วันนี้เราจะพาสาวๆ ไปจับคู่สกินแคร์ที่ใช้คู่กันแล้วดีค่ะ! ซึ่งการใช้สกินแคร์เพียงหนึ่งตัวว่าช่วยทำให้ผิวหน้าของเราดีขึ้นแล้ว หากสาวๆ รู้ว่าส่วนผสมในสกินแคร์ชนิดไหนควรใช้คู่กัน สาวๆ ก็จะยิ่งได้รับการบำรุงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมได้เลยล่ะค่ะ เพราะสกินแคร์บางอย่างนั้นเมื่อนำมาใช้คู่กันแล้ว จะช่วยบำรุงผิวได้ดีกว่าการใช้เดี่ยวๆ อีกนะคะ ดังนั้นสาวๆ ต้องรู้ก่อนเลยว่าส่วนผสมในสกินแคร์อะไรควรใช้คู่กับอะไรบ้าง ถือเป็นเคล็ดลับความสวยที่ช่วยให้การบำรุงผิวของเราได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นค่ะ Show Vitamin C + Peptides= ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนบนชั้นผิว ตัวอย่างสกินแคร์
Retinol + Niacinamide= ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วออก และตัว Niacinamide จะช่วยลดอาการระคายเคืองจากการใช้ Retinol ได้ดี ตัวอย่างสกินแคร์
Vitamin C + SPF= ช่วยปกป้องผิวจากการโดนรังสี UV ทำร้าย ตัวอย่างสกินแคร์
Salicylic Acid + Niacinamide= ช่วยลดสิว และลดการผลิตน้ำมันส่วนเกินบนชั้นผิว ตัวอย่างสกินแคร์
Retinol + Hyaluronic Acid= Retinol ช่วยลดเลือนริ้วรอย ส่วน Hyaluronic Acid ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวไม่แห้งจนเกินริ้วรอยได้ง่าย ซึ่งการใช้ Retinol อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ ดังนั้นการใช้ร่วมกับ Hyaluronic Acid จะช่วยลดอาการระคายเคืองได้ดี ตัวอย่างสกินแคร์
Ceramides + Hyaluronic Acid= ช่วยฟื้นฟูผิว และเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ตัวอย่างสกินแคร์
Vitamin C + Vitamin E= ต้านอนุมูลอิสระ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ตัวอย่างสกินแคร์
Vitamin C + Hyaluronic Acid= ช่วยลดเลือยริ้วรอยและสัญญาณแห่งวัยอื่นๆ ตัวอย่างสกินแคร์
Glycolic Acid + Vitamin C= ช่วยลดรอยดำ รูขุมขนดูเล็กลง และช่วยปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น ตัวอย่างสกินแคร์
Retinol + Glycolic Acid= ช่วยจัดการกับปัญหาสิวได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างสกินแคร์
Resveratrol + Glycolic Acid= ช่วยลดความหมองคล้ำจากแสงแดด ตัวอย่างสกินแคร์
......................................... อัพเดทเทรนด์เมคอัพ แฟชั่น เคล็ดลับลดน้ำหนัก และไลฟ์สไตล์ผู้หญิงใหม่ๆ ทุกวัน ได้ที่แอปพลิเคชัน ทรูไอดี ดาวน์โหลดเลยที่นี่!! บทความที่คุณอาจสนใจ
ขึ้นชื่อว่าสกินแคร์ ฟังยังไงมันก็ต้องดีต่อผิวอยู่แล้วจริงมะ ถ้าใช้ให้ถูกกับสภาพผิว ไม่มีส่วนผสมอะไรที่เราแพ้ รับรองว่ามีแต่จะทำให้หน้าเราสวย สวย สวย และสวยขึ้นเท่านั้น ( สวยพี่สวย! ) และแน่นอนว่าปัญหาผิวที่สาวๆ มักให้ความสำคัญ และพยายามกำจัดทิ้ง ส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นเรื่องริ้วรอย และผิวหมองคล้ำ ฉะนั้นถ้ามีอะไรพอจะช่วยได้ ก็อยากจะใช้ ยิ่งเห็นผลเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ซึ่งหลายคนก็ไปรู้มาว่า เอ้อ ตัวนี้ช่วยเรื่องริ้วรอย เอ้อ ตัวนี้ช่วยเรื่องผิวใส งั้นก็เอามาใช้ด้วยกันเลยจะได้เห็นผลเร็วๆ ตืดๆ ! ( เสียงสัญญาณบอกว่าผิด ) ก็จริงอยู่ว่า ปกติเวลาเราใช้สกินแคร์ที่ละหลายๆ ตัวก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ถ้าไม่แพ้ ซึ่งก็จริง แต่สกินแคร์บางตัวก็ใช่ว่าจะใช้ด้วยกันได้ไปซะหมดนี่นา ( ใช่มะ ไม่มีใครเคยบอกไว้นี่เน้อ ) ฉะนั้นจริงๆ แล้วสกินแคร์บางอย่าง ไม่สามารถใช้ด้วยกันได้ ถึงแม้ว่าตอนใช้เดี่ยวๆ จะดีแค่ไหน แต่ถ้าใช้ด้วยกันแล้วอาจทำหน้าคุณพังทันที อย่ารอให้หน้าพัง รีบไปเช็ค 4 สกินแคร์ ที่ห้ามใช้คู่กันเด็ดขาด ไม่งั้นหน้าจะพังก่อนสวย จะซวยเอานะ!
ถ้าใครเคยรู้มาว่าทั้งสองตัวนี้ล้วนเป็นประเภทสกินแคร์ที่ดีต่อเรื่องริ้วรอย คุณเข้าใจถูกต้องแล้ว เพราะ AHAs ( glycolic and lactic acid ) และ BHA ( salicylic acid ) ต่างก็ทรงพลังในแง่ของการผลัดเซลล์ผิวทั้งคู่ ส่วน Retinol ( วิตามินเอในอีกรูปแบบหนึ่ง ) ก็มีความสามารถในการทำให้การหมุนเวียนของเซลล์ผิวเป็นไปอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ( ถ้าจะให้พูดตามศัพท์แสงทางวิทยาศาสตร์ก็คือ เร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวธรรมชาติให้เร็วขึ้นนั่นแหละ )และเพราะเหตุผลนี้นี่แหละ เราจึงไม่ควรเอามาจับคู่กันเด็ดขาด ส่วนผสมทั้งสองอย่างนี้ ต่างช่วยในเรื่องกำจัดเซลล์ผิวที่แก่แล้ว เซลล์ผิวที่หมองคล้ำ หรือเซลล์เสียหาย ให้ออกไปจากผิวของเรา และแทนที่ด้วยเซลล์ใหม่ที่สุขภาพดีกว่า และสดใสไฉไลกว่า
ซึ่งถ้าใช้ทีละอย่าง แน่นอนว่ามันให้ประโยชน์ตามนั้นแหละ แต่ถ้าใช้ด้วยกันเมื่อไหร่ล่ะก็ ดูเหมือนจะช่วยทำให้ผิวเรากลายเป็นรอยแดง และระคายเคืองซะมากกว่า เอ้อ! แถมยังทำให้ผิวของเราไวต่อแดดมากขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหากนะ การจับคู่ของสองตัวนี้ ช่วยอธิบายข้อเสียของความโลภได้ดีเลยนะเนี่ย วิธีแก้ไข : ใช้ทั้ง 2 ตัวนี้แยกกัน โดยอาจจะเว้นเวลากัน เว้นวันกัน หรือเว้นอาทิตย์ไปเลย อย่างเช่นใช้กรดไกลโคลิก ในตอนเช้า แล้วใช้เรตินอลในตอนกลางคืน หรือจะใช้กรดไกลโคลิกในวันจันทร์ แล้ววันอังคารค่อยใช้เรตินอล แบบนี้ก็ได้เช่นกัน
เรตินอลเจ้าเก่ามาอีกแล้ว ก็ช่วยไม่ได้ อยากเป็นสกินแคร์ที่สาวๆ ต้องการทำไมล่ะเนอะ แต่คุณรู้รึเปล่าว่า จริงๆ แล้วเรตินอล ที่สาวๆ คลั่งไคล้กันนั้น นอกจากจะช่วยเรื่องริ้วรอยแล้ว ยังสามารถรักษาสิวได้เช่นกัน ในขณะเดียวกัน benzoyl peroxide ก็มีความสามารถในการลอกผิว เพื่อทำให้รูขุมขนไม่อุดตัน เพื่อประโยชน์ในการฆ่าแบคทีเรีย และนั่นแหละ ที่ทำให้สกินแคร์ตัวนี้สามารถรักษาสิวได้ แต่ benzoyl peroxide ก็แรงด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว และนั่นแหละที่เป็นสาเหตุที่เจ้าตัวนี้ควรใช้กับสิวเท่านั้น แล้วคุณลองคิดดูสิว่าขนาด benzoyl peroxide ยังรุนแรงขนาดนั้น แล้วถ้าไปใช้คู่กับ Retinol จะรุนแรงขนาดไหน๊!? ผิวคุณจะลอกเป็นแผ่นๆ, ผิวเป็นรอยแดง และระคายเคืองด้วยนะ ต้องการผิวแบบนั้นจริงๆ เรอะ? วิธีแก้ไข:
เรตินอล และวิตามิน C สำหรับผู้หญิงแล้ว น่าจะเป็นส่วนผสมตัวโปรดทั้งคู่ เพราะทั้ง 2 ตัวนี้ต่างก็ทรงพลังในการทำให้ผิวเราสวยขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะต่อต้านสารอนุมูลอิสระ, กระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจน ( ซึ่งดีต่อเรื่องริ้วรอยมาก ) และนอกจากนี้ยังช่วยทำให้ผิวใสสว่างขึ้นได้ด้วย แต่ถึงแม้จะดีทั้งคู่ยังไง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีถ้าใช้พร้อมกันทั้งคู่! เรตินอลจะทำหน้าที่ได้ดีที่สุด ในระดับความเป็นกรดด่างที่ pH of 5.5-6 แต่ วิตามิน C ( วิตามินซีบริสุทธิ์ในรูปแบบ l-ascorbic acid ) ต้องการ pH ที่ 3.5 หรือต่ำกว่านั้น.... เริ่มเห็นปัญหาแล้วอ๊ะยัง? จริงๆ มันแค่เป็นอะไรที่ยาก หากจะหาโปรดักส์ตัวไหนที่สามารถมีค่า pH ที่ตรงกับที่สกินแคร์ทั้ง 2 ตัวนี้ต้องการ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยู่ด้วยกันแล้วจะไร้ประโยชน์ซะดีเดียวหรอกนะ ( มีโปรดักส์ดีๆ หลายตัวที่มีส่วนผสมทั้ง 2 ตัวนี้ อยู่ในอันเดียว ) คือก็ยังทำงานได้อยู่ แค่จะไม่ให้ผลดีที่สุด ตามที่ประสิทธิภาพของทั้ง 2 ตัวนี้ควรจะเป็น
วิธีแก้ไข :
อันนี้สาวๆ ส่วนใหญ่ที่เคยลองใช้แล้ว อาจจะพบกับปัญหาด้วยตัวเองแล้วก็เป็นได้ อย่างแรกเลย Niacinamide หรือวิตามิน B3 เมื่อผสมกับ วิตามิน C จะทำให้วิตามิน C กลายเป็นสีเหลือง ซึ่งทำให้ไร้ประสิทธิภาพ และสาวๆ อาจจะไม่กล้าใช้ตั้งแต่มันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้วก็เป็นได้ อย่างที่สอง เมื่อผสม Niacinamide กับ วิตามิน C ก็จะทำให้กลายเป็น Niacin สสารที่ทำให้ผิวเกิดอาการชาได้ชั่วคราว ในรายที่มีผิวไหม้ หรือผื่นแดงอยู่แล้ว ฉะนั้นใครที่มีผื่นแดง อย่าได้ใช้ทั้ง 2 ตัวนี้พร้อมกันเชียวนะจ๊ะ แต่เดี๋ยวเรามีวิธีใช้ดีๆ ด้านล่าง วิธีแก้ไข : ถึงแม้ว่าสกินแคร์จะดีต่อผิวเราก็จริง แต่ถ้าใช้ผิดวิธีก็หน้าพังขึ้นมาไม่ทันตั้งตัวเลยนะเนี่ย ถ้าอยากมีผิวดี แนะนำให้ค่อยๆ ใช้สกินแคร์อย่างระมัดระวัง ถ้าจะใช้แบบแรงๆ เพื่อรักษา แก้ปัญหาผิวหน้าแบบทั้ง 4 ข้อนี้ ใช้อย่างค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปดีกว่า ถึงจะช้า แต่ผิวก็ออกมาสวยแน่นอนเนอะ |