นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ และโฆษกกรมการแพทย์ กล่าวว่า เห็บมีหลายชนิดเป็นพาหะนำโรคติดเชื้อ มักอาศัยอยู่บริเวณต้นหญ้าสูงๆ หรือเกาะอยู่กับสัตว์เลี้ยง เช่น หมา หรือ แมว ซึ่งถ้าถูกเห็บกัดจะไม่มีอาการเจ็บ เพราะในน้ำลายของเห็บมีสารที่ทำให้เกิดอาการชาเฉพาะที่ แต่อาการที่เห็นชัดเจน คือมีตุ่มนูนบวมแดง ในบางรายที่มีอาการแพ้ อาจมีไข้ หรือผื่นลมพิษกำเริบได้ ดังนั้นการรักษาที่ถูกวิธีจะช่วยให้หายจากอาการผื่น บวมแดง หรือแม้กระทั่งอาการอัมพาตชั่วคราวได้อย่างรวดเร็ว ทางด้าน แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวว่า เมื่อถูกเห็บกัดเบื้องต้นให้คีบหัวของเห็บ แล้วค่อยดึงออกขึ้นตรงๆ แต่ต้องระวังอย่าคีบบริเวณลำตัว หรือท้องของเห็บ และไม่บิดคีมขณะที่กำลังคีบ เพราะจะทำให้ส่วนปากของเห็บยังคงค้างอยู่ในผิวหนัง จะทำให้มีอาการเรื้อรังตามมาได้ หลังจากเอาตัวเห็บออกใช้ยาทาลดการอักเสบบวมแดง สำหรับกรณีที่อาการบวมแดงรุนแรงจำเป็นต้องฉีดยาใต้ผิวหนัง แต่ต้องให้แพทย์พิจารณาการรักษาเฉพาะราย โดยทั่วไปอาการที่เกิดจากเห็บกัดมีเพียงอาการเฉพาะที่ พบน้อยมากในรายที่เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น เกิดอัมพาตหลังจากถูกเห็บกัด ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว จากนั้นระยะเวลาไม่นานจะเกิดเป็นอัมพาต ซึ่งภาวะนี้อาจนำไปสู่ภาวะระบบหายใจล้มเหลวเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อาการอัมพาตมักเกิดหลังจากถูกเห็บกัด 4-6 วัน ดังนั้นควรรีบคีบเห็บออกจากผิวหนังทันที อาการอัมพาตก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว. รู้จัก "หมัดแมว" ตัวจี๊ดสุดร้ายของน้อง แต่เป็นพาหะนำโรคสู่คน สัตวแพทย์ แจงหากคนถูกหมัดกัดไม่ถึงขั้นเสียชีวิต แต่ "คัน" มากจนอาจทำให้ผิวหนังอักเสบกำลังเป็นกระแสวันนี้กับเรื่องที่มีเด็กถูก "หมัดแมว" กัด จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตนั้น ซึ่งต่อมาภายหลังแพทย์ได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า การถูกหมัดแมวกัดไม่ได้เป็นสเหตุที่ทำให้เสียชีวิต แต่เนื่องจากเด็กเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) หรือโรคพุ่มพวงกำเริบอย่างรุนแรง มีการติดเชื้อร่วมด้วย ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลวและอักเสบเฉียบพลัน ขณะที่ หมัดแมวและหมัดหมานั้น ทางการแพทย์ยังไม่พบผู้เสียชีวิตจากสองชนิดนี้ วันนี้ TNN ได้พูดคุยกับ รศ.น.สพ.ดร. สนธยา เตียวศิริทรัพย์ หน่วยปรสิตวิทยา ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะสัตวแพทย์ศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งจะมาให้ความรู้เกี่ยวกับ "หมัดแมว" รู้จัก "หมัดแมว" หมัดเป็นปรสิตภายนอกที่สามารถพบได้ทั่วไปบนสัตว์เลี้ยง โดยมีหลายชนิด มีทั้งหมัดที่มีความเฉพาะกับแมว และหมัดเฉพาะสุนัข แต่บางครั้งจะไม่อยู่จำเพาะสัตว์ เช่น หมัดแมวอาจจะมาอยู่บนตัวสุนัข ขณะที่ หมัดสุนัขอาจจะมาอยู่บนตัวแมวได้เช่นกัน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วถ้าพบในแมวจะเป็นหมัด ส่วนที่เจอในสุนัขจะเป็นเห็บมีขา 4 คู่ สำหรับ "หมัด" นั้น เป็นแมลง มีขา 3 คู่ เมื่อโตเต็มวัยจะกินเลือดเป็นอาหาร พบได้ในสัตว์เลี้ยงซึ่งหมัดจะเคลื่อนที่ค่อนข้างเร็ว กระโดดได้ โรคจากการถูก "หมัด" กัด "หมัด" เป็นพาหะในการนำโรคได้หลายอย่าง โดยเป็นเชื้อแบคทีเรียอยู่หลายกลุ่ม เมื่อหมัดไปดูดเลือดแมวแล้วได้รับเชื้อนั้นมา เมื่อหมัดมากัดคนก็มีโอกาสที่คนจะได้รับเชื้อนั้นได้ ทั้งโรคจากสัตว์เลี้ยงสู่สัตว์เลี้ยง และโรคจากสัตว์เลี้ยงสู่คน ตามรายงานทางการแพทย์ต่างประเทศ พบว่า การถูกหมัดกัด อาจนำไปสู่การติดเชื้อโรคอันตรายบางชนิด เช่น กาฬโรคต่อมน้ำเหลือง , ไข้รากสาดใหญ่จากหนู , โรคทุงจิอาสิส , โรคทูลารีเมีย รศ.น.สพ.ดร. สนธยา กล่าวย้ำว่า แต่ในประเทศไทยเอง ยังไม่มีรายงานเรื่องของโรคที่หมัดเป็นพาหะนำมาสู่คนได้ ไม่ว่าจะการสำรวจในแมวหรือในหมัดก็ตาม แต่ในต่างประเทศเคยเกิดขึ้นแล้ว ยกเว้นอาการ "แพ้น้ำลายหมัด" เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อย ใครๆ ก็สามารถเป็นได้เมื่อโดนหมัดกัด ดังนั้น จึงไม่อยากให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนกในเรื่องนี้ สังเกตอาการเมื่อโดน "หมัด" กัด ลักษณะอาการทั่วไปของคนที่โดนหมัดกัดนั้น จะเกิดอาการแพ้มีตุ่มขึ้นคล้ายโดนยุงกัด เป็นจุดสีเข้มขนาดเล็ก ล้อมรอบด้วยสีแดง มีอาการบวมน้อยกว่ารอยกัดของแมลงชนิดอื่น มักจะไม่เจ็บแต่จะมีอาการ "คัน" อย่างมาก เป็นตุ่มแดงนูนบริเวณที่โดนกัด มีจุดตรงกลาง ตุ่มขึ้นเป็นหย่อมอยู่ใกล้เคียงกัน ไม่กระจายทั่วตัว เมื่อมีอาการแพ้น้ำลายหมัดจะมีตุ่มขึ้นเต็มหลายตุ่มบริเวณที่โดนกัด โดยหลักๆ จะคันมาก "ถามว่าอันตรายถึงชีวิตหรือไม่นั้น เท่าที่เคยเจอมา ยังไม่พบผู้ที่แพ้น้ำลายหมัดจากการโดนหมัดกัดถึงขั้นเสียชีวิต เพียงแค่อาการคัน และผิวหนังอักเสบเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นเสียชีวิต" รศ.น.สพ.ดร. สนธยา อธิบาย วิธีการรักษาดูแลตัวเอง - สำหรับคน - เมื่อถูกหมัดกัดอย่าเกา เพราะจะทำให้เกิดปัญหาหนักขึ้น ทำความสะอาดรอยกัดด้วยสบู่และน้ำอุ่น ใช้สเปรย์ฆ่าเชื้อหรือโลชั่นบริเวณรอยกัดเพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ ประคบเย็นบริเวณรอยกัดเพื่อลดอาการบวม รับประทานยาแก้แพ้เพื่อลดอาการคัน หากยังไม่หายให้ไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยอาการ พร้อมจ่ายยาแก้คันให้เบื้องต้น โดยเป็นยาที่ลดอาการคันได้ค่อนข้างมาก แต่หากมีผื่นขึ้นเยอะอาจจะต้องมีการรับประทานยาเพิ่มด้วย โดยระยะเวลาที่เป็นประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพราะผู้ป่วยจะค่อนข้างคัน บางครั้งเผลอเกาก็ยิ่งคัน แดง เกิดผิวหนังอักเสบ - สำหรับสัตว์เลี้ยง - ปัญหาหมัดแมว พบเจอได้ค่อนข้างเยอะในประเทศไทย โดยสิ่งที่สามารถป้องกันได้ในการกำจัดหมัดในแมวมีหลายอย่าง เช่น - ยากิน : ช่วยในการกำจัดหมัด - ยาหยด หรือสเปรย์ : หยดไปที่ผิวหนังของแมว ตัวยาดังกล่าวจะกระจายไปทั่วตัวแมว และมีฤทธิ์ในการกำจัดเห็บหมัดด้วย - ยาฉีด : ยาฉีดใต้ผิวหนัง เช่น Ivermectin - การอาบน้ำสัตว์ : ด้วยสารเคมีกำจัดแมลงชนิดต่างๆ เช่น Amitraz , Flumethrin - การทำความสะอาด : พรมและเครื่องเรือนต่างๆ ที่สัตว์เลี้ยงของใช้นอนด้วยเครื่องดูดฝุ่นเพื่อที่จะขจัดหมัดและไข่ |