วงจรควบคุมมอเตอร์ วงจรสตาร์ทมอเตอร์แบบสตาร์เดลต้า Star Delta Starter (แบบที่ 2) Show (วงจรสตาร์ทมอเตอร์แบบสตาร์เดลต้าแบบที่ 1 นั้นสามารถดูได้จากลิ้งด้านล่าง) เหตุผลของการใช้การสตาร์ทมอเตอร์แบบสตาร์เดลต้าแบบที่ 2 ก็เพราะว่า วงจรควบคุมมอเตอร์แบบที่ 2 นี้ จะสั่งให้ตัวแมกเนติกคอนแทคเตอร์ของตัวสตาร์ทแบบสตาร์ทำงานก่อน แล้วจึงให้แมกเนติกของตัวเมนทำงานตามทีหลัง ด้วยเหตุนี้ เมื่อแมกเนติกของตัวสตาร์ทแบบสตาร์ทำงานก่อน กระแสไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายจึงยังไม่ถูกจ่ายมา (เพราะตัวเมนยังไม่ทำงาน) หน้าสัมผัสหรือหน้าคอนแทคจึงไม่เกิดการอาร์ค แต่แมกเนติกของตัวเมนทำงานหลังจากนั้นซึ่งเป็นการต่อไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายเข้ามาในวงจรมอเตอร์ไฟฟ้าจึงทำให้เกิดการอาร์คมากกว่า เพราะเหตุผลนี้เองที่การต่อมอเตอร์ 3 เฟสแบบนี้จึงเหาะกับวงจรสตาร์ทมอเตอร์แบบสตาร์เดลต้าแบบที่ 2 มากกว่า เพราะหากให้แมกเนติกของตัวสตาร์ทแบบสตาร์กับของตัวเมนให้ทำงานพร้อมกันแบบในวงจรควบคุมมอเตอร์แบบที่ 1 นั้นจะทำให้เกิดการอาร์คขึ้นที่หน้าสัมผัสของแมกเนติกของตัวสตาร์ทสตาร์ด้วย ดังรูปที่ 1 ด้านล่างนี้จะเห็นว่าวงจรมอเตอร์นี้แมกเนติกคอนแทคเตอร์ตัวสตาร์ทสตาร์มีขนาดเล็กกว่าแมกเนติกของตัวเมน รูปที่ 1 วงจรสตาร์ทมอเตอร์แบบสตาร์เดลต้า วงจรมอเตอร์ การสตาร์ทมอเตอร์แบบสตาร์เดลต้า คือขณะเริ่มสตาร์ทมอเตอร์ไฟฟ้าจะให้ขดลวดต่อแบบสตาร์ และเมื่อมอเตอร์หมุนไปด้วยความเร็ว 75% ของความเร็วพิกัดจึงจะให้ขดลวดต่อแบบเดลต้า และหลังจากนั้นก็เดินมอเตอร์ต่อไปแบบเดลต้า ต่อเนื่องไปจนกระทั่งหยุดการทำงานมอเตอร์นั่นเอง
รูปที่ 2 วงจรสตาร์ทมอเตอร์แบบสตาร์เดลต้า วงจรกำลัง วงจรควบคุมมอเตอร์ วงจรกำลัง (Power Circuit)ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าดังต่อไปนี้
รูปที่ 3 วงจรสตาร์ทมอเตอร์แบบสตาร์เดลต้า วงจรควบคุมหรือวงจรคอนโทรล ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าดังต่อไปนี้
การทำงานของวงจรควบคุมมอเตอร์1. ในสภาวะเริ่มต้นแมคเนติกคอนแทกเตอร์มีสถานะเปิดวงจร กระแสไฟฟ้ายังไม่ถูกจ่ายเข้าวงจรมอเตอร์ 2. เมื่อกดปุ่ม Start ที่วงจรควบคุมจะมีกระแสไฟฟ้าไหลจากแหล่งจ่ายไฟผ่านขดลวดสนามแม่เหล็กของแมกเนติกคอนแทคเตอร์ตัวสตาร์ทสตาร์ (MC-1) ทำให้หน้าสัมผัสของแมกเนติกปิดวงจร และทำให้หน้าสัมผัสช่วยของแมกเนติกแบบ NO ที่แถว 2 ก็ปิดวงจรไปด้วยพร้อมกัน ทำให้มีกระแสไฟฟ้าไหลไปจ่ายให้ขดลวดสนามแม่เหล็กของแมกเนติกคอนแทคเตอร์เมน (MC-2) ด้วย มอเตอร์จึงเกิดการสตาร์ทแบบสตาร์ และยังทำให้หน้าสัมผัสช่วยของแมกเนติก MC-2 แบบ NO ในแถวที่ 3 ปิดวงจรด้วยทำให้เกิดสภาวะค้างการทำงาน (Self-holding) เพราะวงจรควบคุมมีกระแสไหลผ่านหน้าสัมผัสช่วยอีกทางหนึ่ง ส่วนในแถวที่ 4 นั้นหน้าสัมผัสช่วยของแมกเนติกคอนแทคเตอร์ MC-1 แบบ NC ก็จะถูกเปิดวงจรออกไปพร้อมกับที่ MC-1 ทำงานด้วย จึงไม่มีกระแสไฟฟ้าจ่ายไปที่ MC-3 3. พร้อมกันนั้นที่แผงวงจรของไทม์เมอร์รีเลย์ (T-1) ก็ได้รับกระแสไฟฟ้าเพื่อเลี้ยงวงจรด้วยเช่นกัน ไทม์เมอร์รีเลย์จึงเริ่มนับเวลา แต่ในช่วงแรกหน้าสัมผัสของไทม์เมอร์จะยังไม่เปลี่ยนแปลง 4. เมื่อไทม์เมอร์นับเวลาครบตามที่ได้ตั้งเวลาไว้ หน้าสัมผัสของไทม์เมอร์จึงเปิดวงจรออก ทำให้ MC-1 และไฟเลี้ยงวงจร timer เองถูกตัดออก ทำให้หน้าสัมผัสช่วยของ MC-1 ที่แถว 2 (แบบ NO) กลับมาเปิดวงจรอีกครั้ง และที่แถว 4 (แบบ NC) กลับมาปิดวงจรด้วยทำให้มีกระแสไฟฟ้าไหลไปที่ MC-3 จึงเกิดการต่อวงจรมอเตอร์เป็นแบบเดลต้า และหน้าสัมผัสช่วยของ MC-3 ในแถวที่ 1 (แบบ NC) ก็จะเปิดวงจรออกเพื่อตัดกระแสไฟฟ้าที่จ่ายให้ MC-1 และ T-1 ดังนั้นขณะนี้มอเตอร์จึงมีการรันต่อเนื่องเป็นแบบเดลต้า 5. เมื่อต้องการหยุดการทำงานมอเตอร์ให้กดปุ่ม Stop หน้าสัมผัสของปุ่ม Stop จึงเปิดวงจรออกทำให้กระแสไฟฟ้าของวงจรควบคุมถูกตัด ณ จุดนี้ ขดลวดสนามแม่เหล็กของแมกเนติกคอนแทคเตอร์ทุกตัวถูกตัดกระแสไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าที่จ่ายไปที่วงจรมอเตอร์จึงถูกตัดมอเตอร์จึงหยุดทำงาน |