การค้า ออนไลน์ที่ได้รับ ผลกระทบ จากเทคโนโลยีดิจิทัล

ธุรกิจ

ผลกระทบ ‘เทคโนโลยี’ กับแนวโน้มธุรกิจปีหน้า

เมื่อวิกฤติโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้เกิด Double Disruption การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ โดยเฉพาะดิจิทัล ดิสรัปชั่น ในหลายอุตสาหกรรม ต่อจากนี้แนวโน้มธุรกิจในปี 2564 จะเปลี่ยนไปแค่ไหน?

ปีนี้นับเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตของคนจำนวนมาก เริ่มต้นปีด้วยความตระหนักเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่มาจากเทคโนโลยีดิจิทัล และทำให้เกิดปรากฏการณ์ ดิจิทัล ดิสรัปชั่น ในหลายอุตสาหกรรม แต่พอผ่านมาเพียงแค่เดือนกว่า ทั่วโลกก็พบกับวิกฤติโควิด-19 ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Double Disruption เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก

ผู้คนเริ่มคุ้นเคยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มีการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) ซึ่งบางองค์กรแทบไม่มีความพร้อมแต่จำเป็นต้องเริ่ม คนเริ่มรู้จักการประชุมออนไลน์ ใช้เทคโนโลยีอย่าง Zoom มากยิ่งขึ้น การชำระเงินผ่านมือถือการใช้พร้อมเพย์ที่รัฐบาลพยายามส่งเสริมมานานและช่วงแรกยังไม่มีคนใช้กันมากนัก กลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในช่วงปีนี้ เช่นเดียวกับการสั่งซื้อของออนไลน์ การส่งอาหาร กระทั่งมีคนกล่าวว่า โควิดคือผู้ที่ทำให้เกิด ดิจิทัล ดิสรัปชั่น ที่แท้จริง

ปลายปีนี้บ้านเราเริ่มการระบาดรอบใหม่และเริ่มกังวลว่า จะมีมาตรการล็อกดาวน์อีกครั้งหรือไม่ แต่ความกังวลของผู้คนเริ่มน้อยลงกว่าในรอบแรกเพราะเริ่มปรับตัวได้กับการใช้เทคโนโลยี ทำงานในรูปแบบใหม่ มีวิธีทำธุรกิจแบบใหม่ๆ ซึ่งคาดการณ์ว่า แม้จะพ้นวิกฤติโควิด-19 ไปแล้ว วิถีชีวิตผู้คนคงไม่กลับมาเหมือนเดิม

สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น คือ คนจำนวนมากอาจทำงานแบบ Work from Home บ้างในบางวันของสัปดาห์ ผู้คนยังซื้อของออนไลน์มากขึ้นเช่นเดิม ร้านอาหารต้องให้บริการทั้งแบบรับประทานในร้านและให้บริการส่งอาหาร ธุรกิจหลายอย่างจะไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว

ปีหน้ายังเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ธุรกิจต้องปรับตัวเข้าสู่แนวโน้มที่ได้เปลี่ยนไปแล้วเช่นเดิม ซึ่งธุรกิจต่างๆ ต้องเตรียมพร้อมกับรูปแบบการทำงานใหม่ในด้านต่างๆ ดังนี้

1.การทำงานที่บ้าน 2.0 (WFH 2.0) องค์กรต่างๆ ต้องปรับตัว เพื่อให้พนักงานทำงานที่บ้านได้ วิธีคิดเรื่องสถานที่ทำงานจะไม่เหมือนเดิม อาจต้องมีนโยบายให้พนักงานทำงานที่บ้านได้บางวัน แต่ที่ทำงานในบ้านของพนักงานแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจมีห้องทำงานที่ดี มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง มีคอมพิวเตอร์อย่างดีใช้ แต่บางคนอาจไม่มี ดังนั้นองค์กรจำเป็นต้องหาอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่โต๊ะเก้าอี้ ให้สามารถทำงานที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงอาจต้องมีแนวทางฝึกทักษะพนักงานให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข และมีประสิทธิภาพแม้อยู่กันคนละสถานที่ก็ตาม

2.ข้อมูลคือ สินทรัพย์ ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องเก็บข้อมูลมากขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลลูกค้า ต้องเข้าใจความสำคัญข้อมูล มีนโยบายป้องกันข้อมูลที่ดีไม่ให้รั่วไหล หรือสูญหาย การวิเคราะห์ข้อมูลต้องเป็นปัจจุบันมากขึ้น ให้พนักงานทุกคนเข้าถึงข้อมูลได้ตามความเหมาะสม และต้องฝึกทักษะใช้ข้อมูลให้พนักงานรู้จักตั้งคำถาม เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและรู้ว่าต้องใช้ข้อมูลด้านใดบ้าง

3.การปรับโมเดลเชิงธุรกิจ จากการเกิด Double Disruption ทำให้ความต้องการตลาดเปลี่ยนไป ธุรกิจจำเป็นต้องปรับรูปแบบสินค้าหรือบริการ เพื่อให้ตรงความต้องการลูกค้า และอาจต้องสร้างนวัตกรรม ซึ่งปีหน้าความจำเป็นปรับโมเดลเชิงธุรกิจจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ

4.ระบบออโตเมชั่น ธุรกิจจำเป็นต้องนำระบบอัตโนมัติต่างๆ มาใช้มากขึ้น ลดใช้พนักงานในจุดที่เครื่องจักรสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า มีขบวนการทำงานที่เป็นระบบอัตโนมัติมากขึ้น แต่เดิมหลายองค์กรอาจเริ่มนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในโรงงานในโกดังสินค้า หรือระบบ ChatBot แต่ปีหน้าระบบอัตโนมัติจะถูกนำใช้กับงานในออฟฟิศมากขึ้น

5.Virtual Interface คือ ให้บริการลูกค้าหรือการทำงานของพนักงานที่ต้องติดต่อผ่านระบบดิจิทัลมากขึ้น เช่น ใช้ระบบ Augmented Reality (AR) หรือ Virtual Reality (VR) เพื่อให้ลูกค้าเห็นและทดสอบสินค้าเสมือนจริง หรือการให้คำปรึกษาลูกค้าผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งวิกฤติโควิดทำให้เกิดความต้องการเว้นระยะห่างทางสังคมและระบบ Virtual Interface มีความจำเป็นขึ้น ทำให้ผู้คนคุ้นเคยการใช้วิธีการแบบนี้มากขึ้นในอนาคต

6.การปรับตัวสู่ท้องถิ่น วิกฤติโควิดทำให้ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไป เช่นเดียวกันกับการเกิดสงครามการค้าของจีนและสหรัฐอเมริกา รวมถึงการออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ ธุรกิจจำเป็นต้องหาแหล่งผลิตสินค้าใหม่ๆ ที่อาจอยู่ใกล้ตัว การค้าสินค้าและบริการก็อาจต้องเน้นกลุ่มลูกค้าในท้องถิ่นมากขึ้น

7.การเข้าถึงสังคมออนไลน์ ธุรกิจจำเป็นต้องใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือหลักเข้าถึงลูกค้า ต้องปรับการตลาดผ่านระบบสังคมออนไลน์มากขึ้น และจำเป็นต้องวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อใช้ อินฟลูเอนเซอร์ ที่อยู่บนโซเชียลมีเดีย อย่างต่อเนื่อง

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมคาดการณ์ว่าจะเป็นแนวโน้มที่ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องทำในปีหน้า เพื่อให้สามารถอยู่รอด และแข่งขันต่อไปได้อย่างยั่งยืน

Digital Disruption คืออะไร? ส่งผลต่อธุรกิจต่างๆ อย่างไร?

การค้า ออนไลน์ที่ได้รับ ผลกระทบ จากเทคโนโลยีดิจิทัล

เราคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งในชีวิตประจำวัน และธุรกิจต่างๆ ก็คือการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งแน่นอนว่ามีข้อดีมากมาย แต่ข้อเสียก็มีเช่นกันสำหรับธุรกิจเดิมที่มีอยู่ หลายธุรกิจต้องปรับตัวอย่างมาก แต่หลายธุรกิจที่ไม่ยอมปรับตัวก็อาจต้องพ่ายแพ้แล้วล้มเลิกกิจการในที่สุด ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเทคโนโลยีดิจิทัลเรียกว่า Digital Disruption”

Digital Disruption คืออะไร?

Digital Disruption คือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดจากเทคโนโลยีดิจิทัล รูปแบบธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ แพลตฟอร์ม และนวัตกรรมต่างๆ ที่อิงเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งส่งผลกระทบหลายภาคส่วน โดยเฉพาะธุรกิจเดิม ผลิตภัณฑ์เดิม ทำให้การทำงานและการใช้งานส่วนตัวมีการเปลี่ยนแปลง และที่มีผลกระทบมากที่สุดคือมูลค่าของผลิตภัณฑ์และบริการเดิมที่มีอยู่ ทำให้ธุรกิจเดิมต้องเปลี่ยนแปลงตามให้ทันเทคโนโลยี ไม่อย่างนั้นก็อาจจะต้องเลิกกิจการได้

การสังเกตว่าสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นเป็น Digital Disruption ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งที่มีอยู่เดิมหรือไม่ ให้สังเกต 3 ข้อ ดังนี้

  • สิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นแก้ปัญหาในแบบที่ไม่เคยแก้ได้มาก่อน เช่น บริการเรียกรถผ่านแอพพลิเคชั่น บริการชมภาพยนตร์บนสตรีมมิ่ง
  • เกิดตลาดใหม่ อย่างการเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่อาจไม่เคยรู้ว่ามีความต้องการนี้มาก่อน เช่น แอพพลิเคชั่นหาคนร่วมรับประทานอาหารที่ร้านต่างๆ สำหรับคนที่ไม่มีเพื่อนไปกินอาหารที่เหมาะกับการกินหลายคน เช่น ชาบู หมูกระทะ
  • เกิดขึ้นด้วยพื้นฐานของดิจิทัล ถ้าเกิดขึ้นโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับดิจิทัลก็ไม่ถือว่าเป็น Digital Disruption

Digital Disruption ส่งผลต่อธุรกิจอย่างไร?

  • ธุรกิจต้องมีการปรับตัวโดยอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น Cloud, Big Data, Robotics, Machine Learning, AI และอื่นๆ
  • ผู้นำองค์กรต้องมีวิสัยทัศน์ที่ดี และเข้าใจว่าต่อให้เป็นองค์กรใหญ่ ก็ใช่ว่าจะไม่แพ้องค์กรขนาดเล็กที่มีวิสัยทัศน์ดีกว่า ปรับตัวกับเทคโนโลยีได้ดีกว่า เพราะการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน อาศัยความเร็วเป็นสำคัญ
  • ต้องปรับตัวตามผู้บริโภคมากขึ้น เพราะการมาของเทคโนโลยีอย่างสมาร์ทโฟนทำให้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลาทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป การรับข่าวสาร หาข้อมูล ก็สามารถทำได้ง่ายขึ้น การโฆษณาที่เป็นการสื่อสารทางเดียวผ่านโทรทัศน์ วิทยุ จึงได้ผลยากกว่าสมัยก่อน

ตัวอย่าง Digital Disruption

ตัวอย่าง1: กล้องฟิล์มที่ถูกกล้องดิจิทัลเข้ามาแทนที่

เมื่อเทคโนโลยีกล้องดิจิทัลเกิดขึ้น การถ่ายรูป การเชื่อมต่อและย้ายข้อมูลทำได้สะดวกสบายขึ้น ทำให้กล้องฟิล์มที่ได้รูปช้ากว่า ขนย้ายข้อมูลสะดวกน้อยกว่า เริ่มไม่เป็นที่นิยม ซึ่งในช่วงที่กล้องดิจิทัลเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ๆ แบรนด์กล้องฟิล์มก็เริ่มปรับตัวออกผลิตภัณฑ์กล้องดิจิทัลมาตีตลาดมากขึ้น เช่น แบรนด์ Sony และ Canon ขณะที่แบรนด์ Kodak ยังคงยืนหยัดด้วยวิธีการแบบเดิม จนสุดท้ายทางแบรนด์ก็ต้องประกาศล้มละลายเมื่อปี 2012 ทีผ่านมา

ตัวอย่าง2: การขายของออนไลน์ที่ทำให้ร้านค้าต้องปรับตัว

ข้อนี้เป็นอีกตัวอย่างที่ดีของ Digital Disruption เพราะยุคนี้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมมาซื้อของออนไลน์กันมากขึ้น เพราะสามารถเลือกซื้อได้ทุกที่ทุกเวลาเพียงมีอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง และยังมีของให้เลือกมากมาย เช่น eBay, Amazon, Lazada, Shopee เป็นต้น ทำให้ร้านค้าต่างๆ ต้องทยอยปรับตัวมาขายของออนไลน์ร่วมกับการขายของหน้าร้าน หรือบางร้านถึงขั้นเปลี่ยนไปขายของออนไลน์อย่างเดียวเลยก็มี

ถึงแม้ว่า Digital Disruption จะเป็นสิ่งที่สร้างผลกระทบและความเสียหายต่อธุรกิจหลายอย่าง แต่ขณะเดียวกัน ก็ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ ขึ้นมา เช่น การขายของออนไลน์ การเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่าง AirBnB การขายสิทธิสมาชิกการดูหนัง ฟังเพลง แบบรายเดือนผ่านแอพพลิเคชั่น เช่น Apple Music, Netflix และ iflix เป็นต้น

การค้า ออนไลน์ที่ได้รับ ผลกระทบ จากเทคโนโลยีดิจิทัล

About ThaiBussinessSearch

The admin and author of ThaiBusinessSearch.com

Previous Next