พระสารีบุตรเถระ อัครสาวกเบื้องขวา ผู้กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัย เพื่อความดำรงมั่นแห่งพระสัทธรรม Show พระสารีบุตร เป็นชาวเมืองราชคฤห์โดยกำเนิด มารดาท่าน คือนางสารีพราหมณี บิดาท่านนามว่า วังคันตพราหมณ์ เป็นนายบ้านอุปติสสะคาม อุปติสสะมีสหายรักคนหนึ่งนาม โกลิตะ เป็นบุตรแห่งบ้านโกลิตะคาม ทั้งสองเป็นเพื่อนเที่ยว เพื่อนกิน หาความสำราญจากการดูการละเล่น มหรสพต่างๆ ตามประสาลูกผู้มีอันจะกิน วันหนึ่ง หลังจากไปดูมหรสพที่เล่นอยู่บนยอดเขา เกิดความเบื่อหน่าย เห็นว่าชีวิตนี้ไร้แก่นสาร จึงชวนกันไปสมัครเป็นศิษย์ของอาจารย์สัญชัยเวลัฏฐบุตร สัญชัยเวลัฏฐบุตร เป็นเจ้าสำนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงหนึ่งในบรรดา “ครูทั้ง ๖” คือ ปุรณกัสสปะ, นิครนถนาฏบุตร, มักขลิโคสาละ, อชิตเกสกัมพล, ปกุธกัจจายนะ, สัญชัยเวลัฏฐบุตร ท่านได้ศึกษาอยู่กับอาจารย์สัญชัยเวลัฏฐบุตรอยู่ระยะเวลาหนึ่ง ก็จบความรู้ของอาจารย์ อาจารย์ชักชวนให้อยู่ช่วยสอนศิษย์รุ่นหลังๆ ต่อไป แต่ท่านกับสหายมีความรู้สึกว่า วิทยาการที่ได้รับถ่ายทอดจากอาจารย์ ยังไม่ใช่แนวทางที่ดีที่สุดที่นำพาให้พ้นจากความทุกข์ได้ จึงตกลงกันเงียบๆ กับโกลิตะผู้สหายว่า จะแยกย้ายกันไปแสวงหาอาจารย์ที่สอนแนวทางที่ดีกว่านี้ และให้สัญญากันว่าใครพบก่อนให้บอกแก่อีกฝ่ายหนึ่ง อุปติสสะได้พบพระอัสสชิเถระ น้องสุดท้องแห่งปัญจวัคคีย์ ขณะท่านกำลังออก “โปรดสัตว์” อยู่ เห็นอิริยาบถอันสำรวมน่าเลื่อมใส จึงคิดว่าท่านผู้นี้คงจะมีอุตริมนุสสธรรม (ธรรมอันยิ่งที่มนุษย์ทั่วไปไม่มี) จึงเข้าไปนมัสการขอให้ท่านแสดงธรรมให้ฟัง พระเถระออกตัวว่า ท่านเป็นพระนวกะอยู่ แสดงธรรมโดยพิสดารไม่ได้ ท่านจึงขอให้พระเถระแสดงแต่พอสังเขป พระเถระได้แสดงคาถาอันเป็น “แก่น” แห่งอริยสัจ ๔ ว่า เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุง ตถาคโต (อาห) ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และการดับเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีวาทะอย่างนี้ อุปติสสะได้ฟังคาถานั้นก็ได้ “ดวงตาเห็นธรรม” คือ บรรลุโสดาปัตติผล ท่านได้รีบไปกล่าวคาถานั้นแก่โกลิตะ โกลิตะก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นกัน ทั้งสองจึงไปชวนอาจารย์ให้ไปบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เมื่ออาจารย์ปฏิเสธ จึงพากันไปบวชเป็นสาวกของพระพุทธองค์ที่พระเชตวัน หลังจากบวชได้ ๑๔ วัน อุปติสสะ ซึ่งบัดนี้เพื่อนพรหมจารีเรียกขานในนาม “สารีบุตร” ก็ได้บรรลุพระอรหัต (ช้ากว่าโกลิตะ หรือ พระโมคคัลลานะ ๗ วัน) การบรรลุธรรมของท่านค่อนข้างประหลาด คือ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เรื่อง เวทนาปริคคหสูตร โปรดทีฆนขปริพาชกผู้เป็นหลาน พระสารีบุตรอยู่ ณ ถ้ำสูกรชาตา (ถ้ำหมูขุด หรือ ถ้ำคางหมู) เชิงเขาคิชฌกูฏ ขณะนั้น พระสารีบุตรถวายงานพัดพระพุทธองค์อยู่ กำหนดตามกระแสพระธรรมเทศนาไปด้วย พอทรงแสดงธรรมจบ ท่านพระสารีบุตรก็ได้บรรลุพระอรหัต ในขณะที่ปริพาชกหลานท่านถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะเท่านั้น การบรรลุธรรมของท่าน เปรียบเสมือนการบริโภคอาหารที่จัดเตรียมไว้เพื่อผู้อื่น ฉะนั้น และการบรรลุธรรมมีขึ้นในวันเดือนมาฆะพอดี ณ ราตรีวันนั้น ได้มีการประชุมใหญ่อันเรียกว่า “จาตุรงคสันนิบาต” (การประชุมใหญ่อันประกอบด้วยองค์) ณ พระเวฬุวัน พระพุทธองค์ได้ประทานโอวาทปาติโมกข์ (พระโอวาทอันเป็นหลักสำคัญ) แก่ที่ประชุม พระอรหันต์สาวกจำนวน ๑,๒๕๐ รูป โอวาทปาติโมกข์นั้นมีทั้งหมด ๑๓ หัวข้อ สรุปลงเป็น ๔ ประเด็น คือ โอวาทปาติโมกข์นี้ ปราชญ์ไทยโบราณได้คัดเอาหลักการทั่วไป “ไม่ทำชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส” มาเป็น “หัวใจ” พระพุทธศาสนา เหตุการณ์วันที่ท่านพระสารีบุตรบรรลุพระอรหัต ได้กลายมาเป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนา คือ วันมาฆบูชา โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงบัญญัติขึ้นและถือปฏิบัติมาจนบัดนี้ พระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญาหลักแหลม สามารถแสดงธรรมหักล้างความคิดเห็นผิด และทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้ความเข้าใจได้แจ่มแจ้ง เป็นผู้มีปัญญามากที่สุด รองจากพระพุทธองค์ ท่านจึงได้รับแต่งตั้งจากพระพุทธองค์เป็น “อัครสาวกเบื้องขวา” เลิศกว่าผู้อื่นในทางปัญญาคู่กับพระโมคคัลลานะ พระอัครสาวกเบื้องซ้ายผู้เลิศในทางมีฤทธิ์ คุณธรรมที่เด่นของท่านพระสารีบุตร นอกจากความเป็นผู้มีปัญญามากแล้ว ท่านยังมีความกตัญญูกตเวทิตาธรรมเป็นเลิศอีกด้วย ท่านถือว่าพระอัสสชิเป็นอาจารย์รูปแรกที่นำท่านเข้ามาสู่ร่มเงาพระพุทธศาสนา ท่านจึงมีความเคารพในพระอาจารย์ของท่านมาก เวลาท่านจะนอน ถ้ารู้ว่าอาจารย์ของท่านอยู่ ณ ทิศใด ท่านจะหันศีรษะไปทางทิศนั้น ภิกษุทั้งหลายที่ไม่ทราบความจริง พากันตำหนิท่านว่าเป็นถึงอัครสาวก ยังไหว้ทิศอยู่เหมือนสมัยเป็นคฤหัสถ์ ครั้งหนึ่ง มีพราหมณ์เฒ่าคนหนึ่ง นาม ราธะ อยากบวช แต่ไม่มีใครรับรอง พระสงฆ์จึงไม่สามารถบวชให้ได้ พระพุทธเจ้าตรัสถามในที่ประชุมสงฆ์ว่า มีใครรู้จักพราหมณ์คนนี้ไหม พระสารีบุตรกราบทูลว่า จำได้ว่าพราหมณ์คนนี้เคยใส่บาตรท่านทัพพีหนึ่ง ท่านรู้จัก จึงขอรับรอง พระพุทธองค์ทรงมอบภาระให้ท่านเป็นอุปัชฌาย์ บวชแก่ราธะพราหมณ์ หลังจากบวชแล้ว พระราธะได้เป็นสัทธิวิหาริกผู้ว่าง่ายรูปหนึ่ง นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งแสดงถึงความเป็นผู้มีกตัญญูกตเวทิตา แม้อุปการะเล็กน้อยท่านก็ยังเห็นความสำคัญ น่าเป็นแบบอย่างที่ดีของคนรุ่นหลัง พระสารีบุตร ปรารถนาอยากให้พระสัทธรรมดำรงอยู่ได้นาน อำนวยประโยชน์แก่มหาชนอย่างกว้างขวาง จึงกราบทูลให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัย เพื่อความดำรงมั่นแห่งพระสัทธรรม ซึ่งพระองค์ก็ทรงทำเมื่อถึงเวลาสมควรในกาลต่อมา ท่านได้นำคำสอนของพระพุทธองค์จัดหมวดหมู่ตั้งแต่หมวดหนึ่ง หมวดสอง หมวดสาม … จนถึงหมวดสิบ และหมวดเกินสิบ ดังปรากฏอยู่ใน สังคีติสูตร และ ทสุตตรสูตร ในเวลาต่อมา ท่านได้แสดงสังคีติสูตร และทสุตตรสูตร ท่ามกลางภิกษุสงฆ์จำนวนมาก และได้รับคำชมเชยจากพระพุทธองค์อีกด้วย พระสารีบุตร จึงเป็นพระเถระรูปแรกที่คิดทำ “สังคายนา” พระธรรมวินัย แต่ยังไม่ทันสำเร็จดี ท่านก็ด่วนนิพพานไปก่อน พระมหากัสสปะจึงได้รับช่วงสืบทอดเจตนารมณ์ของท่านจนสำเร็จบริบูรณ์ในกาลต่อมา ในบั้นปลายชีวิต พระสารีบุตรพร้อมด้วยพระจุนทะน้องชาย ได้กลับไปยังตำบลนาลันทา บ้านเกิดของท่าน เพื่อโปรดมารดา ซึ่งยังไม่นับถือพระพุทธศาสนาให้บรรลุธรรม แล้วก็นิพพาน ณ ห้องที่ท่านถือกำเนิดนั่นเอง เพราะเหตุใดอุปติสสะจึงชวนเพื่อนและบริวารไปบวชที่สํานักสัญชัยปริพาชกปริพาชกอุปติสสะและปริพาชกโกลิตะเป็นคนฉลาด ศึกษาคำสอนของสัญชัยปริพาชกอยู่ไม่นานก็เจนจบ แต่ก็พบว่ายังไม่ใช่ คำสอนที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ ทั้ง ๒ จึงชวน กันจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อพบปะสนทนากับนักบวชที่ทรงความรู้ อันจะทำให้เขาได้พ้นความทุกข์อย่างที่ต้องการ แต่แล้วก็ผิดหวัง เพราะสนทนากันแล้ว นักบวชเหล่านั้นก็ไม่สามารถชี้ ...
พระสารีบุตรมีเพื่อนสนิทชื่อว่าอะไรสารีบุตร เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า เกิดที่หมู่บ้านนาลกะ (บางแห่งเรียกนาลันทะ) ไม่ไกลจากเมืองราชคฤห์ เป็นบุตรแห่งตระกูลหัวหน้าหมู่บ้านนั้น บิดาชื่อวังคันตพราหมณ์ มารดาชื่อ สารี จึงได้นามว่าสารีบุตร แต่เมื่อยังเยาว์เรียกว่า อุปติสสะ มีเพื่อนสนิทชื่อ โกลิตะ ซึ่งต่อมาคือ พระมหาโมคคัลลานะ
บุคคลที่มีส่วนสำคัญทำให้อุปติสสะได้เข้ามาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าคือใครพระอัสสชิ มีบทบาทสำคัญในการช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนาในช่วงต้นพุทธกาล ด้วยความเป็นผู้มีมารยาทน่าเลื่อมใสของท่าน ทำให้ท่านเป็นภิกษุรูปแรกที่ทำให้อุปติสสมาณพ ซึ่งต่อมาคือพระสารีบุตร เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ท่านเป็นผู้กล่าวคาถาสำคัญยิ่งคาถาหนึ่งในพระพุทธศาสนาคือพระคาถา เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา ...
พระสารีบุตรบวชกี่วันหลังจาก ได้อุปสมบทแล้ว พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาที่เหมาะแก่อุปนิสัยของพุทธบริษัท พวกภิกษุที่ร่วมฟังธรรมนั้นได้บรรลุพระอรหัตก่อน พระโมคคัลลานะอุปสมบทแล้ว ๗ วัน จึงได้สำเร็จพระอรหันต์ ฝ่ายพระสารีบุตรอุปสมบทแล้ว ๑๕ วัน จึงได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ด้วยการฟังเทศนาชื่อว่า เวทนาปริคคหสูตร ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแก่ปริพาชก ...
|