เมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างฉันได้มีโอกาสไปเรียนถึง 4 ประเทศ (นิวซีแลนด์,ญี่ปุ่น,อังกฤษ,และจีน) ก่อนอื่นเลย ขอแนะนำตัวนะคะ เราชื่อ ‘เช้า’ (ที่มาจาก กระเช้า) อยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ ชอบอ่านๆเขียนๆ อยู่ดีดีก็คิดว่าเราน่าจะมาเล่าเรื่องที่เราได้มีโอกาสไปเรียนต่างประเทศให้คนที่สนใจได้อ่านเป็นวิทยาทาน โดยเราจะพยายามเล่าตั้งแต่การสมัครเรียน ค่าเล่าเรียน ชีวิตในต่างแดน ฯลฯ
เลยค่ะ จะเริ่มตั้งแต่ไฮสคูลที่นิวซีแลนด์ ปริญญาตรีที่ญี่ปุ่นและอังกฤษ และเรียนภาษาที่ประเทศจีนกับประเทศออสเตรเลียค่ะ ในวัยเด็กของเรา เราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าในชีวิตนี้จะได้มีโอกาสไปเรียนที่ต่างประเทศกับเขาบ้าง เราเรียนโรงเรียนไทยมาตลอด ตอนอนุบาลเราเรียนที่อนุบาลยุคลธร ประถมถึงมัธยมเรียนที่โรงเรียนเอกชนย่านบางนา ไม่เคยคิดเลยว่าชาตินี้จะได้โกอินเตอร์กับเขาเลย จนเมื่อช่วงมัธยมโรงเรียนของเราประกาศว่าจะให้ทุน50% เป็นทุนลดราคาครึ่งนึงจากค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการไปเรียนซัมเมอร์ที่ประเทศออสเตรเลียเป็นเวลา 1 เดือน โดยนักเรียนที่สอบผ่านข้อสอบภาษาอังกฤษ และสัมภาษณ์ก็จะได้ทุนลดราคานี้ ซึ่งแน่นอนเราได้ทุนนั้นมา (เราค่อนข้างถนัดวิขาภาษาอังกฤษค่ะ จากการดูภาพยนต์แบบไม่อ่านซับฯ ไว้ว่างๆมาแชร์วิธีเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองนะคะ) ถึงตอนนี้เราก็ยังรู้สึกขอบคุณผู้อำนวยการโรงเรียนอยู่เลยที่ทำให้เราได้ไปเปิดประสบการณ์ เพราะถ้าต้องจ่ายราคาเต็มพ่อกับแม่เราคงไม่ให้ไปแน่ๆ โอกาสที่ได้ไปออสเตรเลียในครั้งนั้นได้จุดประกายความฝันของเราที่จะไปเรียนเมืองนอกจากเดิมที่ใหญ่อยู่แล้วให้ยิ่งใหญ่ไปอีก หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินโครงการแลกเปลี่ยน AFS เราเองก็เป็นหนึ่งในผู้สมัครสอบ และปรากฏว่าเราผ่าน! เราได้ไปประเทศเยอรมัน แต่ตอนนั้นประเทศเดียวที่เราอยากไปมากๆคือสหรัฐอเมริกาเลยสละสิทธิไปและไปสมัครอีกโครงการแทน ประมาณไม่กี่เดือนก่อนที่จะได้ไปแลกเปลี่ยน เราทำวีซ่า เตรียมตัวทุกอย่างเรียบร้อย แต่ยังไม่ได้โฮสฯ เราดันไปโม้เพื่อนในห้องอีกตะหาก เพื่อนก็ไปสมัครตามๆกัน ใครจะไปรู้ว่าหลังจากนั้นไม่นานกรรมจะซัด อเมริกาเศรษฐกิจไม่ดี โฮสไม่ค่อยรับนักเรียนแลกเปลี่ยน (โฮสตามโครงการแบบนี้เค้าต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการรับเด็กเองค่ะ แต่เค้าก็จะได้เรียนรู้ศึกษาวัฒนธรรมเด็กต่างชาติ ถือว่าวินวินค่ะ) สรุปว่าเราไม่ได้โฮสค่ะ แล้วก็ไม่ได้ไปประเทศอเมริกาในฝัน เพื่อนๆที่ไปสมัครตามเราได้ไปกันหมดเลย (ฮา แต่น้ำตาไหลพรากๆๆ) ใจเราตอนนั้นไม่ได้อยู่ที่ไทยแล้วล่ะค่ะ มันลอยไปอยู่อเมริกาตั้งแต่วันที่ไปโม้เพื่อนแล้ว ถ้าจะให้กลับไปเรียนคงจะอายเพื่อนตายเลย แต่แล้วฟ้าก็ลิขิตให้เรามาเรียนที่ประเทศที่เต็มไปด้วยฝูงแกะนับล้าน(ถึงล้านหรือเปล่าไม่รู้ ไม่เคยนับ) นั่นก็คือประเทศนิวซีแลนด์นั่นเองค่ะ _____________________________________________________________________________ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนเด็กตัวเล็กๆอย่างเราและหวังว่าเรื่องราวของเราจะเป็นแรงบันดาลใจ หรือเป็นประโยชน์แก่ทุกคนไม่มากก็น้อยนะคะ จากกระทู้เดิมที่เคยเขียนไว้เมื่อต้นปี อยากเรียนต่อมัธยมที่ ออสเตรเลีย หรือ นิวซีแลนด์ดีคะคือเราอยากไปเรียน2ประเทศนี้มากๆ แต่ไม่รู้ว่าต้องเตรียมตัวยังไง ทำอะไรบ้าง ต้องใช้อะไรบ้าง เรื่องเงินนี้พอรู้อยู่ค่ะแต่ไม่ได้รู้ลึกขนาดนั้น เพราะเราเองพึ่งจะมาสนใจสักพักนี้เอง เลยอยากถามความคิดเห็นเพื่อนๆพี่ๆค่ะ ว่าคนที่เคยไปอาศัยหรือคนที่มีความรู้ด้านนี้จะแนะนำหรืออะไรยังไงบ้างคะ ภาษาอังกฤษเราพอได้แต่ไม่ถึงกับดี ไม่รู้ว่า2ประเทศนี้แตกต่างหรือดียังไง รบกวนช่วยแนะนำกันด้วยนะคะ;_; (ลืมว่าต้องพิมพ์อะไรต่อแล้วค่ะ55 แค่อยากถามหาความคิดเห็นเฉยๆค่ะ) 0
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ กระทู้ที่คุณอาจสนใจสวัสดีค่ะทุกคน ชื่อกระทู้อาจจะฟังดูหดหู่นิดนึง555 แต่ก็ตามนั้นค่ะ วันนี้อยากจะมาแชร์ภาพและประสบการณ์เล็กๆน้อยๆจากหนึ่งในนักเรียนไทยที่ได้มีโอกาศไปศึกษาต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์เป็นเวลาสามปี ก่อนหน้านี้เราเรียนอยู่โรงเรียนไทยจ๋ามาตลอด ไม่เคยไปเรียน Summer หรือเข้าค่ายที่เมืองนอกมาก่อนเลยในชีวิตและเป็นคนที่ไม่เก่งภาษาเลย เรียกได้ว่าไม่ชอบภาษาเอามากๆ แต่เมื่อเราโตขึ้นและเริ่มเห็นความสำคัญของการใช้ภาษาบวกกับการที่เราเริ่มก้าวสู่ช่วยวัยรุ่น เริ่มรู้สึกตัวว่าเบื่อๆ อยู่แต่สังคมเดิมๆ ชีวิตเดิมๆ ในรั้วโรงเรียนเดิมเป็นเวลา 10 กว่าปี ง่ายๆคือวัยอยากรู้อยากเห็น ช่วงแรกคือคิดถึงเรื่องเปลี่ยนโรงเรียนก่อน ไปสายอินเตอร์ไรงี้ แต่พอไปลองศึกษาหาข้อมูลแบบจริงๆจังๆรู้เลยว่าสอบไม่ติดชัวๆ ตอนนั้นประมาณ ม.2 กลางๆ เป็นเด็กที่ไม่เก่งอะไรเป็นพิเศษ สิ่งที่รู้ตัวว่าเด่นที่สุดคือเรื่องเต้นเท่านั้น
ไม่เรียนพิเศษใดๆทั้งสิ้นนอกจากเต้น การแข่งขันของเด็กไทยนั้นสูงมากจะสู้คนอื่นๆได้อย่างไร ค่าเทอมก็ไม่ใช่ถูกๆก็เลยตัดใจไปตั้งแต่ยังไม่เริ่ม เอาเป็นว่าตอนนั้นคือหมดหวังไปเลยค่ะ ตอนแรกไม่เคยคิดถึงเรื่องต่างประเทศเลย ประเทศในฝันที่อยากไปก็ไม่มี คิดถึงว่าจะไปนิวอย่างเดียวเพราะเพื่อนแม่เราพูดถึงแต่ประเทศนี้ ปัจจุบันยังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมเลือกประเทศนี้น๊า ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากภายใน 4 เดือน ทุกอย่างพ่อกับแม่เราเป็นคนวางแผนให้หมด ทั้งโรงเรียน เอเจน ภาษาก็ไม่ได้เตรียมไป มีแค่ตัวและจิตวิญญาณที่ไม่ได้รับการปรุงแต่ง ไปแบบไม่ได้วางแผนอนาคต สิ่งสูงสุดที่หวังคือภาษา! วันแรกที่เราไปถึงตอนนั้นโรงเรียนยังไม่เปิดเลยต้องไปอยู่บ้านโฮสก่อนเพราะหอที่โรงเรียนยังไม่เปิด โฮสเป็นคนที่พอมีอายุแล้ว เค้ารับเรามาอยู่เพราะเห็นว่าเป็นเด็กโรงเรียนเดียวกันกับหลานเค้า บ้านเป็นบ้านหลังเล็กๆชั้นเดียว ห้องน้ำมีหนึ่งห้องและห้องนอนอีกสามห้อง แต่ทุกคน! ที่ตกใจที่สุดคือห้องนอนเต็มทั้งสามห้องทั้งๆมีแค่เรากับโฮสสองคนที่อยู่ในบ้าน แล้วใครอีกคนละคะ….ห้องที่ขั้นระหว่างเรากับโฮสเป็นห้องที่มีสิ่งนั้นนอนอยู่ตลอดเวลา มันเป็นตุ๊กตาที่นอนหลับอยู่บนเตียง ตุ๊กตาเด็กผู้หญิงที่เวลานอนจะหลับตาและเวลานั่งจะลืมตา ตัวใหญ่ประมาณแขนครึ่งได้ แค่เราเห็นแค่นั้นแหละ ตอนกลางคืนนอนไม่หลับ สติไม่อยู่กับตัวเลย เพราะที่นี่เวลากลางคืนคือเงียบ ไม่มีเสียงแมลง เสียงรถ หรือเสียงคนคุยกัน ยิ่งไปกว่านั้นผนังข้างห้องเราเนี่ยคือห้องตุ๊กตา มันหลอนแบบบอกไม่ถูก บวกกับเจ็ดเล็คมากๆ สองวันผ่านมาหลังจากความหลอนเล็กๆน้อยๆที่เราเจอมาก เราก็ค้นพบเรื่องจริงที่ไม่มีใครกล้าพูดเกี่ยวกับบ้านหลังนั้น พี่คนไทยที่เรียนอยู่ที่นี่เล่าให้ฟังว่าไม่มีใครกล้าไปบ้านโฮสคนนั้นเลย ไม่ใช่เรื่องตุ๊กตานะ แต่เป็นโฮสเองนั่นแหละ เค้าเล่าว่าช่วงดึกๆตอนพี่เค้าไปพักอยู่บ้านนั้น มักได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากห้องโฮสในเวลากลางคืน ไม่ใช่แค่พี่คนไทยคนเดียวที่ได้ยินนะ คือประมาณสามคนที่ไปนอนที่บ้านได้ยินเหมือนกันหมด แต่ปัจจุบันเสียงเริ่มหายๆไปบ้างแล้วเพราะโฮสเริ่มกินยา….เป็นเรื่องที่ไม่มีใครกล้าเล่าให้โรงเรียนฟังเลยคะ แน่นอนอยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้สำหรับผู้ใหญ่แล้ว มันเป็นเรื่องไร้สาระที่เหมือนจะเป็นการกล่าวหาใครสักคนและเหมือนเป็นการกระทำที่อาจส่งผลให้เค้าเสียอาชีพและรายด้ายส่วนหนึ่งไป หลังจากที่เราย้ายมากอยู่หอโรงเรียน โรงเรียนบรรยากาศดูดีมาก สวยแบบเก่าๆ มีความหลอดนิดหน่อยแต่ก็ดูน่าตื่นเต้นดี
ยอมรับว่าคาดหวังไว้ว่าทุกอย่างจะดีขึ้น...แต่ตรงกันข้าม ชีวิตในฝันที่เคยวาดและฝันไว้โดนทำลายตั้งแต่วันแรกที่ไปถึง เราอยู่โรงเรียนหญิงล้วน และพักในหอของโรงเรียน เราเดาว่าอาจจะเป็นเพราะเราเองที่เลือกมาในเมืองเล็กๆทที่คนไม่ค่อยจะชินกับหน้าเอเชียๆแบบเราสักเท่าไร ทำให้เค้าเห็นเราเป็นของแปลก มีพี่คนไทยเคยเล่าให้ฟังว่าปีก่อนหน้าที่เราจะมา เด็กญี่ปุ่นประมาณ 5-6คนย้ายรร.พร้อมกันเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นเราตกใจมาก เกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกคนออกพร้อมกันละ และสุดท้านเราก็โดนแบบเค้าค่ะ อาจไม่หนักเท่าแต่มันสร้างความรำคาญให้กับเราเป็นอย่างมาก เราโดนล้อ โดนแกล้ง โดนใช้ให้ทำนู่นทำนี่ โดนล้อในห้องเรื่องสำเนียงบ้าง ยิ่งเวลาโดนเรียกให้อ่านออกเสียงทุกคนก็เหมือนจะกลั้นหัวเราะกันแบบสุดๆ ช่วงเที่ยงคืนก็มีคนมาเคาะผนังห้องนอน ป้ายชื่อโดยโขมยไปสลับกับคนนู้นคนนี้ ช่วงแรกๆก็คิดนะ หรือว่าเราเป็นเด็กใหม่ แต่เราคิดผิด ผ่านมาปีนึงไม่มีอะไรดีขึ้นเลย สภาพจิตใจเราแย่มาก กลายเป็นคนไม่ค่อยพูด เก็บความรู้สึกและร้องให้คนเดียวตลอดทุกอาทิตย์ เรากลายเป็นคนขึ้กลัว กลัวที่จะลองตุยกับคนอื่น กังวลและคิดมาก ***ปล.ไม่ใช่ว่าโรงเรียนไม่ดีนะคะ เด็กไทยที่อยู่ชั้นอื่นไม่มีใครโดนแบบเราเลย คงเป็นเพราะเด็กในระดับชั้นเรามากกว่าที่เป็นแบบนี้ หลังจากจบปีที่เลวร้ายปีนั้น เราก็เริ่มคิดที่จะย้ายรร. ไปที่ที่เป็นเมืองมากขึ้น เผื่อว่าเด็กในเมืองจะเข้าใจเรามากกว่าเด็กนอกเมือง แต่อย่างที่เราบอก ตอนนั้นคือเฟลมาก เราคิดมโนไปต่างๆนาๆ กลัวที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ กลัวที่จะต้องไปเจออะไรแบบนี้อีก ถ้ามันแย่กว่าสิ่งที่เจอมากตอนนี้ละ เราจะรับได้มั๊ย แต่ถ้ากลับไทยมันก็ไม่การันตีว่าเราจะสอบได้โรงเรียนดีๆเพราะบอกเลย วิชาการเราอ่อนลงไปแล้วแถมภาษาอังกฤษแทบไม่พัฒนา กลับไปก็อายแถมทำให้พ่อแม่ผิดหวังอีก (คิดไปเองอีกแล้วค่า) สุดท้ายก็ย้ายค่ะ….จุดๆนั้นอยู่ๆมันก็คิดได้เองว่าตัวเราเองเจออะไรที่แย่มาเยอะ ตอนนี้ไปที่ไหนก็มีแต่ดีขึ้นเท่านั้น บอกเลยว่านี่ยังไม่พีค เพราะก่อนเราจะออก
เราต้องไปเข้าค่ายสุดแสนจะโหดที่เรียกว่า Tongariro crossing เกือบเอาชีวิตไม่รอด ชื่อสินค้า: นิวซีแลนด์ (์New Zealand) คะแนน: |