บทละครเรื่องรามเกียรติ์ฉบับที่สมบูรณ์ที่สุด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

บทละครเรื่องรามเกียรติ์ฉบับที่สมบูรณ์ที่สุด

รามเกียรติ์ เป็นวรรณกรรมที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องรามายณะซึ่งเป็นนิทานที่แพร่หลายอยู่ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียใต้ ต่อมาอารยธรรมอินเดียได้แพร่สู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะพ่อค้าชาวอินเดียได้นำวัฒนธรรมและศาสนามาด้วย ทำให้รามายณะแพร่หลายไปทั่วภูมิภาค กลายเป็นนิทานที่รู้จักกันเป็นอย่างดี และได้ปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมของประเทศนั้นจนกลายเป็นวรรณคดีประจำชาติไป ดังปรากฏในหลายชาติ เช่น ไทย ลาว พม่า กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย ล้วนมีวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์เป็นวรรณคดีประจำชาติทั้งสิ้น

“รามเกียรติ์” มีเค้าจากวรรณคดีอินเดียคือมหากาพย์รามายณะที่ ฤๅษีวาลมีกิ ชาวอินเดีย แต่งขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต เมื่อประมาณ 2,400 ปีเศษ เชื่อว่าน่าจะเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ จากอิทธิพลของลัทธิพราหมณ์ฮินดู

รามเกียรติ์ในประเทศไทย[แก้]

สำหรับเรื่องรามเกียรติ์ของไทยนั้น มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงพระราชนิพนธ์สำหรับให้ละครหลวงเล่น ปัจจุบันมีอยู่ไม่ครบ ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 1 ได้ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเพื่อรวบรวมเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งมีมาแต่เดิมให้ครบถ้วนสมบูรณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ เพื่อให้ละครหลวงเล่น โดยได้ทรงเลือกมาเป็นตอนๆ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ โดยใช้ฉบับของอินเดีย (รามายณะ) มาพระราชนิพนธ์ ใช้ชื่อว่า "บ่อเกิดรามเกียรติ์"

ตัวละครหลัก[แก้]

ตัวละครหลักที่ปรากฏในเรื่อง มีดังนี้

ดูเพิ่ม[แก้]

  • เรียมเกร์
  • รามาวตาร
  • โขน
  • รายชื่อตัวละครในรามเกียรติ์

อ้างอิง[แก้]

หนังสืออ่านเพิ่ม[แก้]

  • Thai Ramayana (abridged) as written by King Rama I, ISBN 974-7390-18-3
  • The story of Ramakian - From the Mural Paintings along the Galleries of the Temple of the Emerald Buddha, ISBN 974-7588-35-8

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

บทละครเรื่องรามเกียรติ์ฉบับที่สมบูรณ์ที่สุด

  • เนื้อเรื่องตอน หนุมานเข้ากรุงลงกา Archived 2009-08-14 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน แปลเป็นภาษาอังกฤษโดย Dr. Theodora H. Bofman (อังกฤษ)
  • ดู รายชื่อตัวละครในรามเกียรติ์ หากท่านต้องการทราบถึงตัวละครในรามเกียรติ์

บทละครเรื่องรามเกียรติ์ฉบับที่สมบูรณ์ที่สุด

             ผู้แต่ง : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระราชนิพนธ์เมื่อพ.ศ.๒๓๑๓

            จุดมุ่งหมายในการแต่ง : เพื่อใช้เล่นละครหลวงด้วย ในพ.ศ.๒๓๑๓ นี้พระองค์ทรงยกกองทัพไปปราบเจ้านครศรีธรรมราชจึงโปรดให้หัดละครหลวงขึ้น และทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์เพื่อใช้เล่นละครและใช้ในงานสมโภชต่างๆ

            ลักษณะการแต่ง :ทรงพระราชนิพนธ์เป็นกลอนบทละคร และบอกชื่อเพลงหน้าพาทย์ไว้ด้วย ต้นฉบับบทละครเรื่องนี้เป็นสมุดไทยดำ ตัวหนังสือเป็นเส้นทอง มีจำนวน ๔ เล่มสมุดไทย

       เนื้อเรื่อง :  มี ๔ ตอน คือ

          ๑.ตอนพระมงกุฎประลองศร เนื้อเรื่องตอนนี้เป็นตอนท้ายของเรื่องรามเกียรติ์แต่ทงพระราชนิพนธ์ขึ้นก่อนตอนอื่นๆ เนื้อ

เรื่องมีว่า นางสีดามาอาศัยอยู่กับฤาษีวัชมฤคและประสูติพระมงกุฎ พระฤาษีได้ชุบพระลบเป็นเพื่อนกับพระมงกุฏและชุบศร

ให้เป็นอาวุธพระมงกุฏและพระลบได้ประลองศรยิงต้นรัง เสียงศรดังกึกก้องจนถึงกรุงอโยธยา พระรามได้ยินเสียงจึงประกอบ

พิธีอัศวเมธ โดยมีพระภรต พระสัตรุด และหนุมานคุมกองทัพตามม้าอุปการ พระมงกุฎจับม้าอุปการ จึงรบกับหนุมาน หนุมาน

เสียที พระภรตจึงเข้าช่วยและจับพระมงกุฎมาถวายพระราม พระลบตามไปช่วยได้และพากันหนี พระรามยกกองทัพออก

ติดตาม จึงรบกับพระมงกุฎ ภายหลังจึงทราบว่าเป็นพ่อลูกกัน

         ๒. ตอนหนุมานเกี้ยวนางวาริน เนื้อเรื่องตอนแรกขาดหายไป เริ่มแต่หนุมานพบนางวารินในถ้ำ นางวารินนั้นเป็น

นางฟ้า ถูกพระอิศวรสาปให้มาอยู่ในถ้ำ คอยพบหนุมานเพื่อบอกทางแก่หนุมานไปฆ่าวิรุณจำบัง แล้วจึงจะพ้นคำสาป เมื่อ

หนุมานพบนางวาริน นางไม่เชื่อว่าเป็นหนุมาน หนุมานจึงต้องหาวเป็นดาวเป็นเดือนให้ดู นางจึงเชื่อหนุมานเกี้ยวนางวาริน

และได้นางเป็นภรรยา ต่อมาหนุมานไปฆ่าวิรุณจำบังตามที่นางวารินบอก เมื่อฆ่าวิรุณจำบังแล้ว หนุมานจึงกลับมายังถ้ำ และส่งนางวารินกลับเขาไกรลาสตามที่ได้สัญญาไว้กับนาง

         ๓. ตอนท้าวมาลีวราชว่าความ   เป็นตอนต่อจากหนุมานเกี้ยวนางวาริน ทศกัณฐ์ทราบว่าวิรุณจำบังตาย จึงทรงทูลเชิญ

ท้าวมาลีวราชพระอัยกาผู้มีวาจาสิทธิ์มาว่าความท้าวมาลีวราชเสด็จมายังสนามรบ ทศกัณฐ์เข้าเฝ้ากล่าวโทษพระราม ท้าว

มาลีวราชจึงทรงตรัสสั่งให้พระรามและนางสีดาเข้าเฝ้าเพื่อไต่ถามความจริง นางสีดาทูลตามความเป็นจริงท้าวมาลีวราชจึง

ตรัสให้ทศกัณฐ์คืนนางสีดาแก่พระราม แต่ทศกัณฐ์ไม่ยอม ท้าวมาลีวราชจึงทรงสาปแช่งทศกัณฐ์ และอวยพรให้แก่พระราม

แล้วเสด็จกลับ

        ๔. ตอนทศกัณฐ์ตั้งพิธีทรายกรด ตอนนี้เป็นตอนต่อจากท้าวมาลีวราชว่าความ เรื่องมีว่า ทศกัณฐ์มีความแค้นเทวดาที่

เป็นพยานให้แก่พระราม จึงทำพิธีปลุกเสกหอกกบิลพัทที่เชิงเขาพระสุเมรุ และทำพิธีเผารูปเทวดา พระอิศวรจึงมีเทวบัญชาให้

เทพบุตรพาลีมาทำลายพิธี ทศกัณฐ์พุ่งหอกกบิลพัทหมายสังหารพิเภก พิเภกหลบไปอนยู่หลังพระลักษณ์ พระลักษณ์ต้องหอ

กกบิลพัทสลบไป พิเภกทูลพระรามให้หายามาแก้ไขพร้อมแม่หินบดยาที่เมืองบาดาล และลูกหินบดยาที่ทศกัณฐ์หนุนนอน

 พระรามให้หนุมานไปหายาพร้อมแม่หินและลูกหิน หนุมานเข้าเมืองลงกาเพื่อไปนำลูกหินบดยามา และผูกผมทศกัณฐ์กับผม

นางมณโฑไว้ด้วยกัน พระฤาษีโคบุตรต้องมาช่วยแก้ผมให้

        คุณค่าของหนังสือ :

        เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงฟื้นฟูวรรณคดีในรัชสมัยของพระองค์ และแสดงให้เห็น

ถึงการเอาพระทัยใส่ในการละครอีกด้วย บทละครที่ทรงคัดเลือกมาทรงพระราชนิพนธ์ก็เป็นตอนที่มีคุณธรรม ปลุกปลอบให้

ประชาชนมีขวัญและกำลังใจดีขึ้นดั่งเช่นตอนพระมงกุฎประลองศร เมื่อพระรามกับพระมงกุฎเข้าใจกันแล้วก็ทำให้เกิดความ

สงบสุข บางตอนก็สอดแทรกคำสอนทางพระพุทธศาสนาไว้ เช่น พระฤาษีโคตบุตรสอนทศกัณฐ์ให้มีศีลและมีหิริโอตตัปปะ

 เป็นต้น

        อิทธิพลของเรื่องรามเกียรติ์ที่มีต่อสังคมและวัฒนธรรมไทย :

        รามเกียรติ์เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมสูงในหมู่คนไทย เพราะเนื้อเรื่องมีความสนุกสนาน ประกอบด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาร

ย์และสอดแทรกคุณธรรมไว้ อีกทั้งอุปนิสัยของตัวละครก็สอดคล้องกับวัฒนธรรมของไทย เช่น นางสีดาเป็นแบบแผนของหญิง

ที่มีความชื่อสัตย์ต่อสามี พระรามเป็นแบบแผนของลูกที่ดี เป็นต้น รามเกียรติ์จึงมีอิทธิพลต่อสังคมไทยหลายประการดังนี้ คือ

          ๑. ด้านภาษาและวรรณคดี มีสำนวนที่มาจากเรื่องรามเกียรติ์หลายสำนวน เช่น ลูกทรพี เหาะเกินลงกา สิบแปดมงกุฎ ราพณาสูร ตกที่นั่งพิเภก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผู้นิยมแต่งรามเกียรติ์ ทำให้เกิดรามเกียรติ์หลายสำนวน

         ๒. ด้านศิลปกรรม รามเกีรติ์ก่อให้เกิดแรงดลใจให้จิตรกรนำเรื่องราวไปวาดภาพตามฝาผนังโบสถ์ วิหาร เช่นเดียวกับ

เรื่องชาดกนอกจากนั้นยังมีการแกะสลัก การปั้นตัวละครต่างๆ ในเรื่องรามเกียรติ์ เพื่อใช้ประดับในที่ต่างๆ

        ๓. ด้านนาฏศิลป์ เรื่องนี้นิยมนำมาแสดงโขน ละคร หนังใหญ่ จึงนับว่ามีอิทธิพลต่อนาฏกรรมไม่ใช่น้อย

         ๔. ด้านประเพณี รามเกียรติ์ให้ความรู้เกี่ยวกับด้านประเพณีต่างๆโดยเฉพาะพระราชพิธี เช่น พระราชพิธีวิวามงคล พระราชพิธีราชาภิเษก พิธีปล่อยม้าอุปการ การยกทัพ เป็นต้น

         ๕. ด้านความเชื่อ พระรามเป็นพระนารายณ์อวตาร ฉะนั้น พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์หลายพระองค์ จะใช้พระนามของพระรามเพื่อความเป็นสิริวัสดิมงคล เช่น พระรามาธิบดี พระราเมศวร เป็นต้น

บทละครเรื่องรามเกียรติ์ฉบับที่สมบูรณ์ที่สุด

         นอกจากนั้น เรื่องรามเกียรติ์มีอิทธิพลในด้านโหราศาสตร์ และการใช้ชื่อในรามเกียรติ์เป็นชื่อของสถานที่ ชื่ออาหาร 

เป็นต้น  เช่น ถนนพระราม ๔ (ชื่อสถานที่) พระรามลงสรง(ชื่ออาหาร)  รามเกียรติ์จึงมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย

มิใช่น้อย