เชื่อว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนจำนวนไม่น้อยคงคงเคยได้ยินหรือเคยเห็นคำว่า Smart Home ผ่านตากันมาบ้าง โดยหลายคนเชื่อว่าสมาร์ทโฮมหรือบ้านอัจฉริยะเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในบ้าน ขณะที่บางส่วนมองว่าเป็นตัวช่วยด้านความปลอดภัย และเพื่อไขข้อข้องใจ Smart Home คืออะไร มีประโยชน์กับผู้ใช้งานขนาดไหน วันนี้เคทีซีพร้อมมาตอบทุกข้อสงสัย ทำความรู้จัก Smart Home บ้านอัจฉริยะคนรุ่นใหม่เป็นบ้านที่นำนวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายเข้ามาใช้ภายในบ้าน ทั้งแบบติดตั้งมากับโครงสร้างบ้านอยู่แล้ว (กรณีซื้อบ้านจัดสรร) หรือเจ้าของบ้านนำมาติดตั้งเสริมในภายหลัง โดยระบบดังกล่าวเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมและป้อนคำสั่งผ่านแอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต เพื่อควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ Smart Home เช่น สั่งเปิด-ปิดหลอดไฟภายในบ้าน เปิดใช้งานเครื่องปรับอากาศขณะเดินทางกลับบ้าน ไปจนถึงสั่งปิดเครื่องฟอกอากาศเมื่อไม่มีคนอยู่บ้าน เรียกว่า Smart Home เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้คุณควบคุมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านั้นได้ทั้งจากภายในและภายนอกบ้านได้อย่างสะดวกสบาย เปลี่ยนบ้านเป็น Smart Home มีข้อดีอย่างไร(1) เพิ่มความสะดวกสบาย เมื่ออุปกรณ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบ้านเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart Device) ที่รองรับการเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ต ทำให้คุณควบคุมการทำงานอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้านผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือได้ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรืออยู่ที่ไหนก็ตาม เรียกว่าแค่มีเสียงกริ่งดังหน้าบ้าน หลังตรวจสอบแล้วว่าใครที่อยู่หน้าประตู คุณก็สามารถเปิดประตูโดยใช้สมาร์ทโฟนได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นและไปที่ประตูด้วยตัวเอง หรือปิดใช้งานหลอดไฟตามจุดต่าง ๆ ของบ้าน เมื่อออกจากบ้านแล้วลืมปิดไฟ ถือว่าอุปกรณ์สมาร์ทโฮมเข้ามาช่วยเพิ่มความสะดวกสบายไปอีกขั้นหนึ่ง (2) ช่วยเสริมความปลอดภัย แม้หลายบ้านมีการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อเสริมความปลอดภัย เช่น กล้องวงจรปิด ระบบเซนเซอร์ตรวจจับควัน ตรวจจับขโมยที่แจ้งเตือนผ่านสมาร์ทโฟนของคุณเมื่อตรวจพบความปกติ แต่รู้ไหมว่าอุปกรณ์สมาร์ทโฮมช่วยให้คุณอุ่นใจได้มากขึ้น แม้จะอยู่ที่สำนักงานหรือระหว่างเดินทางท่องเที่ยว เมื่อมีการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น โคมไฟที่คุณสามารถเปิดใช้งานช่วงกลางคืนแม้ไม่มีคนอยู่ เพื่อให้กลุ่มมิจฉาชีพเข้าใจว่าสมาชิกในบ้านไม่ได้ไปไหน กริ่งประตูอัจฉริยะที่ช่วยคุณสามารถเฝ้าระวังประตูและรู้ว่าใครกำลังพยายามแอบดูอยู่ ระบบล็อกประตูบ้านอัตโนมัติเมื่อไม่อยู่บ้าน หรืออุปกรณ์ที่ส่งสัญญาณเตือนทันทีหากมีคนพยายามงัดเข้าบ้าน ทำให้คุณรู้ตัวไวและเตรียมรับมือได้ทัน สั่งเปิดใช้งานหุ่นยนต์ดูดฝุ่นได้ง่ายเพียงคลิกเดียว (3) ประหยัดพลังงาน แน่นอนว่าประโยชน์ของระบบ Smart Home ไม่ได้มีดีแค่สั่งการหรือควบคุมการเปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าแม้อยู่นอกบ้าน ยังเข้ามาช่วยแก้ปัญหาลืมปิดสวิตช์ไฟและแอร์ในห้องต่าง ๆ ได้อีกด้วย หากอุปกรณ์สมาร์ทโฮมของคุณตรวจสอบภายในบ้านแล้วพบว่า ลืมปิดไฟหรือแอร์ก็จะทำแจ้งเตือน จากนั้นคุณสามารถปิดได้ด้วยแอปพลิเคชันบนมือถือ นอกจากช่วยประหยัดพลังงาน ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะลืมปิดไฟอีกต่อไป อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้จึงมีเพียงบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยและบริษัทที่ร่วมทุนกับต่างชาติ ขณะที่ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ทำธุรกิจในลักษณะรับจ้างประกอบและมักประกอบธุรกิจรับเหมาช่วง (Subcontractors) จากผู้ประกอบการต่างชาติรายใหญ่ ทำให้แรงงานขาดการพัฒนาฝีมือ และการสร้างมูลค่าเพิ่มในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไม่สูงนัก โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่ม IC PCB Diodes และ Transistors นอกจากนี้ ในยุคที่โลกเข้าสู่การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างรวดเร็ว สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยในปัจจุบันอาจไม่สอดคล้องกับประเภทสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังเติบโตดีในห่วงโซ่การผลิตของโลก (Global supply chain) อาทิ Solid State Drive (SSD)[2] รวมถึง IC และ PCB บางประเภท ซึ่งใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิต Notebook Smartphone และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กอื่นๆ (Electronic gadgets) ยิ่งไปกว่านั้น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยมีการพัฒนาเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมสนับสนุนที่ล่าช้า ประกอบกับค่าจ้างแรงงานไทยที่อยู่ในระดับสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ไทยเริ่มสูญเสียศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ จีน เวียดนาม และมาเลเซีย ปี 2563 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในไทยมีผู้ผลิตจำนวนทั้งสิ้น 615 ราย (ภาพที่ 1) ประกอบด้วย (1) ผู้ผลิตรายใหญ่ (สัดส่วน 31% ของจำนวนผู้ผลิตทั้งหมด) ส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติและบริษัทร่วมทุนที่ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลก มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและเงินทุน อาทิ บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท โตชิบา เซมิคอนดัคเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท แคนนอน ไฮ-เทค (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ประกอบการไทยรายใหญ่ อาทิ บริษัท เคซีอี อินเตอร์เนชันแนล จำกัด บริษัท ธานินทร์ เอลน่า จำกัด บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) (ตารางที่ 1) ทั้งนี้ ผู้ผลิตรายใหญ่ในไทยส่วนใหญ่ผลิต IC ชิ้นส่วนประกอบ HDD/ Diodes/ Transistors อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor) Resistor และ PCB Assembly (2) ผู้ผลิตรายกลางและเล็ก (สัดส่วน 69%) มีข้อจำกัดด้านการพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง และมีอำนาจต่อรองค่อนข้างต่ำทั้งกับลูกค้าในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และผู้ผลิตวัตถุดิบ ส่วนใหญ่ผลิต PCB Assembly ตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor) Resistor ชิ้นส่วน Printer ชิ้นส่วนประกอบ HDD สายสัญญาณ เคเบิ้ล อุปกรณ์และส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สำหรับโทรศัพท์ ฯลฯ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในไทยเป็นการผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก มีสัดส่วน 90-95% ของปริมาณการผลิตทั้งหมด โดยเป็นการส่งออก HDD สัดส่วน 29.3% ของมูลค่าส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด (ข้อมูลปี 2563) รองลงมาได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบอื่นๆ 21.9% IC 19.6% อุปกรณ์กึ่งตัวนำ Transistors และ Diodes 7.0% PCB 3.6% และอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ 18.7% (ภาพที่ 2) ด้านตลาดส่งออกสำคัญของไทยได้แก่ สหรัฐอเมริกา (27.6% ของมูลค่าส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของไทย) ฮ่องกง (15.3%) อาเซียน (14.4%) สหภาพยุโรป (12.9%) จีน (10.5%) และญี่ปุ่น (8.7%) (ภาพที่ 3) สำหรับการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ มีสัดส่วน 5-10% นำไปประกอบกับชิ้นส่วนอื่นและนำไปผลิตต่อเป็นสินค้าขั้นสุดท้าย เช่น อุปกรณ์สื่อสาร อุปกรณ์ในรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและสำนักงาน เครื่องมือทางการแพทย์ และอุปกรณ์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นต้น
จากการศึกษาสถานะการแข่งขันในตลาดโลกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยปี 2562 พบว่ามูลค่าส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ของไทยมีส่วนแบ่งในตลาดโลกค่อนข้างน้อยและเติบโตลดลง เนื่องจากการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ในไทยส่วนใหญ่เป็นเพียงการรับจ้างประกอบ หรือรับเหมาช่วง (Subcontractors) ให้กับบริษัทในต่างประเทศจากข้อจำกัดที่ยังขาดเทคโนโลยีต้นน้ำซึ่งต้องลงทุนสูงในด้านการวิจัยและพัฒนา โดยผู้ผลิตในไทยที่มีการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีของตนเองมีเพียงผู้ผลิตต่างชาติรายใหญ่ไม่กี่รายที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในตลาดโลก ทำให้การผลิตอิเล็กทรอนิกส์ของไทยโดยรวมยังปรับตัวได้ค่อนข้างช้าไม่ทันกับเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว [สินค้าอิเล็กทรอนิกส์มักมีวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Product life cycle) ที่ค่อนข้างสั้น และต้องมีการผลิตแบบ Mass production เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุน] ฐานะการแข่งขันในตลาดโลกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยที่ลดลง ทำให้มีความเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติจะย้ายฐานการผลิตได้ง่าย (ภาพที่ 5) สินค้าอิเล็กทรอนิกส์แต่ละประเภทที่ผลิตในไทยมีศักยภาพในการส่งออกไปยังตลาดโลกแตกต่างกัน (ตารางที่ 2) โดยประเภทสินค้าที่สำคัญและมีมูลค่าส่งออกสูงสุด คือ HDD และ IC (สัดส่วนรวมกันคิดเป็น 50% ของมูลค่าส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของไทย) โดยเฉพาะ HDD ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ของโลก จากการย้ายฐานของบริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณการผลิตและการส่งออกส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ของไทยปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้โครงสร้างการผลิตของไทยเปลี่ยนจากส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำอย่างคีย์บอร์ด และจอภาพ มาเป็น HDD ซึ่งอาศัยเทคโนโลยีและทักษะแรงงานที่สูงขึ้น ขณะที่การผลิต IC ของไทย แม้ส่วนใหญ่จะเป็นการเข้ามาลงทุนผลิตเพื่อส่งออกของบริษัทต่างชาติ แต่ยังปรับตัวได้ช้าอาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ทั้งนี้ อุตสาหกรรม HDD และ IC ของไทยมีลักษณะความแตกต่างเชิงโครงสร้างที่สำคัญ ดังนี้
อุตสาหกรรมแผงวงจรไฟฟ้า (Integrated Circuit: IC)
สถานการณ์ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยเน้นการส่งออกเป็นหลัก โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติ ช่วงปี 2554-2562 มูลค่าส่งออก HDD และ IC ของไทยเติบโตเฉลี่ย 10.9% ต่อปี (CAGR) และหดตัว 0.5% ต่อปี (CAGR) ตามลำดับ
แนวโน้มอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยปี 2564-2566 คาดว่าจะกลับมาขยายตัว ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก (IMF คาดเศรษฐกิจโลกจะเติบโต 5.5% ในปี 2564 และ 4.2% ในปี 2565) ผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศ และความสำเร็จในการคิดค้นวัคซีน COVID-19 ซึ่งทยอยฉีดให้กับประชาชนไปแล้วในหลายประเทศทั่วโลกตั้งแต่ปลายปี 2563 น่าจะช่วยให้สถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายลงโดยลำดับ ประกอบกับ สต็อกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในระดับต่ำจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วง Lockdown ของหลายประเทศ ส่งผลให้มีการกลับมาผลิตเพื่อสะสมสต็อกมากขึ้น สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรม HDD และ IC ของไทยมีรายละเอียดดังนี้
Box 1
ปัญหาขาดแคลนแผงวงจรไฟฟ้าคาดว่าจะค่อยๆ คลี่คลายลงตั้งแต่ไตรมาส 2/2564 จากการเร่งลงทุนและขยายกำลังการผลิตของประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยี ปัญหาขาดแคลนแผงวงจรไฟฟ้า (IC) หรือ Chips ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2563 ซึ่งเป็นผลของอุปสงค์ในตลาดโลกที่เร่งตัวจาก (1) ความต้องการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากความจำเป็นที่ต้องสื่อสารทางไกลจากการทำงานและเรียนที่บ้าน ท่ามกลางมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social distancing) จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และ (2) การพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับเทคโนโลยี 5G และยานยนต์อัจฉริยะ ทำให้ความต้องการ IC เพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่ยังมีข้อจำกัดด้านอุปทานจาก (1) การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิต IC ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูงและใช้เวลาในการสร้างโรงงานใหม่/ขยายกำลังการผลิต ซึ่งมีกระบวนการที่ซับซ้อนต้องอาศัยความชำนาญและเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งแต่การสกัดซิลิกอน ไปจนถึงขั้นตอนการผลิตเวเฟอร์และผลิตเซมิคอนดักเตอร์ประเภทต่างๆ (2) ผู้ผลิตที่มีศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีและต้นทุนการผลิตยังมีจำนวนไม่มากนัก โดยกระจุกตัวอยู่กับผู้ผลิตรายใหญ่เพียง 2 ราย ได้แก่ Taiwan Semiconductor Manufacturing (TSMC) สัญชาติไต้หวัน ส่วนแบ่งตลาด 54% ของมูลค่าตลาด IC โลก และ GLOBAL FOUNDRIES สัญชาติสหรัฐฯ ส่วนแบ่งตลาด 11% (BottomLiner 2016) และ (3) ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และผู้ผลิตรถยนต์บางรายเริ่มกักตุน IC เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนชิ้นส่วนสำคัญ |