การอนุรักษ์พลังงานในโรงงาน การอนุรักษ์พลังงานในโรงงาน ได้แก่ 1. การปรับปรุงประสิทธิภาพของการเผาไหม้เชื้อเพลิง 2. การป้องกันการสูญเสียพลังงาน 3. การนำพลังงานที่เหลือจากการใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ 4. การเปลี่ยนไปใช้พลังงานอีกประเภทหนึ่ง 5. การปรับปรุงการใช้ไฟฟ้าด้วยวิธีปรับปรุงตัวประกอบกำลังไฟฟ้า การลดความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุดในช่วงความต้องการใช้ ไฟฟ้าสูงสุดของระบบ
การใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าให้เหมาะสมกับภาระและวิธีการอื่น 6. การใช้เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ตลอดจนระบบควบคุมการทำงานและวัสดุที่ช่วยในการอนุรักษ์พลังงาน 7. การอนุรักษ์พลังงานโดยวิธีอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง การอนุรักษ์พลังงานในอาคาร การอนุรักษ์พลังงานในอาคาร ได้แก่ 1. การลดความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่เข้ามาในอาคาร 2. การปรับอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการรักษาอุณหภูมิภายในอาคารให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 3. การใช้วัสดุก่อสร้างอาคารที่จะช่วยอนุรักษ์พลังงาน ตลอดจนการแสดงคุณภาพของวัสดุก่อสร้างนั้น ๆ 4. การใช้แสงสว่างในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ 5. การใช้และการติดตั้งเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุที่ก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในอาคาร 6. การใช้ระบบควบคุมการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ 7. การอนุรักษ์พลังงานโดยวิธีอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง การอนุรักษ์พลังงานเป็นสิ่งจําเป็นและมีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตต่างๆ รวมถึงมนุษย์ สังคมประเทศชาติ ทําให้เกิดการประหยัดการใช้พลังงาน ลดค่าใช้จ่าย การสร้า ลานกการใช้พลังงาน และช่วยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมให้เกิดควร ของควาสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว และประเทศชาติ ทําให้เกิดการประหยัดก ค่านิยมและจิตสํานึกการใช้พลังงาน และช่วยรักษาความสมดุลของกฎของการอนุรักษ์พลังงาน 1.1 กฎของการอนุรักษ์พลังงาน (The Law of Energy Conversation) ได้กําหนดไว้ Conservation) ได้แต่สามารถจะเปลี่ยนรูปหรือเคลื่อนย้ายได้ โดย ว่าพลังงานไม่สามารถสร้างเพิ่มหรือทําภาคใต้ พลังงานทั้งหมดยังคงมีอยู่เหมือนเดิมเช่นรถยนต์เคลื่อนที่ได้เพราะมีเครื่องยนต์ เครื่องยนต์ได้รับพลังงาน ขับเคลื่อนรถยนต์จากน้ํามันเบนซิน โดยน้ํามันเบนซินเป็นพลังงานศักย์ทางเคมีที่ถูกเผาไหม้จนร้อนทําให้ เปลี่ยนสถานะจากพลังงานเคมีเป็นพลังงานความร้อน เครื่องยนต์จึงอาศัยพลังงานความรอนทเดรับ ไปเปลี่ยนเป็นพลังงานกลเพื่อขับเคลื่อนรถยนต์ แต่ความร้อนทั้งหมดไม่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานกล ได้ทั้งหมด ดังนั้นพลังงานที่ได้รับเท่ากับพลังงานที่ได้ประโยชน์และพลังงานที่สูญเสียไป ดังสูตร พลังงานที่ได้รับ = พลังงานที่ได้ประโยชน์ + พลังงานที่สูญเสีย หมายความว่าไม่มีเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ใดๆ ที่จะได้รับประสิทธิภาพจากการใช้ พลังงานเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ กฎของการอนุรักษ์พลังงาน ได้แก่ 1) กฎข้อที่หนึ่งของอุณหพลศาสตร์ (The First Law of Thermodynamics) การเปลี่ยนแปลง พลังงานด้านฟิสิกส์และเคมีไม่สามารถทําให้พลังงานสร้างเพิ่มขึ้นหรือทําลายลงได้ แต่อาจเปลี่ยนแปลง รูปแบบของพลังงานจากรูปแบบหนึ่งไปยังอีกรูปแบบหนึ่งได้ดังนั้นปัจจัยนําเข้าพลังงานจึงเท่ากับผลลัพธ์ ที่ได้จากพลังงานคือ ปริมาณพลังงานที่ได้รับเป็นเพียงประโยชน์ที่ได้รับจากการทํางานของพลังงานเท่านั้น 2) กฎข้อที่สองของอุณหพลศาสตร์ (The Second Law of Thermodynamics) เมื่อ พลังงานมีการเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบหนึ่งไปยังอีกรูปแบบหนึ่ง การใช้ประโยชน์จากพลังงานจะมีคุณภาพ ลดลงเสมอ กล่าวคือ ยิงพลังงานไปไกลมากเท่าใดประโยชน์ที่จะได้รับยิ่งมีน้อยเท่านั้น เนื่องจากไม่สามารถ แยกคุณภาพของพลังงานออกจากการใช้ประโยชน์ได้ 1.1.2 ประสิทธิภาพของพลังงานหรือผลิตภาพของพลังงาน การวัดผลประสิทธิภาพหรือ ผลิตภาพของพลังงานสามารถวัดได้จากจํานวนงานที่ได้รับประโยชน์ในการนําเอาปัจจัยพลังงานเข้าไปสู่กระบวนการหนึ่งๆ เท่านั้น เช่น ในเวลา 1 ชั่วโมง สามารถผลิตรองเท้าได้จํานวน 1,000 คู่ มีการใช้พลังงานไฟฟ้าไป 4 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง (พลังงานไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์เท่ากับ 1.000 วัตต์) ดังนั้น ประสิทธิภาพพลังงานเท่ากับ 4,000/1,000 เช้พลังงานจํานวน 4วัตต์ในการผลิตรองเท้า 1 คู่ เป็นต้น ประสิทธิภาพพลังงาน = พลังงานที่ได้ประโยชน์ / พลังงานที่ใช้จริง 1.1.3 การประหยัดพลังงานทางเศรษฐศาสตร์ กฎพื้นฐานของการประหยัดพลังงาน ควรนํากิจกรรมทั้งหมดที่ก่อให้เกิดต้นทุนการใช้พลังงานมาคิดรวมกันเพื่อให้ได้ต้นทุนต่อหน่วย เงื่อนไข ของการประหยัดพลังงานจะขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่ได้รับและจะสัมพันธ์กับการใช้พลังงาน ซึ่ง ไม่ใช้ต้นทุนพลังงานเพียงอย่างเดียว เช่น การขับรถเพื่อขนส่งสินค้าโดยใช้ทางด่วน บนทางด่วนห้ามใช้ ความเร็วรถเกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยและประหยัดน้ํามัน แต่ความเป็นจริง การขนสินค้าที่ช้ากว่ากําหนดอาจทําให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้นได้ อาทิ ค่าแรงงานพนักงาน ต้นทุนค่าขนส่งสินค้า เป็นต้น ดังนั้นจํานวนการประหยัดพลังงานที่เหมาะสมอาจกําหนดจากคุณค่าหรือประโยชน์ของการประหยัด พลังงานที่มีเพิ่มขึ้นเท่ากับผลรวมของต้นทุนที่เกิดขึ้นบวกด้วยการลดประโยชน์จากการใช้พลังงานที่ได้รับประโยชน์การประหยัดที่เพิ่มขึ้น - ต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น + ประโยชน์การใช้พลังงานที่ลดลง 1.1.4 ความหมายของการอนุรักษ์พลังงาน การอนุรักษ์พลังงานเป็นการผลิตและการใช้ พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด นอกจากจะช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานแล้วยังเป็น การประหยัดค่าใช้จ่าย และช่วยสร้างจิตสํานึกของการประหยัดพลังงาน ลดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจาก การผลิตพลังงาน การสร้างและกําหนดนโยบายด้านพลังงานเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการใช้พลังงานอย่าง คุ้มค่า ช่วยอํานวยความสะดวกแก่องค์กรในการจัดการพลังงานและการวางแผนการใช้พลังงานเพื่อให้ เกิดประโยชน์สูงสุด การใช้พลังงานเชิงอนุรักษ์มีการใช้พลังงานอย่างมีจุดมุ่งหมาย ดังนี้ 6. การนําผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ เช่น สามารถซอม551 การใช้งานได้ ผลิตใหม่ได้ใช้ใหม่ได้ หมุนเวียนใช้ใหม่ได้ และการถซ่อมแซมได้ เปลี่ยนสภาพ 1.2การอนุรักษ์พลังงานในครัวเรือน (Energy Conservation in Households) การอนุรักษ์พลังงานในครัวเรือนแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.2.1 การใช้พลังงาน (Energy Consumptions) ครัวเรือนครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในเมืองกับชนบท มีปริมาณการใช้พลังงานที่แตกต่างกัน การใช้พลังงานในครัวเรือน ได้แก่ 1.2.2 การประหยัดพลังงาน (Energy Saving) ทําได้โดยการลดการใช้พลังงานไฟฟ้า และน้ํามันเชื้อเพลิง ดังนี้ ภาพที่ 5.1 ฉลากผลิตภัณฑ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 งาน การใช้หลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ 4) การประหยัดน้ํามันเชื้อเพลิง เป็นการลดการใช้น้ํามันเชื้อเพลิงของรถยนต์ต่างๆ โดยการเปลี่ยนประเภทน้ํามันเชื้อเพลิงที่ใช้และประหยัดการใช้น้ํามัน ดังนี้ (2) การใช้น้ํามันเชื้อเพลิงต่างๆ เช่น การเปลี่ยนมาใช้รถขนาดเล็กที่ประหยัด จะนการใช้รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ 2 ระบบ เช่น น้ํามันเบนซินและแก๊สธรรมชาติหรือไฟฟ้า การเปลี่ยน อนเชื้อเพลิงมาเป็นแก๊ส NGV และ LPG การใช้น้ํามันดีเซลและไบโอดีเซล 1.2.3 การอนุรักษ์พลังงาน (Energy Conservations) การอนุรักษ์พลังงานสําหรับอุปกรณ์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนคือการนําพลังงานมาใช้หมุนเวียนและการนํากลับมาใช้ใหม่ เช่นการใช้น้ํา ในการล้างรถสามารถใช้ถังแทนการใช้สายยางฉีด ใช้น้ําที่เหลือจากการซักผ้ามารดต้นไม้ การใช้เตารีดใน การรีดผ้าควรตั้งอุณหภูมิที่เหมาะสมและรีดผ้าคราวละมากๆ เป็นต้น 1.3 การอนุรักษ์พลังงานในองค์กร (Energy Conservation in Organizations) ไม่ว่าจะเป็นองค์กรภาครัฐหรือภาคเอกชนต่างก็มีบทบาทในการใช้พลังงาน การประหยัด พลังงาน และการอนุรักษ์พลังงานทั้งสิ้น เนื่องจากองค์กรมีการใช้พลังงานสูงเมื่อเปรียบเทียบกับ ภาคครัวเรือนหากมีการเติบโตทางเศรษฐกิจมากเท่าใดก็ยิ่งมีการใช้พลังงานมากเท่านั้นการอนุรักษ์พลังงาน ในองค์กร ได้แก่ 1.3.1 การอนุรักษ์พลังงานในองค์กรภาครัฐ (Energy Conservation in Organizations govemment) มี 2 ส่วนที่สําคัญคือ การอนุรักษ์พลังงานจากการใช้อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าในสํานักงาน และการใช้น้ํามันเชื้อเพลิงสําหรับยานพาหนะต่างๆ เช่น การอนรักษ์พลังงานในอาคารและสํานักงาน ควรปิดแอร์ก่อนเลิกงาน 30 นาที ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จําเป็น ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดไฟ เป็นต้น 1.3.2 การอนุรักษ์พลังงานในองค์กรภาคเอกชน (Energy Conservation in Organizations private sector) มีลักษณะเช่นเดียวกันกับการอนุรักษ์พลังงานของภาครัฐ แต่มีความแตกต่างกัน ตรงที่ภาคเอกชนอาจเป็นกิจการขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ปริมาณการใช้พลังงานจะขึ้นอยู่กับรูปแบบของ กิจการซึ่งสามารถประหยัดพลังงานได้โดยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ํามันเชื้อเพลิง เช่นปิดเครื่องจักร เมื่อเลิกใช้งานซ่อมบํารุงเครื่องจักรให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน ลดการทิ้งขยะที่ไม่จําเป็นหรือหมุนเวียน นํากลับมาใช้ใหม่ ปรับโครงสร้างของเครื่องมือ เครื่องจักรเพื่อลดการใช้พลังงาน เป็นต้น |