

ทีละน้อยตาม ณเหตุผล

ฟั่นเฝือเชื่อนัยดนัยตน นฤวิเคราะหเสาะสน

สืบจะหมองมล เพราะหมายใด

แท้ท่านวัสสการใน กษณะตริเหมาะไฉน

เสริมเสมอไป สะดวกดาย

หลายอย่างต่างกลธขวนขวาย พจนยุปริยาย

วัญจโนบาย บเว้นครา

๑๖

ครั้นล่วงสามปีประมาณมา สหกรณประดา

ลิจฉวีรา ชทั้งหลาย

สามัคคีธรรมทำลาย มิตรภิทนะกระจาย

สรรพเสื่อมหายน์ ก็เป็นไป

ต่างองค์ทรงแคลงระแวงใน พระราชหฤทยวิสัย

ผู้พิโรธใจ ระวังกันฯ

ถอดความ : ในขณะนั้นวัสสการพราหมณ์ก็คอยยุลูกศิษย์ แต่งกลอุบายให้เกิด
ความแคลงใจ พระโอรสกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายไตร่ตรองในอาการน่าสงสัยก็เข้าใจว่าเป็น

จริงดังถ้อยคำที่อาจารย์ปั้นเรื่องขึ้น ไม่มีเหลือเลยสักพระองค์เดียวที่จะมีความรักใคร่
กลมเกลียว ต่างขาดความสัมพันธ์ เกิดความเดือดร้อนใจ แต่ละองค์นำเรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้น

ไปทูลพระบิดาของตน ความแตกแยกก็ค่อย ๆ ลุกลามไปสู่พระบิดา เนื่องจากความหลง
เชื่อโอรสของตน ปราศจากการใคร่ครวญเกิดความผิดพ้องหมองใจกันขึ้น
ฝ่ายวัสสการพราหมณ์ครั้นเห็นโอกาสเหมาะสมก็คอยยุแหย่อย่างง่ายดาย ทำกลอุบายต่างๆ

พูดยุยงตามกลอุบายตลอดเวลา เวลาผ่านไปประมาณ ๓ ปี ความร่วมมือกันระหว่าง

กษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายและความสามัคคีถูกทำลายลงสิ้น ความเป็นมิตรแตกแยก
ความเสื่อม ความหายนะก็บังเกิดขึ้น กษัตริย์ต่างองค์ระแวงแคลงใจ มีความขุ่นเคืองใจ
ซึ่งกันและกัน

๑๗

ถอดคำประพันธ์ : สาลินีฉันท์ ๑๑

พราหมณ์ครูรู้สังเกต ตระหนักเหตุถนัดครัน

ราชาวัชชีสรร พจักสู่พินาศสม

ยินดีบัดนี้กิจ จะสัมฤทธิ์มนารมณ์

เริ่มมาด้วยปรากรม และอุตสาหแห่งตน

ให้ลองตีกลองนัด ประชุมขัตติย์มณฑล

เชิญซึ่งส่ำสากล กษัตริย์สู่สภาคาร

วัชชีภูมีผอง สดับกลองกระหึมขาน

ทุกไท้ไป่เอาภาร ณกิจเพื่อเสด็จไป

ต่างทรงรับสั่งว่า จะเรียกหาประชุมไย

เราใช่เป็นใหญ่ใจ ก็ขลาดกลัวบกล้าหาญ

ท่านใดที่เป็นใหญ่ และกล้าใครมิเปรียบปาน

พอใจใคร่ในการ ประชุมชอบก็เชิญเขา

ปรึกษาหารือกัน ไฉนนั้นก็ทำเนา

จักเรียกประชุมเรา บแลเห็นประโยชน์เลย

รับสั่งผลักไสส่ง และทุกองค์ธเพิกเฉย

ไป่ได้ไปดั่งเคย สมัครเข้าสมาคมฯ

๑๘

ถอดความ : พราหมณ์ผู้เป็นครูสังเกตเห็นดังนั้น ก็รู้ว่าเหล่ากษัตริย์ลิจฉวีกำลังจะประสบ

ความพินาศ จึงยินดีมากที่ภารกิจประสบผลสำเร็จสมดังใจ หลังจากเริ่มต้นด้วย
ความบากบั่นและความอดทนของตน จึงให้ลองตีกลองนัดประชุมกษัตริย์ฉวี เชิญทุก

พระองค์เสด็จมายังที่ประชุม ฝ่ายกษัตริย์วัชชีทั้งหลายทรงสดับเสียงกลองดังกึกก้อง ทุก

พระองค์ไม่ทรงเป็นธุระในการเสด็จไป ต่างองค์รับสั่งว่าจะเรียกประชุมด้วยเหตุใด เราไม่

ได้เป็นใหญ่ ใจก็ขลาด ไม่กล้าหาญ ผู้ใดเป็นใหญ่ มีความกล้าหาญไม่มีผู้ใดเปรียบได้

พอใจจะเสด็จไปร่วมประชุมก็เชิญเขาเถิด จะปรึกษาหารือกันประการใดก็ช่างเถิด จะ

เรียกเราไปประชุมมองไม่เห็นประโยชน์ประการใดเลย รับสั่งให้พ้นตัวไป และทุก

พระองค์ก็ทรงเพิกเฉยไม่เสด็จไปเข้าร่วมการประชุมเหมือนเคย

๑๙

ถอดคำประพันธ์ : อุปัฎฐิตาฉันท์ ๑๑

เห็นเชิงพิเคราะห์ช่อง ชนะคล่องประสบสม

พราหมณ์เวทอุดม ธก็ลอบแถลงการณ์

ให้วัลลภชน คมดลประเทศฐาน

กราบทูลนฤบาล ภิเผ้ามคธไกร

แจ้งลักษณสา สนว่ากษัตริย์ใน

วัชชีบุรไกร วลหล้าตลอดกัน

บัดนี้สิก็แตก คณะแผกและแยกพรรค์

ไป่เป็นสหฉัน ทเสมือนเสมอมา

โอกาสเหมาะสมัย ขณะไหนประหนึ่งครา

นี้หากผิจะหา ก็บได้สะดวกดี

ขอเชิญวรบาท พยุห์ยาตรเสด็จกรี

ธาทัพพลพี ริยยุทธโดยไวฯ

ถอดความ : เมื่อพิจารณาเห็นช่องทางที่จะได้ชัยชนะอย่างง่ายดาย พราหมณ์ผู้รอบรู้
พระเวทก็ลอบส่งข่าว ให้คนสนิทเดินทางกลับไปยังบ้านเมือง กราบทูลกษัตริย์แห่ง
แคว้นมคธอันยิ่งใหญ่ ในสาสน์แจ้งว่ากษัตริย์วัชชีทุกพระองค์ขณะนี้เกิดความแตกแยก

๒๐

แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่สามัคคีกันเหมือนแต่เดิม จะหาโอกาสอันเหมาะสมครั้งใดเหมือนดัง

ครั้งนี้คงจะไม่มีอีกแล้ว ขอทูลเชิญพระองค์ยกกองทัพอันยิ่งใหญ่มาทำสงครามโดยเร็วเถิด

๒๑

ถอดคำประพันธ์ : วิชชุมมาลาฉันท์ ๘

ข่าวเศิกเอิกอึง ทราบถึงบัดดล

ในหมู่ผู้คน ชาวเวสาลี

แทบทุกถิ่นหมด ชนบทบูรี

อกสั่นขวัญหนี หวาดกลัวทั่วไป

ตื่นตาหน้าเผือด หมดเลือดสั่นกาย

หลบลี้หนีตาย วุ่นหวั่นพรั่นใจ

ซุกครอกซอกครัว ซ่อนตัวแตกภัย

เข้าดงพงไพร ทิ้งย่านบ้านตน

เหลือจักห้ามปราม ชาวคามล่าลาด

พันหัวหน้าราษฎร์ ขุนด่านตำบล

หารือแก่กัน คิดผันผ่อนปรน

จักไม่ให้พล มาคธข้ามมา

จึ่งให้ตีกลอง ป่าวร้องทันที

แจ้งข่าวไพรี รุกเบียนบีฑา

เพื่อหมู่ภูมี วัชชีอาณา

ชุมนุมบัญชา ป้องกันฉันใด

๒๒

ราชาลิจฉวี ไป่มีสักองค์

อันนึกจำนง เพื่อจักเสด็จไป

ต่างองค์ดำรัส เรียกนัดทำไม

ใครเป็นใหญ่ใคร กล้าหาญเห็นดี

เชิญเทอญท่านต้อง ขัดข้องข้อไหน

ปรึกษาปราศรัย ตามเรื่องตามที

ส่วนเราเล่าใช่ เป็นใหญ่ยังมี

ใจอย่างผู้ภี รุกปราศอาจหาญ

ต่างทรงสำแดง ความแขงอำนาจ

สามัคคีขาด แก่งแย่งโดยมาน

ภูมิศลิจฉวี วัชชีรัฐบาล

บ่ชุมนุมสมาน แม้แต่สักองค์ฯ

๒๓

ถอดความ : ข่าวศึกแพร่ไปจนรู้ถึงชาวเมืองเวสาลี แทบทุกคนในเมืองต่างตกใจ
และหวาดกลัวกันไปทั่ว หน้าตาตื่น หน้าซีดไม่มีสีเลือด ตัวสั่น พากันหนีตายวุ่นวาย
พากันอพยพครอบครัวหนีภัย ทิ้งบ้านเรือนไปซุ่มซ่อนตัวเสียในป่า ไม่สามารถห้ามปราม

ชาวบ้านได้ หัวหน้าราษฎรและนายด่านตำบลต่างๆ ปรึกษากันคิดจะยับยั้งไม่ให้กองทัพ

มคธข้ามมาได้ จึงตีกลองป่าวร้องแจ้งข่าวข้าศึกเข้ารุกราน เพื่อให้เหล่ากษัตริย์แห่งวัชชี

เสด็จมาประชุมหาหนทางป้องกันประการใด ไม่มีกษัตริย์ลิจฉวีแม้แต่พระองค์เดียวคิดจะ

เสด็จไป แต่ละพระองค์ทรงดำรัสว่าจะเรียกประชุมด้วยเหตุใด ผู้ใดเป็นใหญ่ ผู้ใดกล้า

หาญ เห็นดีประการใดก็เชิญเถิด จะปรึกษาหารืออย่างไรก็ตามแต่ใจ ตัวของเรานั้นไม่ได้มี
อำนาจยิ่งใหญ่ จิตใจก็ขี้ขลาด ไม่องอาจกล้าหาญ แต่ละพระองค์ต่างแสดงอาการเพิกเฉย
ปราศจากความสามัคคีปรองดองในจิตใจ กษัตริย์ลิจฉวีแห่งวัชชีไม่เสด็จมาประชุมกัน

แม้แต่พระองค์เดียว

๒๔

ถอดคำประพันธ์ : อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑

ปิ่นเขตมคธขัต ติยรัชธำรง

ยั้งทัพประทับตรง นคเรศวิสาลี

ภูธรธสังเกต พิเคราะห์เหตุณธานี

แห่งราชวัชชี ขณะเศิกประชิดแดน

เฉยดูบรู้สึก และมินึกจะเกรงแกลน

ฤๅคิดจะตอบแทน รณทัพระงับภัย

นิ่งเงียบสงบงำ บมิทำประการใด

ปรากฏประหนึ่งใน บุรว่างและร้างคน

แน่โดยมิพักสง สยคงกระทบกล

ท่านวัสสการจน กระนี้ถนัดตา

ภินท์พัทธสามัค คิยพรรคพระราชา

ชาวลิจฉวีวา รจะพ้องอนัตถ์ภัย

ลูกข่างประดาทา รกกาลขว้างไป

หมุนเล่นสนุกไฉน ดุจกันฉะนั้นหนอ

ครูวัสสการแส่ กลแหย่ยุดีพอ

ปั่นป่วนบเหลือหลอ จะมิร้าวมิรานกัน

๒๕

ครั้นทรงพระปรารภ ธุระจบธจึ่งบัญ

ชานายนิกายสรร พทแกล้วทหารหาญ

เร่งทำอุฬุมป์เว ฬุคะเนกะเกณฑ์การ

เพื่อข้ามนทีธาร จรเข้านครบร

เขารับพระบัณฑูร อดิศูรบดีศร

ภาโรปกรณ์ตอน ทิวรุ่งสฤษฎ์พลัน

จอมนาถพระยาตรา พยุหาธิทัพขันธ์

โดยแพและพ่วงปัน พลข้ามณคงคา

จนหมดพหลเนื่อง พิศเนืองขนัดคลา

ขึ้นฝั่งลุเวสา ลิบุเรศสะดวกดายฯ

ถอดความ : จอมกษัตริย์แห่งแคว้นมคธหยุดทัพตรงหน้าเมืองเวสาลี พระองค์ทรงสังเกต

วิเคราะห์เหตุการณ์ทางเมืองวัชชีในขณะที่ข้าศึกมาประชิดเมือง ดูนิ่งเฉยไม่รู้สึกเกรงกลัว

หรือคิดจะทำสิ่งใดโต้ตอบระงับเหตุร้าย กลับอยู่อย่างสงบเงียบไม่ทำการสิ่งใด มองดู

ราวกับเป็นเมืองร้างปราศจากผู้คน แน่นอนไม่ต้องสงสัยเลยว่าคงจะถูกกลอุบายของ
วัสสการพราหมณ์จนเป็นเช่นนี้ ความสามัคคีผูกพันแห่งกษัตริย์ลิจฉวีถูกทำลายลงและจะ

ประสบกับภัยพิบัติ ลูกข่างที่เด็กขว้างเล่นได้สนุกฉันใด วัสสการพราหมณ์ก็สามารถยุแหย่

ให้เหล่ากษัตริย์ลิจฉวีแตกความสามัคคีได้ตามใจชอบและคิดที่จะสนุกฉันนั้น ครั้นทรงคิด

ได้ดังนั้นจึงมีพระราชบัญชาแก่เหล่าทหารหาญให้รีบสร้างแพไม้ไผ่เพื่อข้ามแม่น้ำจะเข้าเมือง

๒๖

ของฝ่ายศัตรู พวกทหารรับราชโองการแล้วก็ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับ ในตอนเช้างานนั้นก็

เสร็จทันที จอมกษัตริย์เคลื่อนกองทัพอันมีกำลังพลมากมายลงในแพที่ติดกัน นำกำลังข้าม

แม่น้ำจนกองทัพหมดสิ้น มองดูแน่นขนัด ขึ้นฝั่งเมืองเวสาลีอย่างสะดวกสบาย

๒๗

ถอดคำประพันธ์ : จิตรปทาฉันท์ ๘

นาครธา นิวิสาลี

เห็นริปุมี พลมากมาย

ข้ามติรชล ก็ลุพ้นหมาย

มุ่งจะทลาย พระนครตน

ต่างก็ตระหนก มนอกเต้น

ตื่นบมิเว้น ตะละผู้คน

ทั่วบุรคา มจลาจล

เสียงอลวน อลเวงไป

สรรพสกล มุขมนตรี

ตรอมมนภี รุกเภทภัย

บางคณะอา ทรปราศรัย

ยังมิกระไร ขณะนี้หนอ

ควรบริบาล พระทวารมั่น

ต้านปะทะกัน อริก่อนพอ

ขัตติยรา ชสภารอ

ดำริจะขอ วรโองการ

๒๘

ทรงตริไฉน ก็จะได้ทำ

โดยนยดำ รัสภูบาล

เสวกผอง ก็เคาะกลองขาน

อาณัติปาน ดุจกลองพัง

ศัพทอุโฆษ ประลุโสตท้าว

ลิจฉวีด้าว ขณะทรงฟัง

ต่างธก็เฉย และละเลยดัง

ไท้มิอินัง ธุระกับใคร

ต่างก็บคลา ณสภาคา

แม้พระทวาร บุรทั่วไป

รอบทิศด้าน และทวารใด

เห็นนรไหน สิจะปิดมีฯ

ถอดความ : ฝ่ายเมืองเวสาลีมองเห็นข้าศึกจำนวนมากข้ามแม่น้ำมาเพื่อจะทำลายล้างบ้าน

เมืองของตน ต่างก็ตระหนกตกใจกันถ้วนหน้า ในเมืองเกิดจลาจลวุ่นวายไปทั่วเมือง

ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ต่างหวาดกลัวภัย บางพวกก็พูดว่าขณะนี้ยังไม่เป็นไรหรอก ควรจะ

ป้องกันประตูเมืองเอาไว้ให้มั่นคง ต้านทานข้าศึกเอาไว้ก่อน รอให้ที่ประชุมเหล่ากษัตริย์มี

ความเห็นว่าจะทรงทำประการใด ก็จะได้ดำเนินการตามพระบัญชาของพระองค์ เหล่า

ข้าราชการทั้งหลายก็ตีกลองสัญญาณขึ้นราวกับกลองจะพัง เสียงดังกึกก้องไปถึงพระกรรณ

๒๙

กษัตริย์ลิจฉวี ต่างองค์ทรงเพิกเฉยราวกับไม่เอาใจใส่ในเรื่องราวของผู้ใด ต่างองค์ไม่

เสด็จไปที่ประชุม แม้แต่ประตูเมืองรอบทิศทุกบานก็ไม่มีผู้ใดปิด

๓๐

ถอดคำประพันธ์ : สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙

จอมทัพมาคธราษฎร์ ธ ยาตรพยุหกรี

ธาสู่วิสาลี นคร

โดยทางอันพระทวารเปิดนรนิกร

ฤๅรอต่อรอน อะไร

เบื้องนั้นท่านคุรุวัสสการทิชก็ไป

นำทัพชเนนทร์ไท มคธ

เข้าปราบลิจฉวิขัตติย์รัฐชนบท

สู่เงื้อมพระหัตถ์หมด และโดย

ไป่พักต้องจะกะเกณฑ์นิกายพหลโรย

แรงเปลืองระดมโปรย ประยุทธ์

ราบคาบเสร็จธเสด็จลุราชคฤหอุต

คมเขตบุเรศดุจ ณเดิม

เรื่องต้นยุกติก็แต่จะต่อพจนเติม

ภาษิตลิขิตเสริม ประสงค์

ปรุงโสตเป็นคติสุนทราภรณจง

จับข้อประโยชน์ตร ตริดู

๓๑

ถอดความ : จอมทัพแห่งแคว้นมคธกรีธาทัพเข้าเมืองเวสาลีทางประตูเมืองที่เปิดอยู่โดยไม่มี

ผู้คนหรือทหารต่อสู้ประการใด ขณะนั้นวัสสการพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ก็ไปนำทัพของ

กษัตริย์แห่งมคธเข้ามาปราบกษัตริย์ลิจฉวี อาณาจักรทั้งหมดก็ตกอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์

โดยที่กองทัพไม่ต้องเปลืองแรงในการต่อสู้ ปราบราบคาบแล้วเสด็จยังราชคฤห์เมืองยิ่ง

ใหญ่ดังเดิม เนื้อเรื่องแต่เดิมจบลงเพียงนี้ แต่ประสงค์จะแต่งสุภาษิตเพิ่มเติมให้ได้รับฟัง

เพื่อเป็นคติอันทรงคุณค่านำไปคิดไตร่ตรอง

๓๒

ถอดคำประพันธ์ : อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑

อันภูบดีรา ชอชาตศัตรู

ได้ลิจฉวีภู วประเทศสะดวกดี

แลสรรพบรรดา วรราชวัชชี

ถึงซึ่งพิบัติบี ฑอนัตถ์พินาศหนา

เหี้ยมนั้นเพราะผันแผก คณะแตกและต่างมา

ถือทิฐิมานสา หสโทษพิโรธจอง

แยกพรรคสมรรคภิน ทนสิ้นบปรองดอง

ขาดญาณพิจารณ์ตรอง ตริมลักประจักษ์เจือ

เชื่ออรรถยุบลเอา รสเล่าก็ง่ายเหลือ

เหตุหาก ธ มากเมือ คติโมหเป็นมูล

จึ่งดาลประการหา ยนภาวอาดูร

เสียแดนไผทสูญ ยศศักดิเสื่อมนาม

ควรชมนิยมจัด คุรุวัสสการพราหมณ์

เป็นเอกอุบายงาม กลงำกระทำมา

พุทธาทิบัณฑิต พิเคราะห์คิดพินิจปรา

รภสรรเสริญสา ธุสมัครภาพผล

๓๓

ว่าอาจจะอวยผา สุกภาวมาดล

ดีสู่ณหมู่ตน บนิราศนิรันดร

หมู่ใดผิสามัค คยพรรคสโมสร

ไป่ปราศนิราศรอน คุณไร้ไฉนดล

พร้อมเพรียงประเสริฐครัน เพราะฉะนั้นแหละบุคคล

ผู้หวังเจริญตน ธุระเกี่ยวกะหมู่เขา

พึงหมายสมัครเป็น มุขเป็นประธานเอา

ธูรทั่วณตัวเรา บมิเห็นณฝ่ายเดียว

ควรยกประโยชน์ยื่น นรอื่นก็แลเหลียว

ดูบ้างและกลมเกลียว มิตรภาพผดุงครอง

ยั้งทิฐิมานหย่อน ทมผ่อนผจงจอง

อารีมิมีหมอง มนเมื่อจะทำใด

ลาภผลสกลบรร ลุก็ปันก็แบ่งไป

ตามน้อยและมากใจ สุจริตนิยมธรรม์

พึงมรรยาทยึด สุประพฤติสงวนพรรค์

รื้อริษยาอัน อุปเฉทไมตรี

ดั่งนั้นณหมู่ใด ผิบไร้สมัครมี

พร้อมเพรียงนิพัทธ์นี รวิวาทระแวงกัน

๓๔

หวังเทอญมิต้องสง สยคงประสบพลัน
ซึ่งสุขเกษมสันต์ หิตะกอบทวิการ
มนอาจระรานหาญ
ใครเล่าจะสามารถ ก็เพราะพร้อมเพราะเพรียงกัน
หักล้างบแหลกลาญ นรสูงประเสริฐครัน
เฉพาะมีชีวีครอง
ป่วยกล่าวอะไรฝูง ผิวใครจะใคร่ลอ
ฤๅสรรพสัตว์อัน พลหักก็เต็มทน
สละลี้ณหมู่ตน
แม้มากผิกิ่งไม้ บมิพร้อมมิเพรียงกัน
มัดกำกระนั้นปอง สุขทั้งเจริญอัน
ลุไฉนบได้มี
เหล่าไหนผิไมตรี พภยันตรายกลี
กิจใดจะขวายขวน ติประสงค์ก็คงสม
คณะเป็นสมาคม
อย่าปรารถนาหวัง ภนิพัทธรำพึง
มวลมาอุบัติบรร ผิวมีก็คำนึง
จะประสบสุขาลัยฯ
ปวงทุกข์พิบัติสรร
แม้ปราศนิยมปรี

ควรชนประชุมเช่น
สามัคคิปรารม

ไป่มีก็ให้มี
เนื่องเพื่อภิยโยจึง

๓๕

ถอดความ : พระเจ้าอชาตศัตรูได้แผ่นดินวัชชีอย่างสะดวก และกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลาย

ก็ถึงซึ่งความพินาศล่มจม เหตุเพราะความแตกแยกกัน ต่างก็มีความยึดมั่นในความคิดของ

ตน ผูกโกรธซึ่งกันและกัน ต่างแยกพรรค แตกสามัคคีกัน ไม่ปรองดองกัน ขาดปัญญา

ที่จะพิจารณาไตร่ตรอง เชื่อถ้อยความของบรรดาพระโอรสอย่างง่ายดาย เหตุที่เป็นเช่นนั้น

เพราะกษัตริย์แต่ละพระองค์ทรงมากไปด้วยความหลง จึงทำให้ถึงซึ่งความฉิบหาย
มีภาวะความเป็นอยู่อันทุกข์ระทม เสียทั้งแผ่นดิน เกียรติยศ และชื่อเสียงที่เคยมีอยู่
ส่วนวัสสการพราหมณ์นั้นน่าชื่นชมอย่างยิ่งเพราะเป็นเลิศในการกระทำกลอุบาย ผู้รู้ทั้งหลาย

มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ได้ใคร่ครวญพิจารณากล่าวสรรเสริญว่าชอบแล้วในเรื่องผลแห่ง

ความพร้อมเพรียงกัน ความสามัคคีอาจอำนวยให้ถึงซึ่งสภาพแห่งความผาสุก
ณ หมู่ของตนไม่เสื่อมคลายตลอดไป หากหมู่ใดมีความสามัคคีร่วมชุมนุมกัน ไม่ห่างเหินกัน

สิ่งที่ไร้ประโยชน์จะมาสู่ได้อย่างไร ความพร้อมเพรียงนั้นประเสริฐยิ่งนัก เพราะฉะนั้น
บุคคลใดหวังที่จะได้รับความเจริญแห่งตนและมีกิจธุระอันเป็นส่วนรวม ก็พึงตั้งใจเป็น

หัวหน้าเอาเป็นธุระด้วยตัวของเราเองโดยมิเห็นประโยชน์ตนแต่ฝ่ายเดียว ควรยก

ประโยชน์ให้บุคคลอื่นบ้าง นึกถึงผู้อื่นบ้าง ต้องกลมเกลียว มีความเป็นมิตรกันไว้ ต้องลด

ทิฐิมานะ รู้จักข่มใจ จะทำสิ่งใดก็เอื้อเฟื้อกันไม่มีความบาดหมางใจ ผลประโยชน์ทั้ง

หลายที่เกิดขึ้นก็แบ่งปันกันไป มากบ้างน้อยบ้างอย่างเป็นธรรม ควรยึดมั่นในมารยาทและ

ความประพฤติที่ดีงาม รักษาหมู่คณะโดยไม่มีความริษยากันอันจะตัดรอนไมตรี ดังนั้นถ้า

หมู่คณะใดไม่ขาดซึ่งความสามัคคี มีความพร้อมเพรียงกันอยู่เสมอ ไม่มีการวิวาท และระแวง

กัน ก็หวังได้โดย

๓๖

ไม่ต้องสงสัยว่า คงจะพบซึ่งความสุข ความสงบ และประกอบด้วยประโยชน์มากมาย ใคร

เล่าจะมีใจกล้าคิดทำสงครามด้วย หวังจะทำลายล้างก็ไม่ได้ ทั้งนี้เพราะความพร้อมเพรียง

กันนั่นเอง กล่าวไปไยกับมนุษย์ผู้ประเสริฐหรือสรรพสัตว์ที่มีชีวิต แม้แต่กิ่งไม้หากใครจะ

ใคร่ลองเอามามัดเป็นกำ ตั้งใจใช้กำลังหักก็ยากเต็มทน หากหมู่ใดไม่มีความสามัคคีในหมู่

คณะของตน และกิจการอันใดที่จะต้องขวนขวายทำก็มิพร้อมเพรียงกัน ก็อย่าได้หวังเลย

ความสุขความเจริญจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ความทุกข์พิบัติอันตรายและความชั่วร้ายทั้งปวง

ถึงแม้จะไม่ต้องการก็จะต้องได้รับเป็นแน่แท้ ผู้ที่อยู่รวมกันเป็นหมู่คณะหรือสมาคม ควร

คำนึงถึงความสามัคคีอยู่เป็นนิจ ถ้ายังไม่มีก็ควรจะมีขึ้น ถ้ามีอยู่แล้วก็ควรให้เจริญรุ่งเรือง

ยิ่งขึ้นไปจึงจะถึงซึ่งความสุขความสบาย

๓๗

อธิบายคำศัพท์ยาก :

กถา [กะ-] ถ้อยคํา เรื่อง คําอธิบาย คํากล่าว

กลห์เหตุ [กน-เหด] เหตุแห่งการทะเลาะ

กสิก [กะ-สิก] ชาวนา

ไกวล [ไก-วน] ทั่วไป

ขัตติย์ [ขัด-ติ] กษัตริย์

คดี [คะ-ดี] เรื่อง, มักใช้ประกอบคำศัพท์ เช่น โบราณคดี คดีโลก

คม [คม] ไป

ชเนนทร์ [ชะ-เนน] ผู้เป็นใหญ่ในชน (ชน+อินทร)

ทม [ทม] การข่มใจ การทรมาน

ทลิทภาว [ทะ-ลิด-พา-วะ] ยากจน

ทั่วบุรคาม [ทั่ว-บุ-ระ-คาม] ทั่วบ้านทั่วเมือง

ทิช [ทิ-ชะ] ผู้เกิด ๒ ครั้ง คือ นก และพราหมณ์

ทิน [ทิน,ทิน-นะ] วัน เช่น ปฏิทิน อนุทิน

นครบร [นะ-คอน-บอ-ระ] เมืองของข้าศึก

นย ,นัย [นะ-ยะ,ไน,ไน-ยะ] ความหมาย เค้าความ

นยนาม [นะ-ยะ-นาม] ใจความ

๓๘

นรนิกร [นอ-ระ-นิ-กอน] ฝูงชน

นฤพันธ,นิพัทธ์ [นะ-รึ-พัด-ทะ,นิ-พัด] เนืองๆ เนื่องกัน

นฤสาร [นะ-รึ-สาน,นะ-รึ-สา-ระ] ไม่มีสาระ

นิวัต [นิ-วัด] กลับ

นีรผล [นี-ระ-ผน] ไม่เป็นผล

ประเค [ประ-เค] มอบให้หมด

ประศาสน์ [ประ-สาด] การแนะนำ, การสั่งสอน

ปรากรม [ปะ-รา-กรม] ความเพียร ความบากบั่น

ปรุงโสต [ปรุง-โสต] ในที่นี้หมายความว่า แต่งให้เพราะน่าฟัง

ปลาด [ปะ-หลาด] หายไป

ปวัตน์ [ปะ-วัด] ความเป็นไป”ปวัตติ์”ก็ใช้

พฤฒิ [พรึด,พรึด-ทิ] ผู้เฒ่า

พิเฉท [พิ-เฉด] ตัดขาด ทำลาย

พุทธาทิบัณฑิต [พุด-ทา-ทิ-บัน-ดิด] ผู้รู้ มีพระพุทธเจ้าเป็นอาทิ

ภัต [พัด,พัด-ตะ] อาหาร ข้าว

ภาโรปกรณ์ [พา-โร-ปะ-กอน] ในที่นี้แปลว่า ทำสิ่งที่ได้รับมอบหมาย

ภินท์พัทธสามัคคิย [พิน-พัด-ทะ-สา-มัก-คิ-ยะ] การแตกสามัคคี

๓๙

ภิยโย [ภิ-ยะ-โย,พิน-โย] ยิ่ง ยิ่งขึ้นไป

ภีรุก [พี-รุ-กะ] กลัว, ขี้ขลาด

ภูมิศ [พูม-มิ-สะ] กษัตริย์

มน [มน,มะ-นะ] ใจ

มนารมณ์ [มะ-รา-รม] สมดังที่ตั้งใจ

มาน [มาน] ความถือตัว

ยุกติ [ยุก-ติ] ยุติ จบสิ้น

รหุฐาน [ระ-หุ-ถาน] ที่ลับ ที่เงียบ ที่สงบ ที่สงัด

ลักษณสาสน [ลัก-สะ-น่ะ-สาน] ในที่นี้หมายถึงจดหมาย

เลา [เลา] เค้า

วัญจโนบาย [วัน-จะ-โน-บาย] อุบายหลอกลวง

วัลลภชน [วัน-ลบ-ชน] คนสนิท คนโปรด

วิรุธ [วิ-รุด] ผิดปกติ พิรุธ

สมรรคภินทน [สะ-หมัก-พิน-ทะ-นะ] ความแตกสามัคคี

สมัครภาพ [สะ-หมัก-พาบ] ความสามัคคี

สหกรณ [สะ-หะ-กอน] หมู่เหล่า

ส่ำ [สั่ม] หมู่ เหล่า พวก ชนิด เช่น สํ่าสัตว์

๔๐

สิกขสภา [สิก-ขะ-สะ-ภา] ห้องเรียน

สุขาลัย [สุ-ขา-ลัย] สถานที่ที่มีความสุข

เสาวน [เสา-วะ-นะ] การฟัง การได้ฟัง

เสาวภาพ [เสา-วะ-พาบ] สุภาพ

หายน์, หายน [หาย,หา-ยะ-นะ] ความเสื่อม ความเสียหาย ความฉิบหาย

หิตะ [หิ-ตะ] ความเกื้อกูล ประโยชน์

เหี้ยมนั้น [เหี้ยม-นั้น] เหตุนั้น

อนัตถ์ [อะ-นัด] ไม่เป็นประโยชน์

อนุกรม [อะ-นุ-กรม] ตามลำดับ

อภิเผ้า [อะ-พิ-เผ้า] ผู้เป็นใหญ่

อาคม [อา-คม] มา มาถึง

อุปเฉทไมตรี [อุบ-ปะ-เฉท-ทะ-ไม-ตรี] ตัดไมตรี

อุรส [อุ-รด] โอรส ลูกชาย “ผู้ที่เกิดแต่อก” คือ ลูก

อุฬุมป์เวฬุ [อุ-ลุม-เว-ลุ] แพไม้ไผ่

เอาธูร [เอา-ธู-ระ] เอาเป็นธุระ

เอาภาร [เอา-พา-ระ] รับภาระ หรือรับผิดชอบ

๔๑

คุณค่าวรรณคดี :

ด้านวรรณศิลป์

สุนทรียภาพ คือ ความงามในงานศิลปะที่แต่ละบุคคลสามารถเข้าใจและรู้สึกได้ กวีได้ใช้

กลวิธี ทางภาษาในการถ่ายทอดความงามดังกล่าวได้อย่างโดดเด่น โดยเฉพาะสุนทรียภาพ

ด้านเสียงกวีมุ่งเน้น การเลือกสรรถ้อยคำเพื่อทำให้เกิดเสียงเสนาะ ดังปรากฏว่ามีการเล่น

เสียงสัมผัสพยัญชนะ เล่นเสียง สัมผัสสระ และเล่นเสียงวรรณยุกต์ตลอดเรื่อง ส่งผลให้

วรรณคดีเรื่องนี้มีความไพเราะและงดงามยิ่ง

๑. การสรรคำ

ในเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ผู้แต่งเลือกสรรคำที่มีเสียงและความหมายไพเราะ อีกทั้งยังเลือก

คำที่ ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ง่าย

- เสียงสัมผัส

ผู้แต่งได้เลือกสรรหาคำเพื่อเสียงสัมผัสทั้งเสียงสัมผัสพยัญชนะและสระ

- สัมผัสพยัญชนะ

เช่น

ทิชงค์ชาติฉลาดยล คะเนกลคะนึงการ

กษัตริย์ลิจวีวาร ระวังเหือดระแวงหาย

มีการเล่นเสียงพยัญชนะคำว่า “คะเนกล - คะนึงการ” กับ “ระวังเหือด - ระแวง

หาย”

๔๒

- สัมผัสสระ

เช่น

ล่วงลุประมาณ กาลอนุกรม

หนึ่ง ณ นิยม ท่านทวิชงค์

มีการเล่นเสียงสระคำว่า “ประมาณ - กาล” กับ “อนุกรม -นิยม”

- การเล่นเสียงหนักเบา

เช่น อันภูบดีรา ได้ลิจฉวีภู

แลสรรพบรรดา ถึงซึ่งพิบัติบี

ชอชาตศัตรู วประเทศสะดวกดี

วรราชวัชชี ฑอนัตถ์พินาศหนา

มีการเล่นเสียงหนักเบา เช่น “อัน” เป็นเสียงหนัก “รา” เป็นเสียงเบา ดัง

๒. การเรียบเรียงคำ

การใช้คำที่เข้าใจง่าย มีการใช้คำที่ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ง่าย เช่น ตอนวัสสการพรา

หมณ์เข้า เมืองเวสาลี

ผูกไมตรีจิต เชิงชิดชอบเชื่อง

กับหมู่ชาวเมือ ฉันท์อัชฌาสัย

เล่าเรื่องเคืองขุ่น ว้าวุ่นวายใจ

จำเป็นมาใน ด้าวต่างแดนตน”

๔๓

๓. การใช้โวหารภาพพจน์

๓.๑ พรรณณาโวหาร

เช่น

“ควรชมนิยมจัด คุรุวัสสการพราหมณ์

เป็นเอกอุบายงาม กลงำกระทำมา

พุทธาทิบัณฑิต พิเคราะห์คิดพินิจปรา

รภสรรเสริญสา ธุสมัครภาพผล”

“เชื่ออรรถยุบลเอา รสเล่าก็ง่ายเหลือ

เหตุหากธมากเมือ คติโมหเป็นมูล

จึ่งดาลประการหา ยนภาวอาดูร

เสียแดนไผทสูญ ยศศักดิเสื่อมนาม”

๓.๒ สาธกโวหาร

เช่น “ควรยกประโยชน์ยื่น นรอื่นก็แลเหลียว

ดูบ้างและกลมเกลียว มิตรภาพผดุงครอง

ยั้งทิฐิมานหย่อน ทมผ่อนผจงจอง

อารีมิมีหมอง มนเมื่อจะทำใด”

๔๔

“ลาภผลสกลบรร ลุก็ปันก็แบ่งไป

ตามน้อยและมากใจ สุจริตนิยมธรรม์

พึงมรรยาทยึด สุประพฤติสงวนพรรค์

รื้อริษยาอัน อุปเฉทไมตรี”

๓.๓ เทศนาโวหาร

เช่น “ควรชนประชุมเช่น คณะเป็นสมาคม

สามัคคิปรารม ภนิพัทธรำพึง

ไป่มีก็ให้มี ผิวมีก็คำนึง

เนื่องเพื่อภิยโยจึง จะประสบสุขาลัย”

๓.๔ อุปลักษณ์

เช่น ตอนพระเจ้าอชาตศัตรูทรงเปรียบเทียบการแตกสามัคคีของกษัตริย์ลิจฉวี ว่า

“ลูกข่างประดาทา รกกาลขว้างไป

หมุนเล่นสนุกไฉน ดุจกันฉะนั้นหนอ”

๔๕

คุณค่าสังคมและวัฒนธรรม
๒.๑ การเมืองการปกครอง
กษัตริย์แห่งแคว้นวัชชีทั้งหลายปกครองโดยยึดมั่นตามหลักอปริหานิยธรรมซึ่งเป็นธรรม

พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ มีเนื้อหาเน้นความสามัคคีเป็นหลัก เป็นธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่ง

ความเสื่อม เป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียว สำหรับหมู่ชนหรือผู้บริหารบ้านเมือง
มี ๗ ประการคือ
๑. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
๒. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจที่พึงทำ
๓. ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ (อันขัดต่อหลักการเดิม) ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ ตามหลัก

การเดิม) ถือปฏิบัติมั่นตามวัชชีธรรม (หลักการ) ตามที่วางไว้เดิม
๔. ท่านเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่ในชนชาววัชชี เคารพนับถือท่านเหล่านั้น เห็นถ้อยคำของท่าน

ว่าเป็นสิ่งอันควรรับฟัง
๕. บรรดากุลสตรีกุลกุมารทั้งหลาย ให้อยู่ดีโดยมีถูกข่มเหงหรือฉุดคร่าชื่นใจ
๖. เคารพสักการบูชาเจดีย์ (ปูชนียสถานและปูชนียวัตถุ ตลอดจนอนุสาวรีย์ต่าง ๆ) ของวัช

ชีทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ไม่ปล่อยให้ธรรมิกพลีที่เคยให้ทำแก่เจดีย์เหล่านั้น

เสื่อมทรามไป
๗. จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง และป้องกันอันชอบธรรมแก่พระอรหันต์ทั้งหลายตั้งใจว่า

ขอพระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังมิได้มา จึงมาสู่แว่นแคว้น ที่มาแล้วจึงอยู่ในแว่นแคว้นโดยผาสุก

๔๖