แจ้งไม่ผ่านทดลองงาน pantip

“เสียใจด้วย
น้องไม่ผ่านประเมินการทำงาน”

คนเราต้องมีจิตใจแกร่งกล้าขนาดไหน ถึงจะสามารถพูดประโยคนี้กับ “พนักงานทดลองงาน”
คนแล้วคนเล่าได้…ฉันถามตัวเอง “น้องมีเวลา 15 วันหลังจากนี้ ในเดือนสุดท้าย เพื่อที่จะไม่ครบ 119 วันตามกฎหมาย
ดังนั้น วันสุดท้ายของน้องคือ…” เสียงของผู้จัดการแผนกทรัพยากรบุคคลยังพูดต่อไป หูสองข้างของฉันไม่ทำงานตามปรกติหลังจากนี้ มันเหมือนมีเสียงวิ้ง วิ้ง วิ้ง วิ้ง
อยู่ในประสาทส่วนรับเสียงของฉัน เอาฉันไปสาบานที่ไหนก็ได้ว่า ณ ขณะนั้น
ฉันไม่ได้ยินอะไรเลย

หลังจากวินาทีนั้น ฉันเดินออกจากห้องพี่เขาด้วยดวงตาที่พร่าพรายด้วยน้ำตา ในสมองมีแต่คำว่า
ทำไม ทำไม ทำไม วนเวียนไปมา แต่ก็นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ฉันสามารถประคองตัวเองกลับขึ้นรถตู้ประจำทางเพื่อกลับห้องพักได้อย่างปรกติ
โดยไม่โดนรถเฉี่ยวชนให้ตายๆ ไป…อย่างใจหวัง

ฉันเป็นบัณฑิตเกียรตินิยม
ฉันจบการศึกษาด้วยเกรดเฉลี่ย 3.80 ฉันใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิชาภาษาอังกฤษทั้งหมดในทรานสคริปต์ของฉันไม่มีเกรดอื่นใดนอกจาก A ฉันมีคะแนนโทอิค 710 คะแนนเป็นของประกอบบุญ ทั้งๆ ที่เป็นการสอบครั้งแรกในชีวิต
ฉันทำงานอย่างทุ่มเท ฉันใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีในการทำงาน ฉันมีเพื่อนมากมายในออฟฟิศ
ฉันเป็นสมาชิกที่ดีของทีมในแผนก ฉันเข้าได้กับทุกคนในบริษัท

ทำไมบริษัทถึงทำแบบนี้กับฉันได้
ทำไมพี่ที่ประเมินถึงตัดสินใจเลือกอีกคนนึงที่เริ่มฝึกงานพร้อมๆ กันไว้
ทำไมพี่เค้าไม่เลือกฉัน ทำไมโลกโหดร้าย ทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นกับฉัน
ฉันรักบริษัทนี้ ฉันรักเพื่อนร่วมงานทุกคน ฉันอยากทำงานที่นี่ตั้งแต่แรก
จึงเป็นบริษัทแรกๆ ในชีวิตที่ฉันวอล์กอินเข้ามาสมัครงานหลังจากเรียนจบได้ไม่กี่วัน

ฉันยังจำได้ถึงวินาทีที่พี่คนเดียวกันกับข้างต้นบอกว่า
ฉันได้งาน ฉันกรี๊ดเสียงดังลั่นลิฟต์อย่างไม่อายใคร
ฉันน้ำตาคลอโทรบอกแม่จ้าละหวั่น งานนี้เป็นงานแรกในชีวิตการทำงานของฉัน ฉันยังจำได้ถึงวันนั้น…วันที่โลกเป็นสีเจิดจ้าสดใส

แต่เพียงเวลา 3 เดือน 15
วัน วันนี้โลกของฉันกลายเป็น ‘ขาวดำ’ ไปสิ้น

ฉันขังตัวเองในอพาร์ตเมนต์ของฉันตั้งแต่วันนั้น
ฉันร้องไห้ ฉันผิดหวัง ฉันเสียใจ
หลังจากนั้นความรู้สึกทั้งหมดแปรเป็นความกลัว ฉันกลัวการต้องออกไปข้างนอก
ฉันกลัวการต้องออกไปสมัครงานใหม่ ฉันไม่กล้าคิดว่าตัวเองเก่ง
ฉันไม่กล้าคิดว่าตัวเองเจ๋ง ฉันไม่กล้าภูมิใจกับ ‘เกียรตินิยม’ ที่ได้มายากแสนยากอีกต่อไป และฉันไม่กล้าเอ่ยปากโทรบอกแม่แม้เพียงครึ่งคำ

ฉันเริ่มใช้เวลาที่มีเก็บข้าวของประดามีในห้องอย่างไร้จุดหมาย
หนังสือมากมายที่วางระเกะระกะตั้งแต่เรียนจบ เสื้อผ้าที่วางทิ้งไว้เต็มห้องไปหมด
เครื่องสำอางที่หกเรี่ยราดหน้ากระจกแต่งตัว ฉันเริ่มจัดข้าวของเหล่านั้นให้เข้าที่
ฉันเช็ด ล้าง ทำความสะอาดทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ฉันแพ็กชุดนักศึกษาลงลังเผื่อบริจาค
ฉันเก็บหนังสือเรียนที่มั่นใจแล้วว่าจะไม่ใช้ต่อไปอีกออกทิ้ง เอาจริงๆ ฉันตอบไม่ได้ว่าทำไปทำไม
แต่เหมือนเป็นการทำไปเพื่อยืดเวลาที่จะต้องออกไปเผชิญโลกของการทำงานอีกครั้งเท่านั้นเอง

รายการสุดท้าย…ฉันเช็ดกระจกใหญ่เต็มตัวที่ฉันซื้อมาจากจตุจักรด้วยความระมัดระวังยิ่ง

ฉันสบตากับผู้หญิงวัยใกล้จะเบญจเพสในกระจก
ผู้หญิงในกระจกที่สบตากลับออกมามีขอบตาดำคล้ำ ริมฝีปากแห้งผาก ร่างกายผอมผ่าย
ผมแห้งกระเซอะกระเซิง ผิวเสียโรยรา ผู้หญิงคนนั้นมีสภาพไม่ต่างไปจากผีซาดาโกะ
น่ากลัวและทรุดโทรมจนแม้แต่ตัวเองก็ตกใจ

ผู้หญิงคนนั้นสบตากับฉันนิ่งและนาน
เหมือนจะถามว่าสำรวจภายนอกกันแล้ว สำรวจ ‘ภายใน’ ด้วยหรือยัง ฉับพลันนั้นฉันนึกย้อนไป…ที่ว่าทุ่มเทกับงาน
หมายความแค่ว่าเข้าทำงานแต่เช้าก็จริง แต่กลับห้าโมงเย็นเป๊ะทุกวันหรือเปล่า
ที่ว่าทำงานเต็มความสามารถแต่ที่บางทีก็เปิดเน็ตลอยไปลอยมาเป็นชั่วโมงแล้วค่อยกลับมาทำงานต่อก่อนกลับบ้านเพื่อปิดงานให้จบตามกำหนดไปวันๆ นั่นใช่ฉันไหม
บางคืนวันอาทิตย์ปาร์ตี้กับเพื่อนๆ มหาวิทยาลัยจนดึกดื่นแล้วไปทำงานไม่ไหวในเช้าวันจันทร์
จนต้องโทรไปลาป่วยเป็นเวลาสองจันทร์ตลอดสามเดือนครึ่งนั้นใช่ฉันคนนี้หรือไม่ นึกถึงการโต้ตอบกันไปมาแบบเด็กๆ กับเพื่อนร่วมงานเวลามีข้อขัดแย้งนั่นดูเป็น ‘มืออาชีพ’ แล้วหรือนั่น

ฉันได้คำตอบจากคำถามเมื่อยี่สิบวันก่อนแล้ว
คำถาม ทำไม ทำไม ทำไม ที่ก้องอยู่ในหูในวันนั้น ฉันได้รับคำตอบที่กระจ่างแจ้งแล้ว ถึงตรงนี้ฉัน ‘กล้า’ เปิดโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง ด้วยดวงตาที่เห็นตัวเองในแง่มุมที่เปลี่ยนไป เห็นโลกที่ในแง่มุมที่เปลี่ยนไป

ฉันพบข้อความให้กำลังใจจากเพื่อนร่วมทีมในบริษัทนั้นมากมาย
ฉันได้รับโทรศัพท์นัดให้ไปสัมภาษณ์งานอีกหลายต่อหลายแห่งที่ค้นพบเรซูเม่ฉันจากเว็บไซต์หางาน
ฉันโทรบอกความจริงทั้งหมดให้แม่ทราบ แม่รับฟังอย่างสงบพร้อมทั้งบอกว่าดีใจที่ฉันยอมรับสิ่งเหล่านี้
ที่เหนืออื่นใดนั้น ฉันได้ห้องพักที่สะอาดสะอ้านน่าอยู่ เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่จะ ‘เปิดประตู’ ออกไปสู่โลกของการทำงานอีกครั้ง ฉันพร้อมแล้วที่จะก้าวออกไป
ฉันไม่กลัวอะไรอีกแล้ว

เพราะโลกแห่งความจริงนั้นไม่ได้โหดร้าย เพียงแต่เป็นตัวฉันเองนั้นตาบอด

และฉันพร้อมแล้วที่จะทำให้ดีกว่าเก่า…with a brand new me

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

แจ้งไม่ผ่านทดลองงาน pantip

บริษัทต่อโปรทดลองงาน เลือกอยู่ต่อ หรือลาออก

ทำงานมา 7 เดือนเข้าเดือนที่ 8 แล้ว บริษัทยังให้ต่อโปรทดลองงานไปเรื่อยๆ โดยสิ้นเดือนก็จะแจ้งว่าต่อโปรไปอีกเดือน เนื่องจากผลงานไม่เป็นที่น่าพอใจ 
คำถามคือ เลือกอยู่ต่อ หรือหางานใหม่ 
ข้อดี : 
1.ทำงานที่บ้านได้ ค่อนข้างอิสระ ไปรับ-ส่งลูกไปโรงเรียนได้ งานก็เหนื่อย รับโทรศัพท์ตลอดเวลา จุกจิกมากพอสมควร วุ่นวายบางช่วง แต่เป็นงานที่ชอบที่ถนัด
2.สามีที่ค่อนข้างจุกจิก พอเรามีงานทำ เค้าก็ไม่ค่อยมาวุ่ยวายกับเรามาก มีเวลาส่วนตัวให้ตัวเองมากขึ้น

ข้อเสีย : 
1.ทำงานมา7 เดือนแต่ยังไม่ให้ผ่านทดลอง บอกผลงานยังไม่เป็นที่น่าพอใจ อันนี้ก็ต้องยอมรับแต่มีผลกับความรู้สึกมากๆ เรื่องผลงานมีเหตุและผลสนับสนุนอยู่ว่าเพราะอะไร เกิดอะไรขึ้น ถึงไม่เป็นไปตามเป้าหมาย 
2.รับเงินเดือน+คอมฯ ประมาณ 24,000 บางเดือนก็ไม่ถึง 
3.เจอหัวหน้าที่ผีเข้าผีออก ทุกอย่างที่สั่งต้องเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ต้องแสตนบายรับโทรศัพท์ 24 ชั่วโมง (ชอบเคลียร์งานตอน 1-2 ทุ่ม แต่ก็ไม่บ่อย อาทิตย์ละครั้ง แต่หลังๆก็ดีขึ้นบ้าง) ต้องตอบไลน์ลูกค้าภายใน 5 นาที ติดโควิดก็ต้องไปหาลูกค้า(นัดไว้แล้ว ตรวจเจอตอนเช้า) ลาป่วยไม่เคยได้ลา เคยโทรไปลาป่วย พูดจบสั่งงานต่อ บอกให้ส่งมาเลยเดี๋ยวนี้นะ
เคยบอกปวดหัว ขอเวลาอีก 1 ชั่วโมงโทรกลับ ก็สั่งงานต่อไม่หยุดจนจบ (หลังเวลาเลิกงานไปอีก) 
4.ขับรถอยู่แต่โทรมาตามงาน ต้องจอดรถเปิดคอมต่อเน็ตเช็คให้ ทั้งๆที่เช็คเองได้
วันหยุด ก็มีไลน์มาถามงาน ตามงาน หรือบางทีก็โทรเลย 
5.งานไม่ได้พัฒนาตัวเองเท่าไหร่ วนไปวนมา แก้ปัญหาของฝ่ายต่างๆ ปัญหาเดิมๆ

ปกติสามีให้เงินใช้ส่วนตัวเดือนละประมาณ 67,000
ค่าน้ำไฟ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในบ้านทุกอย่าง สามีเป็นคนจ่าย
แต่เราเลือกที่จะหางานทำ เพราะไม่รู้อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น บวกกับหลายๆความเห็นที่มีสามีเลี้ยง จะบอกให้ไปหางานทำ ปัจจุบันมีเงินเก็บประมาณ 5ล้าน ยังไม่กล้าลงทุนอะไร กลัวความเสี่ยง มีเก็บในกองทุน หุ้น พัธบัตร นิดหน่อย (ประมาณ 2 ล้าน)

ถ้าลาออกตอนนี้คือ กลับไปทำงานช่วงงานที่บ้านสามี ซึ่งเป็นงานที่เราไม่ชอบ ไม่ถนัด และ อิสระ เวลาของเราก็จะหายไปด้วย
ขอความเห็นหน่อยค่ะ เลือกอยู่ต่อ หรือพักก่อน ค่อยหางานใหม่