ปัญหาในการใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร

การใช้ภาษา คือ การนำภาษามาใช้เพื่อสื่อความหรือสื่อสาร การสื่อความหรือสื่อสารมีผู้เกี่ยวข้องกันสองฝ่ายคือ ผู้ส่งความ กับ ผู้รับความ หรือ ผู้ส่งสาร กับ ผู้รับสาร

ผู้ส่งความหรือผู้ส่งสารใช้การพูดกับการเขียนเป็นเครื่องมือ ส่วนผู้รับความหรือผู้รับสารใช้การฟังและการอ่านเป็นเครื่องมือ

การใช้ภาษาจะมีประสิทธิภาพได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายเข้าใจความหรือสารได้ตรงตามความต้องการ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีข้อบกพร่องในการใช้เครื่องมือของตน การสื่อความหรือสื่อสารนั้นย่อมมีปัญหา

มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความพร้อมที่จะ เรียนรู้ และ เลียนแบบ ภาษา ไม่มีเด็กคนใดที่เกิดมาก็สามารถที่จะพูดได้ทันที มีแต่ความสามารถที่จะรับรู้ข้อมูลทางด้านภาษาจากรอบตัวเข้ามา แล้ววิเคราะห์หาหลักว่าภาษาที่ได้รับมานั้นมีลักษณะอย่างไร ถ้าจะสร้างเองจะต้องทำอย่างไร เมื่อรู้หลักแล้วก็มีการจดจำและเลียนแบบข้อมูลที่ได้รับไปเรื่อยๆ

“เป็นที่ยอมรับกันว่า เมื่อเด็กอายุ 5 ขวบ แต่ละคนจะสามารถพูดภาษาพื้น
เมืองได้ดี (ทั้งนี้รวมทั้งการฟังด้วย) คือ ออกเสียงได้ชัดเจนและพูดถูกต้อง
ตามหลักไวยากรณ์ของภาษานั้น ๆ แต่คำศัพท์ที่รู้อาจจะมีจำนวนจำกัด ส่วน
การเขียนการอ่านนั้นจะต้องเรียนกันอย่างจริงจัง ส่วนใหญ่ก็เรียนจากโรง
เรียน…”

(วิจินตน์ ภาณุพงศ์ ๒๕๔๐๔)

กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง ที่เข้ามาพูดจาด้วยนั้นช่วยให้ตัว
อย่างประโยค และช่วยเพิ่มคำให้แก่พจนานุกรมในหัวของเด็ก เด็กไทยไปเติบโตเมืองฝรั่ง ได้ข้อมูลเป็นภาษาฝรั่งก็พูดภาษาฝรั่ง เด็กฝรั่งมาเติบโตในเมืองไทย ได้ข้อมูลเป็นภาษาไทย ก็พูดภาษาไทย ถ้าได้ข้อมูลหลายภาษาในเวลาเดียวกัน เด็กคนนั้นก็จะเป็นคนพูดได้หลายภาษา

นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบแล้วว่า มนุษย์เท่านั้นที่มีความสามารถในการควบ
คุมกล่องเสียง ลิ้น และปากให้สร้างเสียงต่างๆได้อย่างชัดเจน สัตว์ไม่มีความสามารถในด้านนี้ นอกจากนี้มันก็ยังไร้ความสามารถในด้านไวยากรณ์และการสร้างประโยคอีกด้วย จากการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยชาวเยอรมันได้ค้นพบว่า มนุษย์เท่านั้นที่มีจีน(gene) พิเศษที่ทำให้มีพรสวรรค์ในด้านภาษา (The Nation 2002: 11A)

โครงสร้างของประโยคนั้นมีอยู่ไม่มาก มนุษย์สามารถรับรู้และสร้างประโยคทุกชนิดในภาษาของตนได้ในเวลาไม่นานนัก แต่ข้อมูลทางด้านคำนั้นมีไม่เท่ากัน แล้วแต่ประสบการณ์ของแต่ละบุคคลประสบการณ์ที่ว่านี้ หมายรวมทั้งครอบครัว การศึกษา สังคม ฯลฯ

เมื่อก่อนนี้มนุษย์รับข้อมูลโดยธรรมชาติ กล่าวคือรับจากครอบครัว โรงเรียน
และสังคมในวงแคบเท่านั้น แต่ทุกวันนี้ข้อมูลเข้ามาจากแหล่งต่างๆมากมาย ทั้งโดยธรรมชาติ และผิดธรรมชาติ ความสามารถในการเลียนแบบของมนุษย์ก็ได้ทำงานอย่างเต็มที่ คำที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ไม่เคยสั่งสอน เด็กก็สามารถที่จะใช้ได้ แต่จะเข้าใจหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตัวอย่าง เช่น เด็กชายวัย ๓-๔ ขวบ เวลาอยู่ในสวนสนุก ก็สามารถจะพูดได้ว่า “เอขอ ควบคุมยานอวกาศ นะฮับ” หรือ เด็กหญิงวัยเดียวกันก็อาจจะพูดกับคุณยายได้ว่า “จุนยายจายก มรดก ให้มีไม้คะ” ซึ่งพอจะเดากันได้ว่าคงจะได้มาจากภาพยนตร์ โทรทัศน์ หรือ การ์ตูน นั่นเอง หรือเด็กบางคนก็อาจจะพูดได้ว่า “ฮ่วย แซบอีหลี” ทั้งๆที่พ่อแม่ก็พูดแบบนั้นไม่เป็น ซึ่งก็คงจะเดากันได้ไม่ยากว่าเอามาจากไหน


นี่คือธรรมชาติของชีวิตปัจจุบันที่แหล่งข้อมูลมีมากกว่าสมัยก่อน ครอบครัว
และโรงเรียนไม่ใช่สถาบันเพียง ๒ สถาบันที่จะเป็นแหล่งข้อมูลอีกต่อไป


มีรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งนำเด็กอายุไม่เกิน ๘ ขวบมาถามความหมาย
ของคำ คำตอบของเด็ก ๆ เป็นข้อพิสูจน์เรื่องการมีข้อมูลไม่เท่ากันได้เป็นอย่างดี เช่นเด็กบางคนให้ความหมายของ “ดาวเทียม” ว่า “ดาวใส่กระเทียม” หรือ ให้ความหมายของ “เด็กแก่แดด” ว่า “เด็กที่อยู่ในแดดนาน ๆ”

ในปัจจุบันภาษาในโลกนี้มีมากกว่า ๓,๐๐๐ ภาษา นักภาษาศาสตร์ได้
พยายามจัดหมวดหมู่ภาษาเหล่านี้โดยใช้หลักเกณฑ์ต่าง ๆ มากมาย เช่น ลักษณะโครงสร้าง สายกำเนิด และคลื่นภาษา เพื่อแสดงให้เห็นความเหมือน ความแตกต่างและความสัมพันธ์ของภาษาต่าง ๆ เหล่านั้น


อย่างไรก็ตามภาษาทุกภาษาในโลกนี้ ถ้ายังมีผู้ใช้กันอยู่ย่อมต้องมีความ
เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา ภาษาที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นอีกเลย ก็คือภาษาที่ตายแล้ว ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ใช้ภาษานั้น ๆ ตายหมดแล้วนั่นเอง นอกจากจะมีความเปลี่ยนแปลงในตัวเองแล้ว ภาษาที่ยังไม่ตายก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับภาษาต่างประเทศด้วย หากผู้ใช้ภาษานั้น ๆ มีการติดต่อกับผู้ที่ใช้ภาษาอื่น ๆ


ภาษาไทยก็อยู่ในลักษณะนี้เช่นกัน แต่เดิมมาเราก็มีความเกี่ยวข้องกับ
ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเท่านั้น เช่น ทางการเมือง มีความเกี่ยวข้องกับมอญ เขมร ญวน พม่า มลายู ทางวัฒนธรรมมีความเกี่ยวข้องกับ จีน อินเดีย แต่ในปัจจุบันนี้ เรามีความเกี่ยวข้องกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น ทางการค้า มีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ฯลฯ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐอเมริกา และ ญี่ปุ่น เป็นต้น


ความเกี่ยวข้องในทางภาษาที่มองเห็นได้ชัดก็คือการมีคำยืมจากภาษาต่าง
ประเทศ ถ้าเป็นคำที่ยืมกันมานานแล้วผู้ใช้ภาษาในปัจจุบันก็อาจจะไม่รู้สึกว่าเป็นคำที่มีที่มาจากภาษาต่างประเทศเช่น บาป บุญ คุณ โทษ จมูก เก้าอี้ ถ้าเป็นคำใหม่ก็อาจจะไม่คุ้นหูในตอนแรก แต่เมื่อใช้ไปนานเข้าก็สื่อกันได้ เช่น โอเค โหวต เคลียร์ เบลอร์ ซีเรียส คอมพิวเตอร์ คำบางคำอาจจะใหม่มากเกินไปสำหรับคนทั่วไป จึงอาจจะสื่อความไม่ได้ เช่น “คนที่ทำเรื่องนี้ต้องการจะดิสเครดิตเขา” แต่ไม่นานก็คงจะสื่อกันรู้เรื่องถ้าได้ยินและเห็นตัวอย่างของการกระทำดังว่ามากขึ้น

*1หนังสือ The Cambridge Encyclopedia of Language ของ David Crystal ให้ข้อมูลไว้ว่า ตำราเล่มต่าง ๆ ให้จำนวนภาษาไว้ต่าง ๆ กัน อาจจะมีตั้งแต่ ๓๐๐๐ ถึง ๑๐,๐๐๐ ภาษา ทั้งภาษาที่ยังใช้กันอยู่และภาษาที่ตายไปแล้ว

การสื่อสารอันฉับไวในปัจจุบันมีส่วนช่วยทำให้ผู้คนคุ้นเคยกับคำใหม่ ๆ และ
สำนวนใหม่ ๆ ได้เร็วยิ่งขึ้น ประโยคอย่าง เรื่องนี้ถูกตรวจสอบโดยละเอียดแล้วโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายเรา” กับ “อาหารนี้ง่ายต่อการกิน” แม้จะฟังชัดหูในตอนนี้ แต่ต่อไปก็อาจจะใช้กันไปทั่ว เพราะได้ยินอยู่ทุกวันจนเกิดความเคยชิน ใครจะรู้ได้ว่าเมื่อตอนที่คนไทยหัดใช้คำว่า จมูก กับ เก้าอี้ใหม่ ๆ นั้น อาจจะมีคนบางกลุ่มไม่พอใจก็ได้


ระยะทางและเวลาไม่ใช่อุปสรรคขวางกั้นความกลมกลืนของภาษาดังในอดีตอีกต่อไปแล้ว โลกกำลังจะกลายเป็นโลกเดียวกันด้วยการสื่อสารอันสะดวกและรวดเร็วปานใด ภาษาก็อาจจะกลายเป็นภาษาเดียวกันไปได้อย่างรวดเร็วปานนั้น จาก ๓,000 ภาษา อาจจะกลมกลืนกันไปจนเหลือเพียงไม่กี่ภาษา หรืออาจจะเหลือเพียงภาษาเดียวก็ได้


สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงก็คือไม่มีสิ่งที่เรียกว่าภาษาบริสุทธิ์ในโลกนี้ ภาษาทุก
ภาษาต้องมีการเปลี่ยนแปลง ภาษาทุกภาษาต่างก็ได้รับอิทธิพลและต้องปนกับภาษาอื่น ๆ บ้าง (สุวิไล เปรมศรีรัตน์ ๒๕๓๑-๒๒๔)


แม้จะยอมรับกันว่าภาษาย่อมมีการเปลี่ยนแปลง แต่ภาษาส่วนใหญ่ในโลกก็มี
สิ่งที่เรียกว่า “ภาษามาตรฐาน (Standard language) และมีปัญหาการใช้ภาษาเกิดขึ้นด้วย ทั้งนี้เพราะสมาชิกบางส่วนในสังคมใช้ภาษาผิดไปจากมาตรฐานที่สมมติกันขึ้นในสังคมนั้นเอง


ภาษาไทยมาตรฐานหรือภาษาราชการ (official language) ของประเทศไทย
หมายถึงภาษาไทยรูปแบบหนึ่งซึ่งยอมรับใช้กันในการจัดพิมพ์และเขียน เป็นรูปแบบของภาษาที่สอนกันในโรงเรียน นอกจากนี้ยังเป็นภาษาที่ผู้มีการศึกษาใช้ และเป็นภาษาที่ใช้ในการรายงานข่าวทางวิทยุ โทรทัศน์และในสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งมีลักษณะเดียวกันนี้ด้วย ภาษาไทยมาตรฐานในปัจจุบันคือภาษาไทยกรุงเทพฯ ซึ่งนับว่าเป็นภาษาถิ่นภาษาหนึ่ง


อย่างไรก็ตามภาษาไทยมาตรฐานก็เป็นเพียงแบบหนึ่งของภาษาไทยซึ่งมีอยู่
มากมายหลายแบบ เช่น ภาษาถิ่นภาคพายัพ ภาษาถิ่นภาคอีสาน ภาษาถิ่นภาคใต้เพียงแต่ว่าภาษาไทยมาตรฐานนั้นมีความสำคัญกว่าแบบอื่นๆ ในแง่สังคมเท่านั้น

หากจะกล่าวในเชิงภาษาศาสตร์แล้ว ภาษาไทยมาตรฐานก็ไม่ได้ดีไปกว่าภาษาไทยแบบอื่นแต่ประการใด ภาษาทุกภาษาและภาษาเฉพาะกลุ่มทุกภาษาต่างก็มีระบบดีเท่า ๆ กัน ในแง่ของระบบทางภาษาศาสตร์ภาษาทุกรูปแบบเป็นระบบที่โครงสร้างความซับซ้อนและมีกฏเกณฑ์เพียงพอกับความต้องการของผู้ใช้ภาษานั้น ๆ ทั้งนี้เพราะไม่มีคุณสมบัติใด ๆ เลยของภาษาที่ไม่เป็นมาตรฐานอันจะทำให้ภาษานั้น ๆ ด้อยกว่าภาษาที่เป็นมาตรฐาน

ปัญหาการใช้ภาษาไทยเกิดจากอะไร

ปัญหาการใช้คำในภาษาไทยเกิดขึ้นมาเป็นระยะยาวนานหลายสิบปี แต่ในปัจจุบันปัญหานี้ยังเป็นปัญหาที่ทวี ความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีปัจจัยที่สำคัญก็คือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เราพบ เห็นการใช้คำในภาษาไทยที่ผิดๆจนเกิดความคุ้นชิน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่มีการใช้ภาษาวิบัติกันอย่างแพร่หลาย นอกจาก ...

ปัญหาการใช้ภาษาไทยในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร

ภาษาไทยเป็นทั้งวัฒนธรรม เอกลักษณ์ และความภูมิใจของคนไทย แต่ปัจจุบันคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ใช้ภาษาไทยได้ไม่ดีพอ ไม่รู้ว่าพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ในภาษาไทยมีกี่รูป กี่เสียง และยังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ยังพูดภาษาไทยผิดบ้าง เขียนผิดบ้าง หรือบ้างก็จับใจความผิด ฟังผิด อ่านผิด บ้างก็พูดภาษาไทยคำภาษาอังกฤษคำ จนเกิดปัญหาการสื่อสาร ...

การใช้ภาษาไม่ถูกต้องมีผลอย่างไรต่อผู้ใช้

การใช้ภาษาผิดระดับย่อมก่อให้เกิดอุปสรรคในการสื่อสาร ผู้รับสารอาจเห็นว่าผู้ส่งสารไม่รู้จักกาลเทศะขาด ความจริงใจ เสแสร้ง การแบ่งภาษาออกเป็นระดับต่างๆ นั้นมิได้แบ่งกันอย่างเด็ดขาด ภาษาระดับหนึ่งอาจเหลื่อมล ้า กับภาษาอีกระดับหนึ่ง หรือใช้ปะปนกันได้ การพิจารณาระดับภาษาระดับภาษาอาจต้องพิจารณาจากข้อความโดยรวม ในการสื่อสารนั้น

การใช้ภาษาในการสื่อสารมีอะไรบ้าง

ภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1.วัจนภาษา คือ ภาษาที่ใช้ถ้อยคำ ตัวอักษรเป็นสื่อการติดต่อ เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน 2.อวัจนภาษา คือ ภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคำเป็นสื่อ แต่ใช้สีหน้า กิริยา ท่าทาง และสัญลักษณ์ต่างๆ เป็นสื่อการติดต่อ เช่น ภาษาใบ้ ภาษาคนตาบอด สัญญาณต่างๆ