พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก

ขอพระสงฆ์จงจำไว้ด้วยดีว่า "ข้าพเจ้าเป็นพุทธศาสนูปถัมภกเถิด"

สัปดาห์นี้ขออัญเชิญพระราชดำรัสประกาศพระองค์เป็น “พุทธศาสนูปถัมภก” ของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มาให้อ่านกันอีกครั้ง พุธที่ 8 พฤษภาคม 2562 เวลา 11.00 น.

พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก

ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ แต่เดิมมาข้าพเจ้าได้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส และได้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะด้วยวิธีนั้น ๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น บัดนี้ข้าพเจ้าได้เถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกแล้ว จึงขอมอบตัวแด่ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสังฆเจ้า จะได้รับการจัดการให้ความคุ้มครอง รักษาพระพุทธศาสนาโดยชอบธรรมตลอดไป ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ขอพระสงฆ์จงจำไว้ด้วยดีว่า ข้าพเจ้าเป็นพุทธศาสนูปถัมภกเถิด”

นี่คือพระราชดำรัสประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภกของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณมหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่ามกลางสังฆสมาคมภายในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันเสาร์ที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา

ผมและครอบครัวเกาะติดทีวีตลอด 3 วันเต็ม ๆ เพื่อมิให้พลาดในการชื่นชมพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 10 ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะคิดว่าในชีวิตคงมีครั้งเดียวที่มีโอกาสแบบนี้

พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก

การแสดงความเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกของพระมหากษัตริย์ไทย เป็นไปตาม “มาตรา 7 ที่ระบุไว้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก”

คือเมื่อได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้ว รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศทุกฉบับรวมทั้งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติรับรองไว้ในหมวดพระมหากษัตริย์ มาตรา7 ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธ มามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก” ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวนี้ มีความหมายว่า เนื่องจากประเทศไทยมีประชากรส่วนใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชน พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขของรัฐจึงต้องทรงเป็นพุทธมามกะ คือ เป็นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ และในขณะเดียวกันก็ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก คือ ทรงทำนุบำรุงอุปถัมภ์ศาสนาทั้งปวงในขอบขัณฑสีมา โดยไม่ทรงแบ่งแยกว่าเป็นศาสนาใดด้วย

บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่กำหนดว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะนี้ บัญญัติขึ้นเพื่อสะท้อนความจริงในประวัติศาสตร์ที่ว่าพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นต้นมา ทุกพระองค์ล้วนมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง พระมหากษัตริย์บางพระองค์ถึงกับทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุในระหว่างเวลาที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว ได้แก่ สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พระยาลิไท) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้น

พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก

ส่วนบทบัญญัติที่กำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกนั้น ได้บัญญัติขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นมาในประวัติศาสตร์ด้วยเช่นเดียวกัน พระมหากษัตริย์ของไทยได้ทรงเป็นตัวแทนของชาติประกาศความมีน้ำใจกว้างขวาง ไม่รังเกียจกีดกันผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใสศาสนาต่างกัน ทุกคนล้วนแต่เป็นข้าแผ่นดินผู้อยู่ในข่ายแห่งพระมหากรุณาเสมอกัน

ซึ่งวันถัดมาสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ถวายศีล ถวายพร และถวายวิสัชนาพระธรรมเทศนาในหมวดธรรม “ทศพิธราชธรรม, สังคหวัตถุ, จักรวรรดิวัตร, และพละกำลังของพระมหากษัตริย์” อันเป็นหมวดธรรมะที่พระมหากษัตริย์พึงมีในปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินของพระองค์ให้อยู่เย็นเป็นสุขตามพระปฐมบรมราชโองการที่พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ความว่า “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป”

ขอพระองค์ทรงเป็นมิ่งขวัญแก่ประชาชนชาวไทยตลอดไป เหมือนกับพระราชบิดา และพระราชมารดาของพระองค์ และอดีตพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีตลอดไป ขอทรงพระเจริญ.
.................................
คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย “เปรียญ10” :

คุณเห็นด้วยกับข่าวนี้หรือไม่

  • เห็นด้วย

    100%

  • ไม่เห็นด้วย

    0%

"สหประชาชาติ" ยังยกย่องวันนี้ เป็น "วันสำคัญสากลของโลก" ด้วย!

ในความก่อเกิดเป็นชาติไทย-คนไทยปรากฏในประวัติศาสตร์ชาติและประวัติศาสตร์โลก จากยุคสุโขทัยจนถึงยุครัตนโกสินทร์ทุกวันนี้ ใกล้จะพันปีแล้ว

คำว่า "ชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์" หลอมรวมเป็นเนื้อไทย "เนื้อเดียวกัน" ไม่แยกแตกออกจากกันเลย!

"พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" เมื่อทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นองค์ปฐมบรมราชจักรีวงศ์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

มีพระราชปณิธานว่า.......

"ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระศาสนา ป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี"

นับจากรัชกาลที่ ๑ จนถึง รัชกาลที่ ๑๐ ณ ปัจจุบัน

พระมหากษัตริย์ "ทุกพระองค์" ทรงสืบสานพระราชปณิธานนั้น "เคร่งครัด-มั่นคง"

"ชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์" ร้อยรัดความเป็น "ไทย" อันจะมีสิ่งใด หรือใคร มาแยกไปจากกันมิได้

"พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาล ปัจจุบัน ณ วันเสด็จขึ้นครองราชย์ ๔ พ.ค.๖๒

มีพระปฐมบรมราชโองการว่า....

 “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป”

สิ่งแรกที่พสกนิกรทั้งประเทศเห็น คือ

พระองค์ทรงใส่พระราชหฤทัยในงานพระศาสนา ควบคู่กับการสอดส่องดูแล สุข-ทุกข์อาณาประชาราษฎร และทรงสืบสาน รักษา ต่อยอด

ไม่เพียงจัดระเบียบบ้านเมือง โดยเฉพาะรอบเกาะรัตนโกสินทร์ และคู คลอง ในกรุงเทพฯ เท่านั้น

ทรงเริ่มพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ชาวบ้านสู่ความยั่งยืน ด้วยโครงการต่างๆ เช่นโครงการ "โคก หนอง นา" โมเดล  เป็นต้นด้วย

กับงานพระศาสนา โดยเฉพาะวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

"พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว" และ "สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี"

ทรงเคร่งครัดปฏิบัติบูชา สม่ำเสมอ

เป็นที่ปลาบปลื้ม ปีติ ยินดี ไม่เพียงกับพสกนิกรไทยเท่านั้น กระทั่งชาวพุทธทั่วโลก ก็พลอยปีติ ยินดีไปด้วย

บางคนสงสัย "ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์" ในความเป็นชาติไทย นั้น

คำว่าศาสนา หมายถึง "พระพุทธศาสนา" อย่างเดียวหรืออย่างไร?

ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ เรามาทำความเข้าใจกันให้ถูกต้องกันวันนี้เลย

คำว่า "ศาสนา" ในความเป็น ๓ เสาหลัก ของชาติไทย นั้น หมายรวมถึง "ทุกศาสนา" ในประเทศไทย ที่รัฐรับรอง เพราะในเรื่องศาสนา นับแต่มีชาติ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ของไทย พระราชทานเสรีภาพประชาชนในการเลือกนับถือ

ไม่มีการบังคับ ว่าคนไทยจะต้องนับถือแต่ศาสนาพุทธเท่านั้น อีกทั้งคนไทยประกอบด้วยหลายเชื้อชาติมารวมกัน และในความที่แต่ละศาสนา ล้วนมุ่งสอนให้เป็นคนดีเหมือนกันทั้งนั้น

ฉะนั้น ใครจะนับถือศาสนาไหน ตามแต่ใจศรัทธา ไม่บังคับ แม้พุทธศาสนาเป็น "ศาสนาหลักของชาติ" นับแต่ก่อเกิด ก็ตาม 

คำสอนพุทธศาสนา เนื้อแท้คือ "แก่นประชาธิปไตย"

พุทธสอนให้ "คิดดี-พูดดี-ทำดี" อะไรที่คนอื่นทำกับเราแล้ว เราไม่ชอบ ทำนองเดียวกัน

เราก็อย่าไปทำอย่างนั้้่นกับคนอื่น เพราะเขาก็ต้องไม่ชอบเช่นกัน

นี่คือ หลักสิทธิมนุษยชน ให้อิสรภาพ-เสรีภาพในความเป็นคน เคารพ ให้เกียรติ "สิทธิเขา-สิทธิเรา" ไม่ก้าวก่ายกัน

คนไทย ซึ่งมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลัก จึงใจกว้าง ด้วยเข้าใจคำว่า "อกเขา-อกเรา" เราไม่เหยียบตีนเขา  ใครก็อย่ามาเหยียบตีนเรา

ประชาธิปไตย หัวใจมันมีแค่นี้ และอยู่ตรงนี้แหละ!

"ทุกศาสนา" ล้วนสอนคนให้เป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น

ฉะนั้น ใครจะนับถือศาสนาอะไร จะแปลกตรงไหน?

เพราะลงท้าย...

ศาสนานั้นๆ ก็จะผลิต "พลเมืองดี" มีคุณธรรม ออกมาเป็นประชาชนคนไทย ให้อยู่ร่วมแผ่นดินในความเป็น "ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์" เป็นไทยเนื้อเดียวกัน

ได้ยินคำว่า "พระมหากษัตริย์" ทรงเป็น "องค์เอกอัครศาสนูปถัมภก" กันมาตลอด

แล้วทีนี้ เข้าใจกันหรือยังล่ะว่า คำว่า "เอกอัครศาสนูปถัมภก" นั้น ความหมาย กว้าง-ลึก อย่างไร?         

ก็ควรเข้าใจให้ตรงกัน......

นั่นคือ คำว่า "ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์" ไม่ได้ผูกขาดว่าเป็นพระพุทธศาสนาอย่างเดียว

แต่หมายรวมถึง "ทุกศาสนา" ในประเทศที่รัฐรับรอง  มีทั้่งศาสนาพุทธ, ศาสนาอิสลาม, ศาสนาคริสต์, ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์

ที่พระมหากษัตริย์ "องค์เอกอัครศาสนูปถัมภก" ทรงต้องทำนุบำรุงด้วย

นี้คือ ความเป็น "อารยชน-อารยชาติ" ของไทย นับแต่ก่อเกิด ก็ควรเข้าใจ และภูมิใจกัน

เห็น "พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว" และพระบรมราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา ๒ วันติด

คือ เมื่อ ๑๔ พฤษภา เสด็จฯ ไปในการตั้งเปรียญ พระภิกษุและสามเณร ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

และเมื่อวาน ๑๕ พฤษภา เสด็จฯ ไปทรงเวียนเทียนในพระราชพิธีวิสาขบูชา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามอีก

ทรงสืบสานพระราชปณิธาน องค์พระปฐมบรมราชจักรีวงศ์ "อุปถัมภก ยอยกพระศาสนา" เป็นที่ปลาบปลื้ม  เป็นที่ "ฝึกฟื้นใจเมือง" ยิ่งนัก

พระมหากษัตริย์ ทรงทศพิธราชธรรม และทรงหมั่นในงานพระศาสนาเช่นนี้ แผ่นดินจะร่มเย็น แผ่กิ่งก้านปกเกศ-ปกเกล้าเหล่าไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ สืบต่อแต่นี้ เป็นที่หวังได้

สุดท้าย อ่านๆ เฟซมา มีอะไรจะลอกมาเล่า ดังต่อไปนี้

............................

Chalermporn Yooprateth

#ทรงพระเจริญ

พระอารมณ์ขันของในหลวง😍 ถ่ายทอดมาเล่าให้ฟังอีกต่อนะครับ

จะเล่าเรื่องที่ซาบซึ้ง ที่สุดในรอบปีนี้ เรื่องนึงของเรา ให้ฟังนะ..

เมื่อวานท่านทูตออสเตรเลีย ซึ่งครบกำหนด หมดเวลาประจำประเทศไทย ต้องเข้าวังกราบบังคมทูลลาในหลวง (ขออภัยถ้าเขียนไม่ถูกต้อง ตามคำราชาศัพท์)

ท่านทูตก็เป็นกังวลว่า จะคุยอะไรกับในหลวงของเราดี? ก็เลยมาปรึกษากับคนไทยในสถานทูตชื่อพี่แอล ก็เลยบอกว่า โดยปรกติทุกคนก็จะคุยแต่เรื่องเครียดๆ ระวังตัวกัน ท่านทูตก็คุยเรื่องโจ๊กของชื่อท่านให้ในหลวงท่านฟังสิ

เพราะท่านทูตคนนี้ ท่านชื่อ Mr. Arun McKinnon

ในหลวงท่านก็รับฟัง เพราะท่านทูตคนนี้ตัวใหญ่ อ้วนมากๆ

เรื่องโจ๊ก ก็คือ..เวลาไปที่ไหนๆ..คนไทยก็จะเรียกท่านว่า "นายอลัน มัก-กิน-นอน" ท่านก็เอาโจ๊กนี้ไปเล่า สนทนาให้ในหลวงฟัง

และ..กราบบังคมทูลว่า..ถนนซอยที่ข้างๆ สถานทูตญี่ปุ่น ตัดเข้าไปถึงสถานทูตออสเตรเลีย ยังไม่มีชื่อซอยเลย เพราะข้างๆ กำลังก่อสร้างเป็นศูนย์การค้าใหญ่ เต็มพื้นที่ไปจรดสี่แยกวิทยุอยู่ตอนนี้..

มาวันนี้..เมื่อกี้นี้..สำนักพระราชวัง โทรมาหาพี่แอล  (หน้าห้องท่านทูต) แจ้งให้ทราบว่า

ในหลวงโปรดเกล้าฯ พระราชทาน "ชื่อซอย" ที่จะเข้ามายังสถานทูต ตามที่ท่านทูตขอไป!!!! คือ "ซอยอรุณมักกินนอน”

#ซอยอรุณมักกินนอน 😀 #อ่านเจอมาน่ารักดี

เครดิต 🕊@cookie97020934 request that a name be given by  His Majesty to the Soi on which the  Embassy of the Commonwealth of  Australia to the Kingdom of Thailand is located.

by the Command of His Majesty  the King, I have further the honour  make know to each and on that His  Majesty the King had granted the  following name to the Soi on which  the Embassy of the Commonwealth  of Australia to the Kingdom of  Thailand is located:

"ซอยอรุณมักกินนอน"

Transcribed as "Soi ArunMckinnon" Henceforth, on the  authorities concerned in such matter shall be informed accordingly.

With best wishes and warm  personal regards,

Yours Sincerely,

Air Chief Marshal ........

ครับ.....

จบเท่านี้ ขอความเป็นไทย ทั้่งกายและใจของทุกท่าน จงประสบศานต์.

คนปลายซอย

เอกอัครศาสนูปถัมภกองค์แรกในพระพุทธศาสนาคือใคร

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็น “เอกอัครศาสนูปถัมภกในพระบวรพุทธศาสนาโดยแท้ พร้อมกระนั้น พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อทุกๆ ศาสนาในผืนแผ่นดินไทยจนเป็นที่ประจักษ์และเทิดทูลของประชาราษฎร์ทั่วทั้งแผ่นดินขอน้อมฯ รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์ สัปดาห์พระเครื่อง:โดย ราม ...

พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะและองค์อัครศาสนูปถัมภก ในสมัยใด

๒. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ เพื่อให้บัญญัติว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้บัญญัติเรื่องการนับถือศาสนาไว้เป็นฉบับแรก โดยบัญญัติว่า พระมหากษัตริย์จักต้องเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก กล่าวคือ ท่านเป็นผู้ถือพุทธศาสนาแต่ในทางที่เป็นผู้อุปถัมภ์นั้นก็คือจะต้องทรงอุปถัมภ์ทุกศาสนา

พระมหากษัตริย์พระองค์ใด ถือว่าเป็นองค์อุปถัมภกของพระพุทธศาสนา

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช " ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนาจะป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี "

ศาสนูปถัมภก อ่านว่าอย่างไร

(สาสะนูปะถำพก, สาดสะนูปะถำพก) น. ผู้ทะนุบำรุงศาสนา, ถ้าใช้แก่พระมหากษัตริย์ เรียกว่า องค์เอกอัคร-ศาสนูปถัมภก.