สาราณียธรรม 6 ในพระไตรปิฎก

            6. ทิฏฐิสามัญญตา หมายถึง มีทิฏฐิดีงามเสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง คือ มีความเห็นชอบร่วมกัน ในข้อที่เป็นหลักการสำคัญที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้น สิ้นทุกข์ หรือขจัดปัญหา (to be endowed with right views along with one’s fellows, openly and in private)

Click to rate this post!

[Total: 2979 Average: 5]

ในหน้านี้

สาราณียธรรม

สาราณียธรรม 

          ธรรมะคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน เป็นคุณธรรมที่ทำให้คนเราไม่เห็นแก่ตัว แต่จะคิดถึงคนอื่น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น เข้าใจคนอื่นมากขึ้น ระลึกถึงกัน ผูกพันเชื่อมโยงบุคคลไว้ด้วยน้ำใจ ความสามัคคีเป็นบ่อเกิดแห่งความสำเร็จทั้งปวง แหล่งพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะสามารถสร้างสรรค์ความเจริญ ก้าวหน้าและความมั่นคงให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งสมาชิกในสังคมทุกๆคน ควรที่จะตระหนัก เอาใจใส่ และร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นให้ได้มากที่สุด

 

สาราณียธรรม 6 ในพระไตรปิฎก

 

สาราณียธรรม 6

           หลักธรรมในการแก้ปัญหาความขัดแย้งของสังคมไทย 6 ประการ ที่จะสามารถนำไปใช้ได้อยู่ตลอดเวลา ในทางพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสหลักธรรมอันจะเป็นแนวทางในการเสริมสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในสังคมเอาไว้ 6 ประการด้วยกัน ซึ่งอยู่ในหมวดธรรมที่เรียกว่า “สาราณียธรรม 6” มีความหมายว่า หลักธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกัน ทำให้เป็นที่รัก ทำให้เป็นที่เคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน เพื่อความไม่วิวาทกัน ความสามัคคีกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งในที่ทำงาน ในสังคม และในชุมชน ตลอดจนในประเทศชาติ

 

สาราณียธรรม คือ

           เสริมสร้างความรู้สึกที่ดีให้เกิดขึ้นต่อกันและกันอยู่เสมอในยามที่ระลึกถึงกัน ซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความสามัคคีมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้เกิดขึ้นด้วย เป็นในยามที่ระลึกถึงกัน ซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความสามัคคี ความมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้สามารถเกิดขึ้นได้ด้วย หากสังคมใดต้องการที่จะเสริมสร้างความสามัคคีและความเป็นปึกแผ่นให้เกิดขึ้น

 

          ต้องควรที่จะต้องนำเอาหลักธรรมทั้ง 6 ประการ คือ เมตตากายกรรม, เมตตาวจีกรรม, เมตตามโนกรรม,สาธารณโภคี, สีลสามัญญตา, ทิฏฐิสามัญญตา

 

          ให้นำหลักธรรมทั้ง 6 ประการไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันอยู่เสมอๆ หากสังคมใดต้องการที่จะเสริมสร้างความสามัคคีและความเป็นปึกแผ่นให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วอย่างเป็นรูปธรรม จึงต้องนำเอาหลักธรรมธรรมไปใช้ ประกอบด้วย

  1. เมตตากายกรรม หมายถึง การกระทำต่อกันด้วยเมตตา
  2. เมตตาวจีกรรม หมายถึง การพูดแต่สิ่งที่ดีงาม พูดกันด้วยความรักความปรารถนาดี
  3. เมตตามโนกรรม คิดต่อกันด้วยเมตตา หมายถึง จะคิดสิ่งใดก็ให้คิดในสิ่งที่ดี และคิดด้วยความปรารถนาดีต่อผู้อื่น
  4. สาธารณโภคี หมายถึง การรู้จักแบ่งปันผลประโยชน์กันด้วยความยุติธรรม
  5. ทิฏฐิสามัญญตา หมายถึง ความเสมอภาคกันทางความคิด และเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น

สาราณียธรรม 6 ในพระไตรปิฎก

 

เมตตากายกรรม หมายถึง การกระทำต่อกันด้วยเมตตา

               ทำสิ่งใดก็ทำด้วยความปรารถนาดีต่อผู้อื่น เช่น การแสดงไมตรีจิต และหวังดีต่อมิตรสหาย เพื่อนร่วมงาน บุคคลรอบข้าง โดยช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ ด้วยความเต็มอกเต็มใจ พร้อมกับประพฤติตนอย่างสุภาพ สม่ำเสมอ ให้ความเคารพ และจริงใจต่อผู้อื่นแม้ในยามหน้า และลับหลัง 

 

               การทำความดีต่อกัน สนับสนุนช่วยเหลือกันทางด้านกำลังกายมีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่เบียดเบียนหรือรังแกกัน ไม่ทำร้ายกัน  ไม่คิดอคติลำเอียง ก่อความพยาบาท สร้างความโกรธแค้นเคืองกัน ไม่มีความอิจฉาริษยา

 

               การตั้งกายกรรมประกอบด้วย เมตตา ทั้งต่อหน้าและลับหลัง จะทำแต่ในสิ่งที่เป็นความดีต่อกัน ช่วยเหลือส่งเสริมกันด้านกำลังกาย มีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่เบียดเบียนรังแกกัน ไม่ทำร้ายให้ได้รับความทุกขเวทนา ทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้องต่อกัน มีความเสียสละต่อผู้อื่น ช่วยเหลือขวนขวายการงานในสิ่งที่ตนเองสามารถกระทำได้ มีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น รู้จักปกป้องช่วยเหลือบุคคลอื่นเมื่อประสบภัย จะดำรงตนอยู่ในศีลธรรมสำรวมระวังในอกุศลกรรมความไม่ดีทางกาย และไม่ใช้กำลังเบียดเบียนผู้อื่นให้ได้รับความทุกข์เดือดร้อนไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆก็ตาม ให้ได้รับความทุกขเวทนา ทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้องต่อกันอยู่ตลอดเวลา     

 

เมตตาวจีกรรม หมายถึง การพูดแต่สิ่งที่ดีงาม พูดกันด้วยความรักความปรารถนาดี

            รู้จักการพูดให้กำลังใจกันและกัน ในยามที่มีใครต้องพบกับความทุกข์ความผิดหวังหรือความเศร้าหมองต่างๆ โดยที่ไม่พูดจาซ้ำเติมกันในยามที่มีใครต้องหกล้มลง ไม่นินทาว่าร้ายทั้งต่อหน้าและลับหลังพูดแนะนำในสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ พูดอย่างใดก็ทำอย่างนั้น ไม่โกหกมดเท็จ   จะพูดอะไรก็พูดด้วยความปรารถนาดีต่อกัน เช่น การให้ความรู้ หรือคำแนะนำที่ดีต่อผู้อื่น กล่าววาจาสุภาพ พูดจริง ไม่พูดเพื่อผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่ตนเองฝ่ายเดียว

 

            การตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เลือกใช้คำพูดที่ออกมาแต่คำพูดที่ดีงาม ด้วยความรักปรารถนาดี ต้องพูดให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ในยามที่ต้องพบกับความทุกข์หรือความผิดหวังหรือความเศร้าหมอง ไม่พูดจาซ้ำเติมหรือถากถางกันในยามที่มีใคร โดยเฉพาะคู่อริ ฝ่ายตรงข้ามต้องหกล้ม ไม่นินทาว่าร้ายทั้งต่อหน้าและลับหลัง ให้คำแนะนำในสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ พูดด้วยความจริงใจต่อบุคคลอื่น ไม่พูดส่อเสียดบุคคลอื่นให้เกิดความเจ็บช้ำน้ำใจ ไม่ดูถูกคนที่ด้อยกว่าตนเองและไม่พูดให้คนอื่นเกิดความเข้าใจผิดจนทะเลาะกัน พูดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างเดียวเท่านั้น                              

เมตตามโนกรรม คิดต่อกันด้วยเมตตา หมายถึง จะคิดสิ่งใดก็ให้คิดในสิ่งที่ดี และคิดด้วยความปรารถนาดีต่อผู้อื่น

เช่น ตั้งจิตปรารถนาที่จะทำคุณงามความดี คิดมั่นในการสร้างบุญกุศล และมีจิตเมตตาช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความหวังดี

 

               การคิดดี การมองกันในแง่ดีมีความหวังดีและปรารถนาดีต่อกัน รักและเมตตาต่อกันคิดแต่ในสิ่งที่สร้างสรรค์ต่อกัน ไม่อิจฉาริษยา ไม่คิดอคติ ไม่พยาบาท ไม่โกรธแค้นเคืองกัน รู้จักให้โอกาสและให้อภัยต่อกันและกันอยู่เสมอ                                                                                  

 

             การตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งต่อหน้าและลับหลัง หมายถึง ความรู้สึกในจิตใจที่มีแต่ความคิดดีๆ การมองกันในเรื่องดี มีความหวังดี ปรารถนาดี รักและเมตตาต่อกัน คิดในสิ่งที่สร้างสรรค์ มองด้านบวกต่อกัน ให้โอกาสและให้อภัยต่อกันทุกเรื่องไม่ว่าจะหนักเบาแค่ไหน ความคิดปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุขและเข้าใจผู้อื่น ไม่เอาความรู้สึกนึกคิดของตนเป็นใหญ่ มีน้ำใจต่อบุคคลอื่น แสดงถึงความความอดทนอดกลั้นต่อความอาฆาตมาดร้ายบุคคลอื่นที่มีต่อตนเอง

 

สาธารณโภคี หมายถึง การรู้จักแบ่งปันผลประโยชน์กันด้วยความยุติธรรม

               ช่วยเหลือกัน ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ไม่เอารัดเอาเปรียบและมีความเสมอภาคต่อกัน เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกันอยู่เสมอ  แบ่งปันสิ่งที่ได้มาโดยชอบธรรม แบ่งปันลาภผลที่ร่วมกัน หาร่วมกันทำโดยยุติธรรมแม้สิ่งของที่ได้มาจะน้อย แต่ก็แจกจ่ายให้ได้มีส่วนร่วมใช้สอยบริโภคทั่วถึงกันนั้น คือ การร่วมสุข ร่วมทุกข์กัน

 

          การแบ่งปันลาภที่ได้มา รู้จักแบ่งปันผลประโยชน์กันด้วยความยุติธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบกันช่วยเหลือกัน และมีความเสมอภาคต่อกัน เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกันอยู่เสมอ รู้จักแบ่งปัน บริจาคช่วยเหลือผู้ยากไร้ผู้ด้อยโอกาสในสังคม เสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อความผาสุกของคนหมู่มากในประเทศ

 

สีลสามัญญตา หมายถึง การปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อบังคับหรือวินัยต่างๆ อย่างเดียวกัน

               เคารพในสิทธิเสรีภาพของบุคคลไม่ก้าวก่ายหน้าที่กัน ไม่อ้างอำนาจบาตรใหญ่ ไม่ถืออภิสิทธิ์ใดๆทั้งปวง  มีความประพฤติเสมอภาคกัน หมายถึง ประพฤติสุจริตในสิ่งที่ดีงามอย่างสม่ำเสมอ ประพฤติตนอย่างมีระเบียบวินัยเหมือนผู้อื่น ไม่ประพฤติตนในทางแตกแยกจนเป็นที่ขัดข้องหมองใจต่อผู้อื่นหรือเสื่อมเสียแก่หมู่คณะ

 

               การมีศีลบริสุทธิ์เสมอกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง การปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับหรือวินัยต่างๆ อย่างเดียวกันอย่างเคร่งครัด เคารพในสิทธิเสรีภาพของบุคคล ไม่ก้าวก่ายหน้าที่กัน ไม่อ้างอำนาจของตนข่มเหงรังแกผู้อื่น ไม่ถืออภิสิทธิ์ ทั้งปวง มีความเคารพต่อกฎหมาย ระเบียบวินัย มีความเกรงอกเกรงใจและให้เกียรติต่อกัน ไม่ทำกระทำการล่วงละเมิดสิทธิอันเป็นของผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ก็ตาม

 

ทิฏฐิสามัญญตา หมายถึง ความเสมอภาคกันทางความคิด และเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น

               คิดในสิ่งที่ตรงกัน ปรับมุมมองให้ตรงกัน รู้จักแสงหาจุดร่วมและสงวนไว้ซึ่งจุดต่างของกันและกันไม่ยึดถือความคิดของตนเป็นใหญ่ รู้จักยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นอยู่เสมอ การปรับความคิดความเห็นให้มีเหตุมีผลถูกต้องเหมือนกับผู้อื่น และหมู่คณะภายใต้เหตุ และผลในทางที่ดีงาม พร้อมกับเคารพเหตุผล ยึดหลักความดีงามเป็นอุดมคติมีความคิดเห็นเป็นอย่างเดียวกันอย่างสม่ำเสมอ

 

               การมีความเห็นถูกต้องดีงามทั้งต่อหน้าและลับหลัง ความคิดเห็นเป็นอย่างเดียวกัน คิดในสิ่งที่ตรงกัน ยอมรับในเหตุผล พูดจาหาข้อสรุปตรงกัน รู้จักแสงหาจุดร่วมและสงวนจุดต่างไม่ถือเอาความคิดของตนเป็นใหญ่แต่เพียงฝ่ายเดียว ยอมรับฟังความคิดของผู้อื่นที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองจะทำอะไรก็ควรปรึกษาหารือผู้ที่อยู่ร่วมกันใช้เหตุและผลร่วมกันเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมอย่างแท้จริง

 

อุบาสก ธรรม 5

           ธรรมของอุบาสกที่ดี สมบัติหรือองค์คุณของอุบาสกอย่างเยี่ยม สมบัติหรือองค์คุณของอุบาสกและอุบาสิกาอย่างเยี่ยม มี 5 ข้อ ดังนี้

  1. มีศรัทธา เป็นเบื้องต้น
  2. มีศีล อย่างน้อยตั้งตนอยู่ในศีล 5
  3. เชื่อกรรม ไม่ถือมงคลตื่นข่าว
  4. ไม่แสวงบุญนอกพระพุทธศาสนา
  5. กระทำความสนับสนุนในพระศาสนานี้ เป็นเบื้องต้น

1.มีศรัทธา เป็นเบื้องต้น

        คือ มีความเชื่อ มีความมั่นใจในพระรัตนตรัย ความเชื่อของเรานี้ต้องเป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ศรัทธางมงาย เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น

 

2.มีศีล อย่างน้อยตั้งตนอยู่ในศีล 5

       จะทำให้มีชีวิตที่ดีงาม เป็นฐานสำหรับตนเองที่จะก้าวไปสู่การปฏิบัติเบื้องสูง เพราะว่าผู้ถือศีล ๕ เป็นผู้ไม่เบียดเบียนคนอื่น แต่ดำรงชีวิตที่สุจริต

 

3.เชื่อกรรม ไม่ถือมงคลตื่นข่าว

      ต้องมุ่งหวังผลจากการกระทำและการงานที่ทำที่เป็นไปตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิใช่หวังผลจากหมอดู โชคลางและตื่นข่าว เชื่อถือต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของขลังทั้งหลาย ไม่นับถือการทรงเจ้าเข้าผี ไม่นับถือเทพเจ้าว่า เป็นที่พึ่งอันสูงสุด เป็นต้น

 

4.ไม่แสวงบุญนอกพระพุทธศาสนา

     ไม่เที่ยวแสวงบุญโดยเข้าร่วมพิธีกรรมในศาสนาอื่นด้วยความเต็มใจ เพราะคิดว่าจะได้บุญ ทั้งไม่กราบไหว้รูปเคารพของศาสนาอื่น แต่ก็ต้องไม่ล่วงเกินไม่วิจารณ์วัตถุอันเป็นที่เคารพของลัทธิศาสนาอื่นด้วย ตลอดชีวิตต้องขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา

 

5.กระทำความสนับสนุนในพระศาสนานี้ เป็นเบื้องต้น

      ขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา หมายความว่าทำการขวนขวาย ทะนุบำรุงอุปถัมภ์พระสงฆ์ และกิจการพระพุทธศาสนาที่จะทำให้พระธรรมวินัยเจริญมั่นคง

 

      ธรรมะ 5  ประการนี้ ในบาลีมีที่มาที่เรียกว่า ธรรมของอุบาสกรัตน์ ถ้าท่านผู้ใดปฏิบัติได้ครบ 5 ข้อนี้ พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า เป็นอุบาสกรัตนะ และอุบาสิการัตนะ นั้นคือ การเป็น “อุบาสกแก้ว” หรือ อุบาสกปทุม อุบาสกดอกบัวคือ มีคุณค่าสูง ดีงาม ประเสริฐ

 

สาราณียธรรม 6 หมายถึง

        หลักธรรมทั้ง 6 ประการข้างต้น เป็นหลักธรรมสำหรับการเสริมสร้างความสามัคคีและความเป็นปึกแผ่นให้เกิดขึ้นในสังคมอันจะนำมาซึ่งความสุข ความสันติความมั่นคงและความเจริญก้าวหน้าทั้งทั้งหลายทั้งปวง   สังคมที่เราอยู่ในปัจจุบันนี้คงจะมีความสงบสุขและน่าอยู่มากกว่านี้ยิ่งนัก

 

         ถ้าหากว่าคนไทยทุกคน เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน ยอมรับในความแตกต่างซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือกันให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และรู้จักการให้อภัยกันอยู่ตลอดเวลา ขอให้ทุกท่านมาร่วมมือกันพัฒนาสังคมของพวกเราให้มีความอบอุ่นและน่าอยู่ โดยการเสริมสร้างความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้เกิดขึ้นในสังคม จะได้พบกับสันติภาพและความอบอุ่นที่แต่ละคนต่างก็ปรารถนาและใฝ่ฝันหากันอยู่ตลอดมา นอกจากนี้ยังมีหลักธรรม   อธิปไตย 3 ประการ

 

สาราณียธรรม 6 ในพระไตรปิฎก

 

อธิปไตย 3

        อธิปไตย 3 ประการ หมายถึง ต้นแบบของการปกครอง ความเป็นใหญ่ อันเป็นสิทธิ์หรืออำนาจในตัวบุคคลที่จะนำมาใช้ในการดำรงชีวิต ทั้งในลักษณะของการเป็นผู้นำ ผู้ปกครอง และผู้ปฎิบัติ อันจะทำให้สังคมเจริญ และเกิดความสงบสุข

 

         เป็นคำสอนของทางพระพุทธศาสนาที่ให้สติต่อผู้ที่เป็นผู้นำอย่างดี เพราะความเป็นใหญ่นี้ให้แก่ผู้นำ อาทิ นักการเมืองหรือตัวแทนเข้าไปใช้ในการบริหารแทนตน โดยมีเป้าหมาย คือ ให้ประเทศชาติมีความสงบสุข และสังคมเกิดความร่มเย็น โดยหลักการซึ่งกำหนดหน้าที่ของผู้ปกครอง และผู้ถูกปกครองที่ดี ปรากฏอยู่ในอธิปเตยยสูตร หรือเรียก อธิปไตย 3

 

1.อัตตาธิปไตย หมายถึง ความมีตนเป็นใหญ่

       การปรารภตนเองเป็นใหญ่ หรือ การถือตนเป็นใหญ่ กระทำการโดยยึดความคิดเห็นของตนเองเป็นที่ตั้ง ซึ่งเปรียบได้กับเผด็จการ ในอำนาจ 3 ทาง

  • อำนาจบริหาร
  • อำนาจตุลาการ
  • อำนาจนิติบัญญัติ
ลักษณะผู้ไม่มีอัตตาธิปไตยที่ดี
    • การเชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป
    • สำคัญผิดในแนวคิดของตนเอง
    • ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
    • มุ่งหวังแต่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
    • หวังแต่ผลประโยชน์จากผู้อื่นเป็นหลักสำคัญ

2.โลกาธิปไตย หมายถึง ความมีโลกเป็นใหญ่

       ปรารภโลภเป็นใหญ่ หรือ การถือโลกเป็นใหญ่ กระทำการโดยยึดถือกระแสของโลกเป็นประมาณ ซึ่งเปรียบได้กับประชาธิปไตย

ลักษณะผู้ไม่มีโลกาธิปไตยที่ดี

    • เชื่อข่าวสารหรือผู้อื่นอย่างไร้เหตุผลที่มาและที่ไป
    • ขาดความรู้ ขาดประสบการณ์เรื่องประชาธิปไตย
    • หลอกลวงเพื่อหวังประโยชน์จากส่วนรวม
    • ลุ่มหลงหรืองมงายง่ายๆ
    • หลงใหลในวัตถุหรือค่านิยมที่ผิดๆ

3.ธรรมาธิปไตย หมายถึง ความมีธรรมเป็นใหญ่

       ปรารภธรรมเป็นใหญ่ หรือ การถือธรรมคือความถูกต้องเป็นใหญ่ กระทำการโดยยึดความถูกต้องเป็นหลัก ซึ่งเป็นแนวทางที่ผู้ปกครองทั้งในระบอบเผด็จการ และประชาธิปไตยจะต้องยึดถือ โดยที่ผู้ปกครองในระบอบเผด็จการจะต้องมีสติคอยกำกับ การคิด การพูด และการทำตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เหลิงและหลงในอำนาจนั้น

ลักษณะผู้ไม่มีเป็นธรรมาธิปไตยที่ดี

    • ไม่ยึดมั่นในหลักธรรมความดีงาม
    • ไม่ยึดหลักเหตุผลประกอบการพิจารณา
    • ขาดการใช้สติปัญญาสำหรับการไตร่ตรองและพิจารณา
    • ขาดความรู้ในหลักธรรมการบริหารและการทำงาน
    • เชื่อ และศรัทธาในศาสนาที่ไร้เหตุผล

 

          หากนำเพียงแบบใดแบบหนึ่งย่อมส่งผลดี และผลเสียควบคู่กัน แต่หากนำลักษณะหรือหลักการบางอย่างมารวม ประยุกต์กันเพื่อให้ได้หลักในการปกครอง สำหรับข้อปฏิบัติร่วมกัน ก็ย่อมส่งผลดี และเกิดประสิทธิภาพในการปกครองหรือการใช้ชีวิตได้มากกว่า แนวทางนี้ เรียกว่า “ทางสายกลางแห่งอธิปไตย 3”นั้นคือ

 

  • รู้จักใช้ปัญญาพิจารณา
  • มีความเด็ดขาด และเชื่อมั่นในตนเอง
  • รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
  • รู้จักตามทันข่าวสาร และเหตุการณ์ของโลก
  • ไม่เชื่อข่าวสารหรือผู้อื่นโดยง่าย และเชื่ออย่างมีเหตุมีผล
  • ใช้หลักธรรมเป็นพื้นฐานประกอบการพิจารณาตัดสินใจ
  • ปฏิบัติตามกฎ ศีลธรรม และประเพณีอันดีงามของสังคม
  • มั่นศึกษาหาความรู้อยู่เป็นนิจ

สาราณียธรรม 6 ในพระไตรปิฎก

 

สัทธรรม 3

           สัทธรรม 3 ประการ หมายถึง ธรรมอันเที่ยงแท้ ธรรมของสัตบุรุษ ธรรมอันดี ธรรมที่แท้ ธรรมของคนดีธรรมที่ดีเลิศ ธรรมเหล่านี้ เป็นคำสอนที่เที่ยงแท้ของพระพุทธเจ้าที่เป็นหลักหรือแก่นของพระพุทธศาสนา ซึ่งมีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนา ตราบใดที่พระสัทธรรมยังดำรงอยู่ พระพุทธศาสนาก็ยังคงดำรงอยู่และถือเป็นแก่นพุทธศาสนา 3 ประการที่ถูกต้อง

 

         พระพุทธพจน์หรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงได้ทรงเทศนา และได้บัญญัติไว้ในพระธรรม และพระวินัย เพื่อให้เป็นแนวทาง และหลักปฏิบัติของภิกษุ ภิกษุณี และคฤหัสถ์ทั้งหลาย อันเพื่อให้สาวกทั้งหลายเข้าใจในหลักแก่นแท้ของพระธรรม อันนำไปสู่การปฏิบัติ และยังผลให้เกิดขึ้นด้วยความสุข และการพ้นทุกข์

 

พระสัทธรรม 3 ประการ

1.ปริยัตติสัทธรรม หมายถึง คำสั่งสอนจะต้องเล่าเรียน

          พุทธพจน์ พระธรรม และพระวินัย รวมถึงเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้อง อาทิ พุทธประวัติ ประวัติพุทธสาวกต่างๆ หลักวิปัสสนากรรมฐาน และสมถกรรมฐาน เป็นต้น

พระธรรมคำสอนในส่วนที่จะต้องเล่าเรียน ได้แก่ นวังคสัตถุศาสน์ อันประกอบด้วย
    • สุตตะ ได้แก่ พระสูตรต่าง ๆ และพระวินัย
    • เคยยะ ได้แก่ พระสูตรที่มีคาถาผสม
    • เวยยากรณะ ได้แก่ ข้อความร้อยแก้วล้วน ๆ เช่น พระอภิธรรมปิฎก
    • คาถา ได้แก่ ข้อความร้อยกรองที่เป็นคาถาล้วน ๆ เช่น คาถาธรรมบท เถรคาถา
    • อุทาน ได้แก่ ข้อความที่เป็นพุทธอุทาน
    • อิติวุตตกะ ได้แก่ ข้อความที่ตรัสอุเทศแล้วแสดงนิเทศจบลงด้วยบทสรุป
    • ชาตกะ ได้แก่ ชาดกทั้งหมด
    • อัพภูตธรรม ได้แก่ พระสูตรว่าด้วยเรื่องอัศจรรย์
    • เวทัลละ ได้แก่ ข้อความถามตอบกันไปมา

การได้ศึกษาเล่าเรียน ทั้งในหลักทฤษฎีหรือหลักการต่างๆในพระธรรมคำสอนจนเข้าใจเพื่อเป็นพื้นฐานต่อไปแห่งการปฏิบัติ อันเป็นพระปริยัติสัทธรรม

 

2.ปฏิปัตติสัทธรรม หมายถึง ปฏิปทาอันจะต้องปฏิบัติ

                ที่เรียกว่า “อัฏฐังคิกมรรค” หรือ “อริยมรรคมีองค์ 8” คือ ไตรสิกขา อันประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา การนำเอาปริยัตติสัทธรรมที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาแล้วนั้น มาปฏิบัติให้ถูกต้องตามที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา เพื่อให้เกิดผลคือปฏิเวธสัทธรรม

อริยมรรคมีองค์ 8
    • สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นถูก, ความเห็นชอบ
    • สัมมาสังกัปปะ คือ ความดำริชอบ
    • สัมมาวาจา คือ แสดงออกทางวาจา พูดชอบถูกธรรม พูดมีประโยชน์ ก่อให้สามัคคี
    • สัมมากัมมันตะ คือ การงานชอบ ทำถูก
    • สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีพชอบ
    • สัมมาวายามะ คือ ความเพียรชอบ ป้องกันอกุศลที่ยังไม่เกิด ละอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
    • สัมมาสติ คือ การระลึกชอบ ระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน รู้ทั่วตัว ตามสติปัฏฐาน4 กาย เวทนา จิต ธรรม
    • สัมมาสมาธิ คือ ความตั้งมั่นชอบ ฝึกจิตให้สงบ มั่นคงในฌาน จิตสงบ มีองค์ความรู้ถูกต้อง
โดยย่ออริยมรรค 8 คือ ไตรสิกขา 3 อันประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
    • ศีลก็คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
    • สมาธิ คือ สัมมาวายามะ สัมมมาสติ สัมมาสมาธิ
    • ปัญญา คือ สัมมาทิฏฐิ และ สัมมาสังกัปปะ

การลงมือปฏิบัติ โดยการนำพื้นฐานที่ได้จากการศึกษาเล่าเรียนนั้น มาใช้กับการปฏิบัติจริงตามแนวทา หลักสำคัญที่เรียกว่า หัวใจพุทธศาสนา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา

 

3.ปฏิเวธสัทธรรม หมายถึง ผลอันจะพึงเข้าถึงหรือบรรลุด้วยการปฏิบัติ

         ผลอันเกิดขึ้นด้วยการปฏิบัติ คือ การเข้าถึง หรือ การบรรลุ ประกอบด้วย มรรค ผล และนิพพาน ได้แก่ ผลที่เกิดจากปฏิปัตติสัทธรรมคือการปฏิบัติ อันได้แก่ โลกุตตรธรรม 9 คือ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 ซึ่งเป็นผลหรือเป้าหมายอันมุ่งหวังสูงสุดของพระพุทธศาสนา ปฏิเวธสัทธรรมนี้ หรือ “อธิคมสัทธรรม”

โลกุตตรธรรม 9 คือ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 ประกอบด้วย

    1. โสดาปัตติมรรค
    2. โสดาปัตติผล
    3. สกทาคามิมรรค
    4. สกทาคามิผล
    5. อนาคามิมรรค
    6. อนาคามิผล
    7. อรหัตตมรรค
    8. อรหัตตผล
    9. นิพพาน

         ผลแห่งการปฏิบัติอันเป็นเป้าหมายปลายทางแห่งการปฏิบัติที่ทำให้เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง คือ การบรรลุ อันประกอบด้วยขั้นต่างๆ คือ มรรค ผล และนิพพาน ซึ่งขึ้นอยู่กับสติปัญญาของผู้นั้นที่จะรู้แจ้งในขั้นใด ทั้งนี้ ผลที่เกิดขึ้นอาจเกิดผลปรากฏในระยะสั้น เช่น ภพนี้บรรลุได้เพียงมรรค หรือผลระยะยาว เช่น เมื่อบรรลุมรรคสะสมในหลายภพชาติจนสามารถบรรลุผล และนิพพานในภพนี้

 

หลักธรรมเกี่ยวกับความสามัคคี

            สาราณียธรรม เป็นหลักธรรมแห่งความรัก ความสามัคคี ความปรองดองเป็นหนึ่งเดียวกัน มาปรับใช้ สำหรับผู้ใดที่ได้ประพฤติปฎิบัติ ให้เกิดความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เกื้อกูลต่อกันไม่ทะเลาะวิวาทกัน อันจะเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความรักความสามัคคีกันตลอดไป ไม่ว่าอยู่ในสถานใดก็ขึ้นชื่อว่า “อยู่ให้เขารัก จากให้เขาคิดถึง” อันหมายถึงคติธรรมที่ สาราณียธรรม 6 สรุปให้เข้าใจง่ายๆ คือ ต้องประกอบด้วย

 

  • “สาธารณโภคี” คือ การกระจายผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งหากทำได้ ประชาชนจะเกิดความรักความสามัคคีและหวงแหนร่วมกันปกป้องพิทักษ์คุ้มครองผลประโยชน์ของส่วนรวม และเป็นแนวทางการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นด้วย
  • “สีลสามัญญตา” คือ การรักษาศีลเสมอกัน ทุกคนในสังคมควรเริ่มจากการรักษาศีล 5 และปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคมอย่างเคร่งครัดและเท่าเทียมกันภายใต้กฏหมาย ผู้ใดทำผิดก็ต้องได้รับโทษ สังคมจึงจะมีความสงบสุข
  • “ทิฏฐิสามัญญตา” คือ การปรับความเห็นให้เสมอกัน โดยไม่ยึดความเห็นส่วนตนเป็นหลัก แต่ใจกว้างรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย
  • “เมตตามโนกรรม” คือ การคิดถึงกันด้วยความรัก คิดถึงส่วนดีของกันและกัน
  • “เมตตาวจีกรรม” คือ การพูดจาด้วยถ้อยคำดีๆ ไม่ซ้ำเติมกัน
  • “เมตตากายกรรม” คือ การแสดงออกทางกายด้วยการงดเว้นการทำร้าย ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่เบียดเบียนสร้างความทุกข์ให้คนอื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา และเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

              สามัคคี คือพลัง กับหลักธรรม “สาราณียธรรม 6” สามารถนำพาให้มนุษย์ทุกๆคนได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข  ถ้าทุกคนยึดหลักการประพฤติปฏิบัติตามหลัก สาราณียธรรม6 สังคมไทยจะน่าอยู่ขึ้นมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน สามารถเริ่มต้นได้อย่างง่ายๆ จากตนเอง ครอบครัว ชุมชม สังคมขนาดเล็กๆ ปฏิบัติตามหลักสาธารณียธรรม6 กัน ตั้งแต่วันนี้สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เจริญเติบโตมากขึ้นในสังคมของประทศไทยได้อย่างยั่งยืนและตลอดไป

 

คำค้น : 6 คือ ๖ ข้อใดไม่ใช่ความหมายของหลักธรรม ความหมายของหลักธรรม 6 เน้นการสร้างคุณสำคัญหลายประการ ยกเว้นข้อใด 6 ใน พระ ไตรปิฎก 7 6 ข่าว

หลักสาราณียธรรม6 มีอะไรบ้าง

สาราณียธรรม หมายถึง ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึง เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ท าให้มีความ เคารพกัน ช่วยเหลือกัน และสามัคคีพร้อมเพรียงกัน มี6 อย่าง ได้แก่เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม สาธารณโภคี สีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา สารานียธรรมทั้ง 6 ข้อ เสมือนบัญญัติ6 ประการเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข สงบสุข และทาให้ ...

สาราณียธรรม 6มีประโยชน์อย่างไร

สาราณียธรรม 6 เป็นหลักธรรมที่ทําให้เกิดความเคารพกัน เป็นไปเพื่อสงเคราะห์ ช่วยเหลือกัน เพื่อไม่ทะเลาะวิวาทโต้เถียงกัน เพื่อความพร้อมเพรียงเป็นอันเดียวกัน อันจะ นําไปสู่ความสามัคคีปรองดองในการทํางาน สังคมหรือประเทศชาติ เมื่อยึดหลักสาราณีย ธรรม คือ หลักธรรมแห่งความรัก และความสามัคคีปรองดอง คิดถึงส่วนดีของกันและกัน การ ...

อานิสงส์แห่งการปฏิบัติตามสาราณียธรรมมีอะไรบ้าง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงอานิสงส์ของการที่คนในหมู่คณะหรือสังคมได้ประพฤติตามหลักสาราณียธรรม ไว้ดังนี้ 1. เป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึง 2. เป็นเครื่องกระทำให้เป็นที่รัก 3. เป็นเครื่องกระทำให้เป็นที่เคารพ

ข้อใดคือความหมายของหลักสาราณียธรรม

สาราณียธรรม - ความปรารถนาดีต่อกัน - เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน - ประยุกต์ใช้ในการสร้าง สัมพันธ์ไมตรีระหว่าง ประเทศได้ เมตตากายกรรม เมตตา เป็นมิตรทางกาย ต่อหน้าและลับหลัง หากประเทศเพื่อนบ้าน ประสบปัญหาความเดือดร้อนต่าง ๆ เช่น ความแห้งแล้ง แผ่นดินไหว น้าท่วม ก็ช่วยเหลืออย่างเต็มใจ