การค้ำประกันบุคคลเข้าทำงาน เป็นการยืนยันต่อนายจ้างว่า บุคคลที่กำลังจะเข้าทำงานนั้น เป็นคนดี มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่คิดคดโกง ไม่ทุจริต และหากมีความเสียหายเกิดขึ้นเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่การงานดังกล่าว ผู้ค้ำประกันยินดีชดใช้ค่าเสียหายแทนบุคคลนั้น สาเหตุที่ทำให้ผู้ค้ำประกันตัดสินใจการค้ำประกันบุคคลเข้าทำงาน มีหลายกรณีครับ เช่น เป็นเพื่อน เป็นญาติ เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดา เป็นพี่น้องร่วมบิดาหรือมารดา ฯลฯ บางกรณีผู้ค้ำประกันไม่ได้รู้จักกับผู้ที่จะเข้าทำงานเลยครับ แต่ถูกขอร้องจากคนสนิท จึงปฏิเสธไม่ได้ ต้องลงนามในสัญญาค้ำประกันการทำงานตามระเบียบ บางคนรู้จักกันมาเป็น 10 ปี รู้จักนิสัยใจคอกันมาอย่างดี แต่การรู้จักกันมานานไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าในอนาคตคนคนนั้น จะเป็นคนดีตลอดไปนะครับ เพราะความเกรงใจแท้ๆ จึงมิอาจปฏิเสธได้ ส่วนค่าตอบแทนไม่ต้องพูดถึง มีเพียงแค่คำขอบคุณจากใจเท่านั้นครับ สิ่งแรกที่คุณควรจะรู้ คือ งานประเภทใดบ้างที่นายจ้างสามารถเรียกเงินประกันหรือรับหลักประกันการทำงานได้ ซึ่งตามกฎหมายมีเพียงงานบางประเภทเท่านั้นนะครับ ไม่ใช่ว่านายจ้างจะสามารถเรียกเงินประกันหรือรับหลักประกันในงานทุกประเภท ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ปี 2541 มาตรา 10 ประกอบกับหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้งานดังต่อไปนี้นายจ้างสามารถเรียกหลักประกัน เพื่อประกันความเสียหายหรือการค้ำประกันโดยบุคคลได้ (1) งานสมุห์บัญชี หากเป็นลักษณะงานที่นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ข้างต้นนั้น นายจ้างไม่สามารถเรียกหลักประกัน เพื่อประกันความเสียหาย หรือการค้ำประกันโดยบุคคลได้ครับ ทั้งนี้ แม้นายจ้างจะมีสิทธิ์เรียกหลักประกันหรือรับหลักประกัน หรือจัดให้มีบุคคลค้ำประกันได้ก็ตาม นายจ้างสามารถเรียกหลักประกันเงินสด หลักประกันอื่นๆ หรือกำหนดให้บุคคลค้ำประกัน ได้ไม่เกิน 60 เท่า ของอัตราค่าจ้างรายวัน โดยเฉลี่ยที่ลูกจ้างได้รับเท่านั้นครับ จะเรียกเอามากกว่านี้ไม่ได้ครับ กรณีที่นายจ้างไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ปี 2541 มาตรา 10 ข้างต้น โดยเรียกหลักประกันหรือรับหลักประกันในงานที่นอกเหนือจากที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด หรือเรียกหลักประกันมากกว่า 60 เท่าของอัตราค่าจ้างรายวัน นายจ้างจะมีความผิดตามมาตรา 144 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ปัญหาที่พบมาก คือ มีการทำสัญญาค้ำประกันการทำงานก่อน ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับหลักประกันฯ มีผลใช้บังคับ วันที่ 4 กรกฎาคม 2551 แบบนี้ความรับผิดของผู้ค้ำประกันจะเป็นอย่างไร ในกรณีนี้ให้พิจารณาว่า ลูกจ้างนั้นได้กระทำความผิดก่อนหรือหลังวันที่ประกาศกระทรวงแรงงานมีผลบังคับใช้ โดยไม่ต้องพิจารณาว่าสัญญาค้ำประกันการทำงานนั้น จะจัดทำขึ้นมาเมื่อใด กรณีที่ลูกจ้างได้กระทำความผิด "ก่อน" วันที่ประกาศกระทรวงแรงงานมีผลบังคับใช้ วันที่ 4 กรกฎาคม 2551 กรณีนี้ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดชอบต่อนายจ้างตามวงเงินความรับผิดที่ระบุไว้ในสัญญาค้ำประกันการทำงาน เทียบเคียง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10743/2557 ตอนนี้ที่ลูกจ้างได้กระทำความผิด "หลัง" วันที่ประกาศกระทรวงแรงงานมีผลบังคับใช้ วันที่ 4 กรกฎาคม 2551 ผู้ค้ำประกันมีความรับผิดเพียงเงินไม่เกิน 60 เท่า ของอัตราค่าจ้างรายวัน โดยเฉลี่ยที่ลูกจ้างได้รับครับ แม้ว่าในสัญญาค้ำประกันการทำงานจะระบุวงเงินค้ำประกันไว้เท่าใดก็ตาม สิ่งที่ผู้ค้ำประกันการทำงานควรระวัง เมื่อลูกจ้างได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างแล้ว ผู้ค้ำประกันไม่ควรไปลงนามรับสภาพหนี้กับนายจ้าง ซึ่งจะก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้อง นอกเหนือจากสัญญาค้ำประกันการทำงานครับ การลงนามในสัญญารับสภาพหนี้ อาจจะมีผลให้นายจ้างสามารถใช้สิทธิเรียกร้องให้ผู้ค้ำประกันรับผิดชอบเต็มจำนวนตามที่ลูกจ้างได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อนายจ้างครับ สำหรับท่านที่มีคำถาม ข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย และต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมได้ที่ “คุยกับคนดัง” [email protected] ได้เลยครับ การค้ำประกันบุคคลเข้าทำงาน เป็นการยืนยันต่อนายจ้างว่า บุคคลที่กำลังจะเข้าทำงานนั้น เป็นคนดี มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่โกง ไม่ทุจริต แต่หากมีความเสียหายเกิดขึ้นเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่การงานดังกล่าว ผู้ค้ำประกันยินดีชดใช้ค่าเสียหายแทนบุคคลนั้น งานประเภทใดบ้างที่ นายจ้างสามารถเรียกเงินประกันหรือรับหลักประกันการทำงานได้ ซึ่งตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ปี 2541 มาตรา 10 ประกอบกับหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้งานดังต่อไปนี้นายจ้างสามารถเรียกหลักประกัน เพื่อประกันความเสียหายหรือการค้ำประกันโดยบุคคลได้ (1) งานสมุห์บัญชี หากเป็นลักษณะงานที่นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ข้างต้นนั้น นายจ้างไม่สามารถเรียกหลักประกัน เพื่อประกันความเสียหาย หรือการค้ำประกันโดยบุคคลได้ครับ ทั้งนี้ แม้นายจ้างจะมีสิทธิ์เรียกหลักประกันหรือรับหลักประกัน หรือจัดให้มีบุคคลค้ำประกันได้ก็ตาม นายจ้างสามารถเรียกหลักประกันเงินสด หลักประกันอื่นๆ หรือกำหนดให้บุคคลค้ำประกัน ได้ไม่เกิน 60 เท่า ของอัตราค่าจ้างรายวัน โดยเฉลี่ยที่ลูกจ้างได้รับเท่านั้นครับ จะเรียกเอามากกว่านี้ไม่ได้ครับ ประการสำคัญ หากสัญญาค้ำประกันทำงาน กำหนดให้ผู้ค้ำรับผิดชดใช้ค่าเสียหายโดยไม่จำกัดวงเงิน จะมีผลอย่างไร ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 354/2561 สัญญาค้ำประกันการทำงานของลูกจ้าง โดยกำหนดให้คนค้ำประกันยอมรับผิดชดใช้หนี้สินและความเสียหายแก่ผู้ว่าจ้างหรือนายจ้าง กรณีที่ลูกจ้างได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้าง นั้น เป็นการกำหนดความรับผิดของผู้ค้ำประกันโดยไม่จำกัดวงเงิน จึงเป็นการที่นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกันโดยการค้ำด้วยบุคคลเป็นวงเงินเกินกว่า 60 เท่าของอัตราค่าจ้างรายวัน อันเป็นการฝ่าฝืน ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง พ.ศ.2551 ออกตาม มาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ สัญญาค้ำประกันจึงตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 นายจ้างจึงไม่อาจนำ สัญญาค้ำประกันมาฟ้องให้ผู้ค้ำประกันรับผิดชดเชยความเสียหายได้ จากคำพิพากษาฎีกาฉบับดังกล่าว แม้ว่าผู้ค้ำประกันจะไม่ต้องรับผิด หากสัญญาค้ำประกันมิได้จำกัดวงเงินค้ำประกันไว้ แต่สิ่งที่ผู้ค้ำประกันการทำงานควรระวัง เมื่อลูกจ้างได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างแล้ว ผู้ค้ำประกันไม่ควรไปลงนามรับสภาพหนี้กับนายจ้าง ซึ่งจะก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้อง นอกเหนือจากสัญญาค้ำประกันการทำงานครับ การลงนามในสัญญารับสภาพหนี้ อาจจะมีผลให้นายจ้างสามารถใช้สิทธิเรียกร้องให้ผู้ค้ำประกันรับผิดชอบเต็มจำนวนตามที่ลูกจ้างได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อนายจ้างครับ |