หลักเกณฑ์ในการเลือกที่ทำงานองค์กร หรือบริษัทที่เราจะเลือกเข้าไปร่วมงานนั้น บางครั้งมีองค์ประกอบหลายๆ อย่างที่น่าสนใจ และจะต้องให้ความสำคัญ เพื่อให้ชีวิตการทำงานของเราในอนาคตดำเนินไปอย่างราบรื่น และมีความสุขกับการงานนั้นๆ ทีนี้เราลองมาดูกันนะคะว่า การจะเลือกที่ทำงานให้เหมาะสมนั้นจะต้องพิจารณาในเรื่องอะไรบ้าง 1. ทุนดำเนินการ และกิจการทั่วไปแน่นอนที่สุดที่คงเป็นเรื่องยากที่เราจะทราบฐานะทางการเงินของบริษัทที่เราจะเข้าไปทำงานได้ ยกเว้น ธนาคารบางแห่งที่มีการเผยแพร่ผลกำไร ขาดทุน และแสดงฐานะของกิจการในรายงานประจำปี แต่อย่างน้อยก็พอจะมีทางที่จะทราบได้จากกิจการทั่วไป เช่น ทางด้านการตลาด การผลิต และการให้บริการและสวัสดิการแก่พนักงาน ซึ่งบริษัทหลายแห่งที่มั่นคงมักจะมีตึกสำนักงานของตนเอง และมีการให้บริการแก่สังคมสูงเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป 2. สถานที่ตั้งถือเป็นสิ่งที่น่าควรคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่ง เพราะตรวจสอบระยะทางที่ใช้ในการเดินทาง ไป-กลับ จากที่พักไปที่ทำงาน เพราะถ้าบริษัทอยู่ห่างไกลจากที่พักมาก ปัญหาก็คือการเข้าทำงานสายบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งไม่ดี ผู้บังคับบัญชาอาจตำหนิได้ รวมทั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับการเดินทางมากอาจไม่เพียงพอกับรายได้ ดังนั้นควรเลือกที่ทำงานที่ใกล้ที่พักมากกว่า ซึ่งบางครั้งถ้าไม่สามารถเลือกได้ ก็ควรหาเช่าบ้านพักใกล้ๆ แต่ก็ควรคำนวณค่าใช้จ่ายด้วยว่าจะคุ้มกว่าหรือไม่ 3. รายได้หมายถึง เงินเดือนรวมกับเบี้ยเลี้ยง โบนัสประจำปี และสวัสดิการต่างๆ ที่บริษัทให้ บางบริษัทอาจให้เงินเดือนสูงแต่ทำงานมากชั่วโมงกว่า หรือบางบริษัทให้เงินเดือนต่ำกว่าก็จริงแต่ออกเงินค่าภาษีให้แถมมีโบนัสด้วย ซึ่งอาจสอบถามจากกรรมการเมื่อสอบสัมภาษณ์ก็ได้ 4. บรรยากาศในการทำงานบรรยากาศในที่ทำงาน หรือในองค์กรที่เราจะเข้าไปเป็นทีมงานนั้นมีลักษณะเช่นไร เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาได้ถูกต้อง และเพื่อความสบายกาย - ใจในการทำงานด้วย บางบริษัทเป็นองค์กรขนาดเล็ก แต่อยู่ร่วมกันฉันท์พี่น้อง มีการสอนงานให้กับพนักงานใหม่ก็จะสร้างความอบอุ่นใจให้เกิดขึ้นได้ดีกว่าบางบริษัทที่ใหญ่โต แต่ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีการพึ่งพาอาศัยกัน มีแต่จะชิงดีชิงเด่นกัน อาจจะต้องทำงานด้วยความหวาดระแวงไม่มีความสุข 5. สภาพการทำงานเป็นปัจจัยที่น่าพิจารณาอีกเช่นกัน เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะสามารถทำนายได้ว่าในอนาคตเราจะมีความสุขกับการทำงานนั้นๆ มากน้อยเพียงใด บางองค์กรมีเครื่องใช้สำนักงานที่เพรียบพร้อม รวมไปถึงเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่จะทำให้การทำงานเกิดความราบรื่น และสะดวกสบาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่จะทำให้บุคลากรขององค์กรเกิดประสิทธิภาพ และมีความสุขกับการทำงาน 6. โอกาส/ความก้าวหน้าบางครั้งโดยเฉพาะภาวะการหางานปัจจุบัน ปัจจัยด้านนี้อาจถูกละเลยไป เพราะข้อจำกัดบางประการที่ทำให้ผู้หางานไม่สามารถเลือกงานได้ และไม่ได้คำนึงถึงสิ่งนี้แต่ถ้าเป็นไปได้ควรใส่ใจตรงนี้บ้าง บางบริษัทให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการเข้ารับการฝึกอบรม สัมมนา ดูงาน และฝึกงานทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งถือเป็นกำไรหรือเป็นขวัญกำลังใจ เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้กับบุคลากรได้พัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา 7. ลักษณะงานมีสุภาษิตที่เกี่ยวกับการบริหารบุคคลว่า "Put the right man into the right job" นั่นก็หมายความว่า "จงบรรจุคนที่เหมาะสมที่สุดในงานที่เหมาะสมที่สุด" มนุษย์เรามีความถนัดที่แตกต่างกัน บางคนถนัดคิด แต่ในขณะที่บางคนไม่ถนัดคิดแต่ชอบที่จะลงมือปฏิบัติ ดังนั้น การจัดวางงานให้ตรงกับความถนัด และความเชี่ยวชาญของแต่ละบุคคลนั้นถือเป็นสิ่งจำเป็นซึ่งจะสร้างความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน เพื่อจะได้ทำงานด้วยความรักและเพื่อความมีประสิทธิภาพขององค์กรด้วย ที่มา : ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ธนาคารนครธน จำกัด (มหาชน). 13 มิถุนายน 2561 ผู้ชม 6759 ครั้ง โดย อิศรา ดิสรเตติวัฒน์ ปัจจุบัน การเฟ้นหาพนักงานที่ “ใช่” สำหรับองค์กรนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการตัดสินใจจ้างใครสักคน ไม่ใช่แค่การศึกษาอุปนิสัยหรือบุคลิกลักษณะของคนๆ นั้นเท่านั้น แต่ต้องดูให้ลึกถึง “ศักยภาพ” ที่จะนำไปสู่ “ผลสัมฤทธิ์ของงาน” และ “ความสุขของเพื่อนร่วมงาน” ด้วย โดยภาพรวม เราควรพิจารณาจากทักษะและศักยภาพของแต่ละบุคคล (Competency) ในการทำงาน สมรรถภาพในการเรียนรู้และปรับใช้ทักษะให้เกิดผล ในสถานการณ์ที่แตกต่าง (Capability) และความมุ่งมาดปรารถนา (Drive & Desire) ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับแรงจูงใจเฉพาะบุคคล แต่ก็ใช่ว่าองค์กรจะสามารถ “วัด” และ “ตัดสินใจ” เลือกคน “ได้เวิร์ค” ทุกๆ ครั้ง จากการ “สัมภาษณ์งาน” ปัจจัย 8 ประการ ในการประเมินคุณสมบัติของ “ผู้สมัครงาน”แต่ละปัจจัยจะมีการให้คะแนนตั้งแต่ระดับ 1 “ต้องปรับปรุง” (Very Weak), ไล่เรียงไปจนถึงระดับ 5 “ดีมาก” (Very Strong)
ฉะนั้นในการเลือกผู้สมัครที่ “ใช่” องค์กรจะต้องคำนึงถึงทั้ง “Job Fit” ในข้อ 1 ถึง ข้อ 7 และ “Organization Fit” ในข้อ 8! |