การที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติปาราชิก 4 นั้น เนื่องมาจากสาเหตุใด

                                                     กัณฑ์ที่  ๔

                                                     ปาราชิก

๑.  ผู้ต้องอาบัติปาราชิกถือเพศคฤหัสถ์ไปแล้ว  กับผู้ลาสิกขาบทโดยปกติ  ยังมีทางได้ทางเสียประโยชน์ในธรรมวินัยต่างกันอย่างไร  ?

ต่างกัน  ผู้ต้องอาบัติปาราชิกสาปไปจากหมู่แล้ว  จะกลับมาบวชในพระธรรมวินัยอีกไม่ได้ตลอดชาติส่วนผู้ลาสิกขาบทโดยปกตินั้น  ถ้ามีศรัทธาปสาทะจะกลับมาบวชอีกไม่ได้ห้าม  แม้มรรคผลก็อาจบรรลุได้  ฝ่ายผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้น  ทานกล่าวห้ามมรรคผลตลอดชาติ  แต่ถ้าถือเพสเป็นคฤหัสถ์แล้วไม่ห้ามสุคติโลกสวรรค์ ฯ

๒.  อกรณียกิจ  กับ  ปาราชิก  ๔  เหมือนกันและต่างกันอย่างไร  ?

เหมือนกันที่มีจำนวนเท่ากัน  ต่างกันที่ความหมายกว้างแคบกว่ากัน  เช่นในอกรณียกิจว่า  ลักของเขา  ๑  ฆ่าสัตว์  ๑  แต่ในปาราชิกว่า  “ภิกษุถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ได้ราคา  ๕  มาสก  ต้องปาราชิก  และภิกษุแกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย  ต้องปาราชิก”.

๓.  พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทใด  เพื่อป้องกันความเสียหายต่อไปนี้และข้อที่ยกมานั้นมีใจความว่าอย่างไร ?

ป้องกันความโหดร้าย ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑

ป้องกันความโลภ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๒

๔.  ปาราชิก  ๔ สิกขาบทๆ ไหน  เป็นสจิตตกะ ,  สิกขาบทไหน  เป็นสาณัตติกะ,  อนาณัตติกะ? 

ปาราชิกทั้ง ๔ สิกขาบทเป็นสจิตตกะ เพราะเกิดขึ้นโดยสมุฏฐานมีเจตนา,

สิกขาบทที่ ๑ และที่ ๔ เป็น อนาณัตติกะคือไม่ต้องเพราะสั่ง ฯ

สิกขาบทที่ ๒ และที่ ๓ เป็น สาณัตติกะ คือแม้สั่งให้ผู้อื่นทำ ผู้สั่งก็ต้องอาบัติด้วยฯ   

๕.  จงอ้างสิกขาบทที่บัญญัติไว้ไม่ให้โหดร้าย  ไม่ให้หาความ  มาอย่างละ ๑  ข้อ และใจความของข้อนั้นๆ ?

ปาราชิกข้อ 1 ภิกษุแกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตายต้องปาราชิก,ภิกษุโกรธเคืองแกล้วโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูลต้องอาบัติสังฆาทิเสส

๖.  ภิกษุทำอะไรบ้าง จึงขาดจากความเป็นภิกษุ   ภายหลังกลับอุปสมบทได้อีกหรือไม่? ๖/๔๒

เสพเมถุน,ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้มีราคา 5มาสก ,แกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย,อวดอุตตริมนุสสธรรม,บวชอีกไม่ได้

๗.  ปาราชิกนั้น  ภิกษุต้องล่วงละเมิดครบทั้ง  ๔ หรือเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง  แต่ต้องละเมิดถึง  ๔  ครั้งจึงเป็นปาราชิก  จงแถลงมาดู?

ไม่เป็นอย่างนั้น ภิกษุล่วงละเมิดเพียงข้อใดข้อหนึ่ง แม้คราวเดียวก็ต้องปาราชิก

๘.  ปาราชิก ๔ สิกขาบทไหนที่ภิกษุใช้ให้เขาทำก็ต้องอาบัติถึงที่สุด?

สิกขาบทที่ ๒  และ  ที่  ๓

๙.  อาบัติชั่วหยาบหมายถึงอาบัติอะไรบ้าง  ?

หมายถึง  ปาราชิก  ๔  สังฆาทิเสส  ๑๓  ฯ

๑๐.  ภิกษุปาราชิกแล้วมีผลอย่างไร ?

มีผลพ่ายจากหมู่ ไม่มีสังวาสมาบวชอีกไม่ได้ 

๑๑.  การที่ภิกษุต้องการจะพูดเรื่องจริง     แต่เป็นเหตุให้ต้องอาบัติได้เหมือนกัน      ต้องการทราบว่า    พูดอะไรบ้าง   ?

ภิกษพูดเรื่องต่อไปนี้        คือ  บอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริงแก่อนุปสัมบันต้องปาจิตตีย์   ตามสิกขาบทที่   ๘     แห่งมุสาวาทวรรค 

๑๒.  ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ และ ๔ ความว่าอย่างไร ?

ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ ความว่า ภิกษุแกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย ต้องปาราชิก 

สิกขาบทที่ ๔ ความว่า ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรม(ธรรมอันยิ่งของมนุษย์) ที่ไม่มีในตนต้องปาราชิก  ฯ

๑๓.  ภิกษุทำอะไรบ้าง จึงขาดจากความเป็นภิกษุ ภายหลังกลับอุปสมบทอีกได้หรือไม่ ?

ภิกษุทำอย่างนี้ คือ เสพเมถุน ๑, ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มีราคา ๕ มาสก ๑, แกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย ๑, อวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน ๑, จึงขาดจากความเป็นภิกษุ  ฯ  

ภายหลังกลับมาอุปสมบทอีกหาได้ไม่  ฯ

สิกขาบทที่  ๑  :  เสพเมถุน

๑๔.  ปาราชิกสิกขาบทที่  ๑  ความว่าอย่างไร  ?

ความว่า  “ภิกษุถึงพร้องด้วยสิกขาและธรรมเนียมเลี้ยงชีวิตร่วมกันของภิกษุทั้งหลายแล้ว  ไม่กล่าวคืนสิกขาบท  ไม่ได้ทำให้แจ้งความเป็นผู้ถอยกำลัง  เสพเมถุน  โดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย  ต้องปาราชิก”

๑๕.  ภิกษุถูกข่มขืนต้องอาบัติอะไร ?

  ภิกษุถูกข่มขืนแต่ยินดีในขณะที่องค์กำเนิดเข้าไปก็ดี  เข้าไปถึงที่แล้วก็ดี  หยุดอยู่ก็ดี  ถอนออกก็ดี แม้ขณะใดขณะหนึ่ง  ต้องอาบัติปาราชิก  ถ้าไม่มีจิตยินดีไม่เป็นอาบัติ

สิกขาบทที่  ๒  :  ถือเอาทรัพย์มีราคามเกิน  ๕  มาสก

๑๖.  สังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์  ได้แก่ทรัพย์เช่นไร  ทั้ง  ๒ อย่างนี้  กำหนดถึงที่สุด  ภิกษุล่วงละเมิดเป็นอันต้องปาราชิกไว้อย่างไร  ?

สังหาริมทรัพย์  ได้แก่ทรัพย์หรือสิ่งของที่เคลื่อนที่ได้  ทั้งที่มีวิญญาณและไม่มีวิญญาณ  เช่นสัตว์ต่างชนิดและเงินทองเป็นต้น  

ส่วนอสังหาริมทรัพย์นั้น  ได้แก่ทรัพย์หรือสิ่งที่เคลื่อนที่ไม่ได้  โดยตรงได้แก่ที่ดิน  โดยอ้อมนับของที่ติดเนื่องอยู่กับที่นั้นด้วย  เช่นต้นไม้และเรือนเป็นต้น  ฯ

๑๗.  ทรัพย์เช่นไร เรียก สวิญญาณกทรัพย์ และอวิญญาณกทรัพย์ ?

  ทรัพย์ที่มีวิญญาณ เรียก สวิญญาณกทรัพย์ 

ทรัพย์ที่ไม่มีวิญญาณ เรียกอวิญญาณกทรัพย์ 

๑๘.  การถือเอาทรัพย์เป็นสังหาริมะ  กำหนดว่าถึงที่สุดด้วยอาการอย่างไร ?

  การถือเอาทรัพย์ ที่เป็นสังหาริมะ  กำหนดว่าถึงที่สุดด้วยทำให้เคลื่อนที่จากฐาน ( หรือจากที่)

๑๙.  การถือเอาทรัพย์เป็นอสังหาริมะ กำหนดว่าถึงที่สุดด้วยกำหนดอย่างไร ?

  การถือเอาทรัพย์ ที่เป็นอสังหาริมะ กำหนดว่าถึงที่สุดด้วยการขาดกรรมสิทธิ์แห่งเจ้าของ 

๒๐.  ภิกษุถือเอาสิ่งของที่ผู้อื่นทำตกไว้  จะต้องอาบัติอะไรหรือไม่  จงชี้แจง  ?

ต้องอาบัติก็มี  ไม่ต้องอาบัติก็มี  ดังนี้

ก.  ถือเอาด้วยไถยจิตและของนั้นมีราคาตั้งแต่  ๕  มาสกขึ้นไป  ต้องอาบัติปาราชิก  มีราคาต่ำกว่า  ๕  มาสก  แต่เกิน  ๑  มาสก  ต้องอาบัติถุลลัจจัย,  มีราคาตั้งแต่  ๑  มาสกลงมา  ต้องอาบัติทุกกฏ  

ข.  ถือเอาด้วยถือเอาของเก็บได้ก็ตาม  ด้วยหมายใจจะให้เจ้าของก็ตาม  ต้องอาบัติปาจิตตีย์  ฯ  ในอรรถกถากล่าวว่า  ถ้าของนั้นเป็นนิสสัคคิยวัตถุ  ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์  ฯ

ค.  ถือเอาด้วยสำคัญว่าของตนก็ดี  ถือเอาด้วยบังสุกุลสัญญาก็ดี  โดยเข้าใจว่าเจ้าของทิ้งแล้วก็ดี  หรือเข้าใจว่าไม่มีเจ้าของหวงแหนก็ดี  ไม่ต้องอาบัติ  

ฆ.  ถ้าของตกอยู่ในวัดที่อยู่  หรือในที่พักอาศัย  เก็บไว้ให้เจ้าของ  ไม่ต้องอาบัติ  หากไม่เก็บ  ต้องทุกกฏ  ฯ

๒๑.  อาการที่ไม่เป็นอทินนาทานมี  ๔  คืออะไรบ้าง 

   คือ  ๑. ถือเอาด้วยวิสาสะ ๒.  ด้วยเป็นของยืม 

๓.  ถือเอาด้วยสำคัญว่าเป็นของตน  ๔.  ถือเอาด้วยสำคัญว่าเป็นของทิ้งหรือผ้าบังสุกุล

๒๒.  ภิกษุมีไถยจิตสั่งให้ภิกษุอื่นโจรกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง  และเสร็จตามสั่งนั้น  จะต้องอาบัติอะไร  จงชี้แจง  ?

ต้องอาบัติทั้งผู้สั่งและผู้ทำตามสั่ง  ดังนี้

๑.  ทรัพย์มีราคา  ๕  มาสกขึ้นไป  เป็นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก

๒. ทรัพย์มีราคาหย่อน   ๕  มาสกลงมา  แต่สูงกว่า  ๑  มาสก  เป็นวัตถุแห่งอาบัติถุลลัจจัย

๓.  ทรัพย์มีราคาตั้งแต่  ๑  มาสกลงมา  เป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฏ  ฯ

๒๓.  ทรัพย์มีราคาเท่าไร  เป็นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก  มีราคาเท่าไร  เป็นวัตถุแห่งอาบัติถุลลัจจัย  มีราคาเท่าไร  เป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฏ  ?

ทรัพย์มีราคา  ๑  บาท  คือ  ๕  มาสก  เป็นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก  

มีราคาต่ำกว่า  ๕  มาสก  แต่สูงกว่า  ๑  มาสกขึ้นไป  เป็นวัตถุแห่งอาบัติถุลลัจจัย  

มีราคาตั้งแต่  ๑  มาสกลงมา  เป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฏ   ฯ

๒๔.  ในอทินนาทานสิกขาบท  กำหนดราคาทรัพย์เป็นวัตถุแห่งอาบัติไว้หมายถึงอย่างไรบ้าง?

  ๕ มาสกขึ้นไปต้องปาราชิก,

ต่ำกว่า ๕ มาสกแต่สูงกว่า ๑ มาสกต้องอาบัติถุลลัจจัย,

ต่ำกว่า ๑ มาสกลงไปต้องอาบัติทุกกฏ

๒๕.  ทรัพย์ของตนเอง  ก็ทำให้ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกได้  มีหรือไม่  ถ้ามีจัดเข้าในอวหารอะไร  จงชี้ตัวอย่างมาด้วย  ?

มี  จัดเข้าในอวหารที่เรียกว่า  “สุงกฆาตะ”  ตัวอย่างเช่น  ภิกษุนำของควรแก่ค่าภาษีมาจะผ่านที่เก็บภาษี  ซ่อนของนั้นเสีย  หรือของมากซ่อนให้เห็นแต่น้อย  ดั้งนี้  ต้องอาบัติถึงที่สุดในขณะนำของนั้นพ้นเขตที่เก็บภาษีไป  ฯ

๒๖.  ภิกษุต้องอาบัติเพราะทรัพย์ผู้อื่นพอทราบ  ภิกษุต้องอาบัติเพราะทรัพย์ของตนเองมีหรือไม่  ถ้ามี  เช่นอะไร  ?

มี  คือ  อาบัติเนื่องด้วยตระบัดภาษี  กล่าวคือทรัพย์ของตนซึ่งต้องเสียภาษีเมื่อผ่านด่าน  ในกรณีนี้ภิกษุย่อมเป็นอาบัติตามราคาที่ต้องเสียภาษี

๒๗.  ภิกษุแดงสั่งภิกษุเขียวให้บอกภิกษุดำเรื่องทำโจรกรรม  แต่ภิกษุเขียวหาบอกภิกษุดำไม่  ไหล่สั่งภิกษุขาวแทน  เมื่อทำตามสั่งและได้ทรัพย์มาเกิน  ๕  มาสก  ภิกษุทั้ง  ๓  รูปนั้น  จะต้องอาบัติอะไรหรือไม่  ?

ผู้ใช้และผู้ทำ  คือภิกษุเขียวกับภิกษุขาว  ต้องอาบัติถึงที่สุดคือปาราชิกเมื่อทำสำเร็จ  ส่วนภิกษุแดงผู้สั่งเดิมรอดตัวไม่ต้องอาบัติเพราะสั่งผิดตัว

๒๘.  ภิกษุรับของฝาก   มีไถยจิตคิดเอาเสีย  ครั้นเจ้าของเขามาขอคืนกล่าวปฏิเสธว่าไม่ได้รับไว้  เช่นนี้จะพึงกำหนดต้องอาบัติ ด้วยทำให้เคลื่อนจากฐาน  หรือด้วยขาดกรรมสิทธิ์แห่งเจ้าของ  ?

กำหนดต้องอาบัติด้วยขาดกรรมสิทธิ์แห่งเจ้าของ ฯ

๒๙.  ภิกษุถือเอทรัพย์ของผู้อื่นเกิน  ๕  มาสกด้วยไถยจิต  กับทรัพย์ราคาเท่ากันอันเขาฝากไว้  แต่ภิกษุอ้างว่าคืนให้เจ้าของแล้ว  เช่นนี้ภิกษุต้องอาบัติอะไร ในขณะไหน  ?

ต้องปาราชิก  อย่างแรกอาบัติถึงที่สุดขณะทำของนั้นให้พ้นจากที่  อย่างหลังอาบัติถึงที่สุดขณะที่เจ้าของทอดกรรมสิทธิ์  ฯ

๓๐.  ภิกษุถือเอาของผู้อื่นด้วยอาการอย่างไร  จึงจัดเป็นอทินนาทาน 

ถือเอาด้วยมีไถยจิต คือจิตคิดจะลัก

๓๑.  ภิกษุถือเอาของผู้อื่นด้วยอาการอย่างไร  ไม่จัดเป็นอทินนาทาน 

ถือเอาด้วยไม่มีไถยจิต  คือจิตคิดจะลัก      

๓๒.  ทรัพย์ราคา  ๕ มาสก  เทียบเท่าราคาทองคำหนัก….เมล็ดข้าวเปลือก  

๒๐ เมล็ดข้าวเปลือก

๓๓.  คัมภีร์วิภังค์กล่าวเรื่องทรัพย์ไว้อย่างไร 

สังหาริมะ ทรัพย์หรือสิ่งของซึ่งเลื่อนที่ได้,

อสังหาริมะ ทรัพย์หรือสิ่งของเลื่อนที่ไม่ได้ 

๓๔.  ทรัพย์ที่กล่าวในคัมภีร์วิภังค์  เมื่อรวมแล้วมีกี่ประเภท  อะไรบ้าง

สังหาริมทรัพย์ เคลื่อนที่ได้เช่นปศุสัตว์และสัตว์พาหนะ เช่นแพะ แกะสุกร โค กระบือ เป็นต้น และอสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์เคลื่อนที่ได้แก่ที่ดิน เรือนเป็นต้น

๓๕.  ภิกษุมีไถยจิตสั่งให้ภิกษุอื่นโจรกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง และเสร็จตามสั่งนั้นจะต้องอาบัติหรือไม่ ?

   ต้องอาบัติทั้งผู้สั่งและผู้ทำตามสั่ง

๓๖.  จงอธิบาย คำต่อไปนี้ 

ก.ไถยจิต  ข.ฉ้อค.ยักยอกง.ตระบัดจ.สุงกฆาตะ

อธิบายคำดังต่อไปนี้ 

  ก. ไถยจิต ดีได้แต่จิตจะลัก คือ จิตถือเอาของที่เจ้าของไม่อนุญาตให้ด้วยอาการแห่งโจร

  ข.  ฉ้อ ได้แก่การใช้อำนาจในการโกง

  ค. ยักยอก ได้แก่การใช้อำนาจที่จำหน่ายทรัพย์ผู้อื่นมาเป็นของโดยมิชอบ

 ง. ตระบัด ได้แก่ภิกษุนำของควรเสียภาษีผ่านที่เก็บซ่อนของเหล่านั้นหรือของมากให้เห็นเป็นของน้อย

จ.  สุงกฆาตะ หนีภาษี หรือต้องอาบัติด้วยตนเอง

๓๗.  จงอธิบาย คำต่อไปนี้ 

ก.ปล้นข.หลอกลวงค.กรรณโชกง.ลักซ่อนจ.สาณัตติกะ ฉ.  อนาณัตติกะ

อธิบายคำดังต่อไปนี้

ก.  ปล้น ได้แก่ภิกษุชวนกันไปโจรกรรมลงมือเองบ้างไม่ได้ลงมือเองบ้าง

ข.  หลอกลวง ได้แก่ภิกษุทำของปลอม เช่นเงินปลอม ทองปลอม ชั่งของด้วยเครื่องชั่งโกว

ค.  กรรณโชก ได้แก่การข่มขู่ให้ได้มา

ง.  ลักซ่อน ได้แก่ภิกษุเห็นของเขาตกมีไถยจิตเอาดินกลบเสียหรือเอาใบไม้เป็นต้นบังเสีย

จ.  สาณัตติกะ อาบัติที่ต้องเพราะสั่ง คือสิกขาที่ต้องเพราะทำเองและสั่งให้ผู้อื่นทำ

ฉ.  อนาณัตติกะ อาบัติที่ต้องเฉพาะทำ คือสิกขาที่ต้องเพราะทำเองสั่งผู้อื่นทำไม่เป็นอาบัติ

๓๘.  คำว่า  ลักสับ  หมายความว่าอย่างไร ?

  คำว่า  ลักสับ  หมายความว่า  มีไถยจิตสับสลากซึ่งตนกับชื่อของผู้อื่นในกองของด้วยหมายจะเอาลาภของผู้อื่นที่มีราคากว่า  หรือการเอาของปลอมสับเอาของดี  ก็มีความหมายเช่นเดียวกันฯ

สิกขาบทที่  ๓  :  แกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย

๓๙.  ภิกษุพยายามฆ่ามนุษย์  ต้องอาบัติอะไร  ?

ถ้าทำสำเร็จต้องปาราชิก  ถ้าไม่สำเร็จ เป็นแต่เพียงทำให้เจ็บตัว  ต้องถุลลัจจัย  ถ้าไม่ถึงนั้นต้องทุกกฏ  ฯ

๔๐.  ภิกษุพยายามฆ่าคนอื่นและตนเอง  จะต้องโทษตามพระวินัยเป็นอย่างไร  ?

ภิกษุพยายามฆ่าคนอื่น  ทำสำเร็จต้องอาบัติปาราชิก  ถ้าไม่สำเร็จเป็นแต่เพียงให้เจ็บตัว  ต้องอาบัติถุลลัจจัย  ทำไม่ถึงขั้นนั้นต้องอาบัติทุกกฏ  และพยายามฆ่าตนเองต้องอาบัติปาจิตตีย์  ฯ

๔๑.  ภิกษุทำร้ายภิกษุอื่นถึงตาย เป็นอาบัติปาราชิกก็มี  ไม่ถึงปาราขิกก็มี  ทำไมจึงเป็นอาบัติไม่เหมือนกัน  ?

เห็นที่เป็นอาบัติต่างกันเพราะเจตนาของผู้ทำ  ถ้าภิกษุเจตนาทำร้ายผู้อื่นให้ถึงตาย  ถ้าผู้ที่ตนทำร้ายถึงตาย  ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาราชิก,  แต่ถ้าไม่มีเจตนาจะฆ่า  แต่ผู้ที่ตนทำร้ายถึงแก่ความตาย  เช่นนี้  ภิกษุนั้นไม่ต้องอาบัติปาราชิก  (ถ้าผู้ที่ตนทำร้ายเป็นอุปสัมบัน  ต้องอาบัติปาจิตตีย์  เป็นอนุปสัมบันต้องกุกกฎ)

๔๒.  ภิกษุทำให้ผู้อื่นตาย   

๑)  อย่างไรเป็นปาราชิก (มีเจตนาฆ่า ผู้นั้นตายเพราะการฆ่า)  

            ๒) อย่างไรเป็นปาจิตตีย์ (ไม่มีเจตนาแค่คิดทำร้ายให้เจ็บตัว บังเอิญผู้นั้นถึงแก่ความตาย)

           ๓)อย่างไรเป็นทุกกฎ (ผู้ถูกทำร้ายเป็นอนุปสัมบัน)   

            ๔ ) อย่างไรไม่เป็นอาบัติ (ไม่แกล้งคือไม่จงใจ ไม่เป็นอาบัติ)  

        ๕)  ถ้าเป็นอาบัติจะพ้นได้อย่างไร (ถ้าเป็นอาบัติปาราชิก แก้ไขไม่ได้, ส่วนอาบัติอื่นๆ พ้นได้ด้วยการแสดงอาบัติคือประจานต่อหน้าภิกษุด้วยกัน)

๔๓.  ฆ่าสัตว์เป็นอาบัติอะไรบ้าง?

  ปาราชิก เพราะฆ่ามนุษย์ฯ

ถุลลัจจัยเพราะฆ่าอมนุษย์ ฯ

ปาจิตตีย์ เพราะฆ่าสัตว์เดรัจฉาน      

๔๔.  ฆ่าสัตว์   ท่านกล่าวไว้ในอกรณียกิจว่า  บรรพชิตไม่ควรทำ  มีอธิบายอย่างไร? 

คือคำว่าสัตว์ แปลว่า ผู้ข้องอยู่ในอารมณ์ เป็นคำกลาง ๆ ไม่นิยมว่าเป็นสัตว์ชนิดไหน เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวโดยย่อว่า ฆ่าสัตว์เป็นอกรณียกิจที่บรรพชิตไม่ควรทำ

๔๕.  การปลงชีวิตอย่างไร  ต้องอาบัติถุลลัจจัย? 

ปลงชีวิตมนุษย์แต่ไม่สำเร็จคือไม่ตาย,ฆ่าอมนุษย์อีกอย่าง

๔๖.  ในพระวินัยการฆ่ามีกี่อย่าง อะไรบ้างเพราะทำอย่างไร ? ( ๕ คะแนน)

ในพระวินัย การฆ่ามี ๔ อย่างคือ

๑.   ฆ่ามนุษย์เป็นปาราชิก ๒.   ฆ่าอมนุษย์ เป็นกุลลัจจัย 

๓.  ฆ่าสัตว์เดรัจฉานทั่วไปเป็นปาจิตตตีย์๔.  ฆ่าตนเอง เป็นทุกกฎ

๔๗.  ภิกษุฆ่ามนุษย์ต้องปาราชิก ถ้าฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน เช่น ช้าง ปลา ยุง ต้องอาบัติอะไร ?

ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในสิกขาบทที่ ๑ แห่งสัปปาณวรรคที่ ๗ ว่าภิกษุแกล้วฆ่าสัตวดิรัจฉานต้อง

ปาจิตตีย์

สิกขาบทที่  ๔  :  พูดอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน

๔๘.  อุตตริมนุสสธรรม    มีความหมายว่าอย่าไร  จงอธิบายพอได้ความ  ?

อุตตริมนุสสธรรม  ได้แก่ธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์  หรือคุณของมนุษย์ผู้ยวดยิ่ง  ได้แก่  ฌาน  วิโมกข์  สมาธิ  สมาบัติ  มรรค  ผล  

๔๙.  อวดเช่นไร  เรียกว่า  อวดอุตตริมนุสสธรรม

  อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตนคืออวดว่าตนได้บรรลุอัปปนาสมาธิหรือฌาน และคุณธรรมเบื้องสูงคือโลกุตตรธรรม ได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑  รวมเป็น ๙

๕๐.  ภิกษุพูดวจีทุจริตแต่ละอย่าง  จะเป็นทางให้ต้องอาบัติหนักเบาอะไรบ้าง  ?

จะเป็นทางให้ต้องอาบัติหนักเบาได้ดังนี้

๑.  พูดเท็จ  เป็นทางให้ต้องอาบัติปาราชิก  เพราะพูดอวดอุตริมนุสสธรรมไม่มีในตน

๒.  พูดคำหยาบ  เป็นทางให้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส  เพราะพูดเกี้ยวหญิงด้วยวาจาชั่วหยาบ

๓.  พูดส่อเสียด  เป็นทางให้ต้องอาบัติปาจิตตีย์  เพราะพูดส่อเสียดภิกษุ

๔.  พูดเพ้อเจ้อ  เป็นทางให้ต้องอาบัติปาจิตตีย์  เพราะ  พูดหลอกภิกษุให้กลัวผี

๕๑.  ภิกษุพูดมุสา  จะเป็นอาบัติอะไรบ้าง ?

ภิกษุพูดมุสาย่อมเป็นอาบัติปาราชิก  เพราะอวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน,  

เป็นอาบัติสังฆาทิเสส  เพราะโจทย์ฟ้องภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูลด้วยความโกรธ,  

เป็นอาบัติถุลลัจจัย  เพราะอวดอุตตริมนุสสธรรมโดยอ้อมค้อม,  

เป็นอาบัติปาจิตตีย์  เพราะกล่าวมุสาวาท,  

เป็นอาบัติเพราะรับคำของเขาด้วยใจบริสุทธิ์  แล้วทำให้คลาดในภายหลัง  เรียกปฏิสสวะ  ฯ

๕๒.  ภิกษุพูดอวดอย่างไร  จึงต้องอาบัติ 

  อวดว่าได้ฌานเป็นต้น  อวดว่าเป็นพระโสดาบันเป็นต้นฯ  ที่ไม่มีในตน พูดอวดแก่ผู้ใด ผู้นั้นฟังเข้าใจต้องปาราชิก ผู้ฟังไม่เข้าใจต้องถุลลัจจัย

๕๓.  ภิกษุพูดอวดอย่างไร จึงต้องอาบัติ ปาราชิก  ถุลลัจจัย  และปาจิตตีย์ ?

  ภิกษุพูดอวดว่า ได้ฌาน เป็นต้น หรืออวดว่า เป็นพระโสดาบันเป็นต้น  ซึ่งไม่มีในตน พูดอวดแก่ผู้ใด ผู้นั้นเข้าใจ ต้องปาราชิก  ผู้ฟังไม่เข้าใจ ต้องถุลลัจจัย  พูดอวดคุณวิเศษที่มีในตน ต้องปาจิตตีย์

๕๔.  ภิกษุพูดอวดอุตตริมนุสสธรรมซึ่งไม่มีจริงในตน  เมื่อคนอื่นฟังแล้วเข้าใจแต่ไม่เชื่อ  ภิกษุต้องอาบัติอะไร?

ต้องปาราชิกเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม* ถ้าไม่เข้าใจเป็นถุลลัจจัย

๕๕.  พูดเช่นไร เรียกว่าพูดปด? 

  พูดให้คลาดเคลื่อนจากความจริงด้วยประสงค์จะให้ผู้อื่นเข้าใจผิด