พระพุทธศาสนานิกายมหายานแบบทิเบตที่พบได้ทั่วเอเชียกลางนั้นรักษาการพัฒนาตามประวัติศาสตร์ทั้งหมดของพุทธศาสนาแบบอินเดียไว้ โดยเฉพาะหลักปฏิบัติเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยสงฆ์ อย่างที่นาลันทา ดังนั้นจึงเน้นเรื่องการศึกษาเล่าเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของจิต อารมณ์ และความเป็นจริงผ่านทางการใช้ตรรกะและการอภิปราย ซึ่งจะปฏิบัติควบคู่ไปกับการนั่งสมาธิเข้มข้นในหัวข้อเหล่านี้ Show ในทิเบตแนวทางนี้ผสมผสานกับหลักพุทธแบบอินเดียที่เรียกว่า การฝึกตันตระ ซึ่งเป็นการใช้พลังแห่งจินตนาการและการทำงานร่วมกับพลังงานละเอียดในร่างกาย เพื่อพัฒนาให้ผู้ฝึกได้กลายเป็นพระพุทธเจ้า วิธีนี้ทำได้โดยการเพ่งสมาธิไปยังความว่างเปล่า (สุญตา) และความสงสาร และภายในบริบทนั้น ให้จินตนาการว่าเป็นปางหนึ่งของพระพุทธเจ้า ถึงแม้ว่าบางครั้งปางเหล่านี้จะถูกเรียกว่า “เทวาสมาธิ” ปางเหล่านี้ไม่ได้หมายถึงพระเจ้า หรือการปฏิบัติเพื่อพระเจ้า และศาสนาพุทธก็ไม่ใช่ศาสนาที่นับถือพระเจ้าหลายองค์แต่อย่างใด ปางแต่ละปางเป็นตัวแทนของการตรัสรู้ด้านหนึ่งของพระพุทธเจ้า เช่น ปัญญา หรือความสงสาร การนึกภาพตัวเองในรูปแบบของปางเหล่านั้นและท่องบทสวดมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกัน ทำให้ผู้ฝึกสามารถเอาชนะภาพของตัวเองในเชิงลบและหลอกลวง และสร้างลักษณะที่ปางเหล่านั้นมีขึ้นมาได้ การฝึกวิธีนี้ถือเป็นการฝึกขั้นสูงและต้องมีอาจารย์ที่ได้รับการรับรองอย่างเต็มที่คอยดูแลอย่างใกล้ชัด นอกจากนี้พระพุทธศาสนาแบบทิเบตยังมีการสวดมนต์และทำพิธีกรรมค่อนข้างมากด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะมีจุดประสงค์เพื่อกำจัดพลังเชิงลบและภาพรบกวนต่าง ๆ ในรูปแบบของภูตผีปีศาจ ในการทำพิธีดังกล่าว ผู้ฝึกจะจินตนาการว่าตัวเองมีลักษณะที่เข้มแข็งมาก เพื่อเป็นการเสริมจิตให้มีพลังและความมั่นใจในการเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีการเน้นเกี่ยวกับเทคนิคการนั่งสมาธิเพื่อบำเพ็ญความรักและความความสงสาร ซึ่งมีการใช้ทักษะการสร้างภาพขึ้นในใจเช่นกัน ในปัจจุบันที่เลย กึ่งพุทธกาลมาแล้วนี้นั้น ชนชาวพุทธโดยกฏหมายบางท่าน อาจจะสับสนหรือแยกแยะไม่ออกกันแล้วว่า ไหนคือแนวทางแห่งพุทธ แนวทางแห่งพราหมณ์ ซ้ำเลยหนักไปถึงไม่ทราบว่า พุทธที่เป็นพุทธแบบแท้จริง แบบดั่งเดิมสมัยพุทธองค์นั้นเป็นอย่างไร แล้วนิกายต่างๆ สมัยนี้แตกต่างกันเช่นไร ทำเอาผสมปนเปกันไปหมด วัดเดียวมีครบทุกแบบ เพียงเพราะต้องการดึงชาวบ้านทางโลกให้เข้ามาอุดหนุนแต่เดิมสมัยพุทธกาล พระสงฆ์ล้วนปฏิบัติตามพระวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด หากมีกรณีพิพาทอันใด ก็จะทูลขอคำวินิจฉัยจากพระพุทธองค์ แต่กาลต่อมาหลังปรินิพพาน รูปแบบวิถีปฏิบัติพระธรรมวินัยเดิม ย่อมแปรไปตามแต่ละพระอาจารย์ว่าจะมีความเคร่งครัดเพียงใด ก็สั่งสอนเรื่อยมาตามความเชื่อถือ การตีความพุทธพจน์ที่มีมานั้น หรือความรู้ธรรมที่แตกต่างกัน ที่เรียกว่า “ทิฏฐิสามัญตา” นิกายใหญ่ มี 3 นิกาย ได้แก่ 1. นิกายเถรวาท 2. นิกายมหายาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใช่ว่าพระสงฆ์เถรวาทจะไม่ช่วยเหลือประชาชนดีเท่ากับพระสงฆ์มหายาน เพียงแต่ พระสงฆ์มหายาน ปรับรูปแบบขึ้นมาให้เข้าใกล้ญาติโยมมากขึ้น พระวินัยบางข้อที่ไม่เหมาะกับการที่ท่านจะประพฤติ ในการดำรงอยู่ในบางประเทศ ท่านก็เพิกสอนเสีย ดังนั้นพระสงฆ์เถรวาทจึงมีข้อดีมากในส่วนที่ท่านรักษาพระธรรมวินัยตามครั้ง พุทธกาลไว้อย่างบริบูรณ์ที่สุด รักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ให้ผิดเพี้ยน ขาดตกไปตามกาลเวลา ให้เป็นแบบบรรทัดฐานการศึกษาแก่นแท้พุทธศาสนาเดิมได้ มาถึงในปัจจุบัน ในส่วนนิกายวัชรยาน อันเป็นสายทางธิเบตนั้น มีลักษณะที่โซนบ้านเราไม่ค่อยจะคุ้นเคยในรูปแบบมากนัก ทั้งมีแนวคิดที่ต่างไปหลายเรื่อง นิกายในพระพุทธศาสนามีอะไรบ้างนิกายในศาสนาพุทธ แบ่งออกเป็น 3 นิกายใหญ่ ๆ ได้แก่ เถรวาท มหานิกาย ธรรมยุติกนิกาย
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดนิกายในพระพุทธศาสนามูลเหตุของการแตกแยกนิกายมี 2 ประเด็นหลัก คือ 1) เพราะการมีความคิดทาง พระวินัยไม่สม่าเสมอเหมือนกัน เรียกว่า ความขัดแย้งทางความคิดในปฐมสังคายนา 2) เพราะทัศนะในหลักธรรมอธิบายไม่ตรงกัน เรียกว่า ความวิบัติแห่งสีลสามัญญตาและความ วิบัติแห่งทิฏฐิสามัญญาตา กล่าวได้ว่า นิกายส าคัญของพระพุทธศาสนาหลังจากที่ Page 10 มนุษยศาสตร์สาร ...
การเริ่มแตกเป็นนิกายของศาสนาพุทธเริ่มเกิดขึ้นในการสังคายนาครั้งใด *การสังคายนาครั้งที่ 2 : การแตกนิกาย
การเกิดนิกายในพระพุทธศาสนาครั้งแรก มีกี่นิกายต้นว่า “พุทธศาสนาดั้งเดิม มี 3 นิกายด้วยกัน คือ นิกายเถรวาท นิกายสรวาสติวาท และนิกายมหาสังฆิกะ ซึ่ง นิกายหลังนี้คือมหายานนั่นเอง” ในประเด็นเดียวกัน “นิกายต่างๆ ที่เริ่มแตกออกไปตั้งแต่คราวทุติยสังคายนา Page 5 73 Journal of MCU Philosophy Review Vol. 3 No. 2 (July - December 2020) ปรากฏชื่อทั้งหมด 34 นิกายนั่นแหละ ทําให้ ...
|