1.2 วิวัฒนาการของโปรแกรมจัดพิมพ์เอกสาร โปรแกรมจัดพิมพ์เอกสารยุคแรกๆ ใช้โปรแกรมของต่างประเทศ เช่น โปรแกรม WORDSTAR ของบริษัทไมโครโปร จำกัด ซึ่งสามารถพิมพ์ข้อความได้เฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้น จึงทำให้ไม่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ชาวไทยนัก ต่อมาในปี พ.ศ. 2529 นายแพทย์ชุษณะ มะกรสาร ได้พัฒนาโปรแกรมจัดพิมพ์เอกสารที่มีชื่อว่า “ราชวิถีเวิร์ดพีซี (Rajavithi Word PC)” ซึ่งโปรแกรมนี้เขียนขึ้นด้วยภาษา Assembly ทั้งหมดการใช้งานเหมือนกับโปรแกรม WORDSTAR สามารถพิมพ์ข้อความได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และมีการปรับปรุงพัฒนามาเรื่อยๆ จึงทำให้ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานอย่างสูงสุดในเวลาต่อมา ในปี พ.ศ. 2532 สถาบันบริการคอมพิวเตอร์ และภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมมือกันพัฒนาโปรแกรมจัดพิมพ์เอกสารภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยออกแบบให้ง่ายต่อการใช้งานและมีความสามารถในการทำงานเช่นเดียวกับโปรแกรมจัดพิมพ์เอกสารอื่นๆ โดยตั้งชื่อว่า ”ซียูไรด์เตอร์ (CU Writer)” มีลักษณะการทำงานเหมือน WORDSTAR และประกาศให้ใช้เป็นโปรแกรมสาธารณะ (Public Domain) โปรแกรมจัดพิมพ์เอกสารในปัจจุบันจะใช้ชุดซอฟต์แวร์ซึ่งเป็นโปรแกรมสำเร็จรูป (Package) ชุดซอฟต์แวร์นี้บางทีเรียกว่า “โปรแกรมชุดสำนักงาน”(Office Program)” โดยบริษัทไมโครซอฟต์คอร์เปอร์เรชันจำกัด (Mricrosoft Corporation) ได้ผลิตโปรแกรมชุดไมโครซอฟต์ออฟฟิศ (Microsoft Office) ออกสู่ตลาดครั้งแรกมีชื่อว่า”ไมโครซอฟต์ออฟฟิส รุ่น 4.3” ซึ่งประกอบด้วย (Word) เป็นโปรแกรมจัดพิมพ์เอกสาร (Word Processing Software) เอกซ์เซล (Excel) เป็นโปรแกรมตารางทำการ แอ็กเซส (Access) เป็นโปรแกรมด้านฐานข้อมูล (Database Software) พาวเวอร์พอยต์ (Power Point) เป็นโปรแกรมนำเสนอภาพกราฟิก (Presentation Software) ซึ่งได้มีการพัฒนามาเรื่อยๆ ไมโครซอฟต์เวิร์ด 2.0 และ 6.0 เป็นโปรแกรมที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 3.1 และพัฒนาปรับปรุงเป็นโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด 7.0 หรือ ไมโครซอฟต์ออฟฟิศ 95 ต่อมาเปลี่ยนเป็นไมโครซอฟต์ออฟฟิศ 97 เป็นไมโครซอฟต์ออฟฟิศ 2000 เป็นไมโครซอฟต์ออฟฟิศ 2002 หรือ ไมโครซอฟต์ออฟฟิศเอกซ์พี ซึ่งจะทำงานบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ (Windows) ของบริษัทไมโครซอฟต์และเป็นซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์ (License) และพัฒนาปรับปรุงเป็นไมโครซอฟต์ออฟฟิศ 2007 ปัจจุบันได้พัฒนาปรับปรุงเป็นไมโครซอฟต์ออฟฟิศ โปรแกรมประมวลผลคำที่มีใช้ในประเทศไทยในยุคแรกๆ นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมของต่างประเทศ เช่น โปรแกรม WORDSTAR ของบริษัทไมโครโปร จำกัด วึ่งสามารถพิมพ์ข้อความได้เฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้น จึงทำให้ไมค่อยได้รับความนิยมจากผู้ชาวไทยมากนัก ต่อมาในปี พ.ศ. 2529 นายแพทย์ชุษณะ ต่อมาในปี พ.ศ. 2532 สถาบันบริการคอมพิวเตอร์ และภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมมือพัฒนาโปรแกรมประมวลผลคำภาษาไทยและอังกฤษ โดยออกให้ง่ายต่อการใช้งาน และมีความสามารถในการทำงานเช่นเดียวกับโปรแกรมประมวลผลคำอื่น ๆ โดยตั้งชื่อว่า "ซียูไรต์เตอร์" (CU Writer) และประกาศให้ใช้เป็นโปรแกรมสาธารณะ (Public Domaim) หมายถึง ทุกคนมะสิทธิจะลอกเลียน และนำไปใช้ได้เลยโดยไม่ต้องดัดแปลงทางฮาร์ดแวร์ โดยรุ่น (Version) แรกที่ออกมา จะเป็นรุ่น 1.1 และได้ทำการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 1.2, 1.3, 1.41, 1.51, 1.52 และ 1.6 โดยทุกรุ่นจะทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการ MS-DOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการแบบเทกซ์โหมด (Text Mode) โปรแกรมซียูไรเตอร์นี้จะมีลักษณะคล้ายกับโปรแกรม WORDSTAR โดยจะมีเมนูคำสั่งต่างๆ ที่ให้ช่วยผู้ใช้สามารถเลือกใช้คำสั่งได้ด้วยการเลื่อนแถบสว่าง (โดยใช้ปุ่มลูกศรบนแป้นพิมพ์) ไปยังคำสั่งที่ต้องการใช้ซึ่งเป็นภาษาไทย และกดปุ่ม ทุกคำสั่งสามารถมองเห็นได้บนหน้าจอโดยไม่จะเป็นต้องอาศัยความจำในการจดจำคำสั่งใช้งานต่าง ๆ การประมวลผลคำในปัจจุบันจะใช้ซอฟแวร์ (Software Suites) ซึ่งเป็นโปรแกรมสำเร็จรูป (Package) ชุดซอฟแวร์นี้บางทีเรียกว่า โปรแกรมชุดสำนักงาน (office Programs) โดยบริษัทไมโครซอฟต์คอร์เปอเรชัน จำกัด (Microsoft Office) ออกกสู่ตลาดครั้งแรกมีชื่อว่า ไมโครซอฟต์ออฟฟิศ รุ่นที่ 4.3 ซึ่งประกอบด้วย (Word) เป็นซอฟแวร์ประมวลผลคำ (Word processing Software) เอกซ์เซล (Excel) เป็นซอฟแวร์ตารางทำการ แอ็กเซส (Access) เป็นซอฟเเวร์ด้านฐานข้อมูล (Database Software) พาวเวอร์พอยต์ (PowerPiont) เป็นซอฟต์แวร์นำเสนอภาพกราฟฟิก (Presentation Software) โดยโปรแกรมเวิร์ด ชุดซอฟแวร์ (Software Suites) ต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นส่วนมากจะเป็นโปรแกรมที่ทำงานระบบปฏิบัติการวินโดวส์ (Windows) ของบริษัทไมโครซอฟต์และเป็นซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์ (Lincens) หน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ตลอดจนผู้ใช้งานตามบ้าน (Home Uses) จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อชุดซอฟต์แวร์ดังกล่าวก่อนนำมาใช้งาน ซึ่งราคาของชุดซอฟต์แวร์ดังกล่าวมักจะมีราคาแพง จึงทำห้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟแวร์ โดยนำชุดซอฟแวร์ดังกล่าวมาใช้งานโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ได้รับอนุญาตจากบริษัทผู้ผลิตโปรแกรมเป็นจำนวนสูงมาก ดังนั้น ก่อนการพิจารณาหรือตัดสินใจเลือกใช้โปรแกรมใดๆ ในการทำงาน เราจะต้องทราบขอบเขตของงานต่างๆ ที่ต้องการจะนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการทำงาน เพื่อจะได้เลือกซื้อหรือจัดหาโปรแกรมให้เหมาะสมกับงาน และประหยัดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการซื้อโปรแกรมได้มากที่สุด |