ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า เป็นครูที่มีความเชื่อมาตลอดว่า การจะเรียนรู้อะไรให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และมีเป้าหมาย เราต้องเริ่มจากการเข้าใจนิยาม เป้าหมาย คอนเซ็ปของสิ่งนั้นก่อน เพราะเมื่อเราเข้าใจแล้ว เราจะรู้สึกซึมซับและเป็นส่วนส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น ๆ กิจกรรมเริ่มต้นด้วยการที่ครูชวนนักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับคำว่า "ประวัติศาสตร์" ในทัศนะของนักเรียน ซึ่งนักเรียนหลายคนได้ศึกษาและมีชุดความคิดดั้งเดิมของตนเองจากการเรียนมาระดับชั้นก่อน จากนั้นครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม เพื่อศึกษานิยามของคำว่าประวัติศาสตร์ ที่ให้ความหมายโดยนักวิชาการ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยครูกำหนดให้นักเรียนศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียน นิยามที่ผู้เขียนพูดถึง และประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ได้รับว่า มีความสอดคล้อง หรือมีข้อเท็จจริงที่นักเรียนเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร จากนั้นใ้ห้นักเรียนในกลุ่มช่วยกันสรุปนิยามที่ตนเองได้รับออกมาเป็นคำ 3 คำ และให้เหตุผลว่าเพราะเหตุใดจึงเลือกคำนี้ และร่วมกันอภิปรายแลกเปลี่ยนในชั้นเรียนกับเพื่อนกลุ่มอื่น ซึ่งในขั้นตอนนี้ครูได้ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มฟัง 3 คำที่เพื่อนนำเสนอ และใ้หเลือกคำที่กลุ่มตนเองคิดว่ามีความเกี่ยวข้อง หรือสอดคล้องกับนิยามของประวัติศาสตร์ และร่วมกันสรุปความหมายของประวัติศาสตร์ของห้องเรียน หลังจากนั้น ครูได้เชื่อมโยงนิยามไปสู่การพัฒนามโนทัศน์ในการศึกษาประวัติศาสตร์ โดยแลกเปลี่ยนกันเกี่ยวกับทักษะหรือความรู้ที่จำเป็นในการเรียนประวัติศาสตร์ และครูให้แต่ละกลุ่มศึกษาเกี่ยวกับทักษะที่จำเป็นในการศึกษาประวัติศาสตร์ และนำข้อมูลที่ได้มาอภิปรายร่วมกันในชั้นเรียน และเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ของทักษะแต่ละตัวที่มีความเชื่อมโยงกับการศึกษาประวัติศาสตร์ ตอนท้าย ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับความสำคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์ ซึ่งสะท้อนผ่านตนเอง ประเทศ และโลก โดยผู้สอนเปิดโอกาสให้แต่ละกลุ่มได้นำเสนอความคิดของตนและแลกเปลี่ยนร่วมกันในชั้นเรียน จุดเด่น - สิ่งที่ค่อนข้างแปลกใจมาก คือ เด็กทุกคนตื่นตัวมาก และให้ความร่วมมือกับการทำกิจกรรมเป็นอย่างดี สามารถแลกเปลี่ยน โต้ตอบ และนำเสนอความคิดที่น่าสนใจอย่างหลากหลาย แม้ว่าจะเรียนแบบออนไลน์มานานถึง 2 ปี - ทักษะที่นักเรียนมีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือ ทักษะการใช้เทคโนโลยี ในส่วนหนึ่งของกิจกรรมมีการแปลข้อความภาษาอังกฤษ ซึ่งนักเรียนสามารถนำแอพพลิเคชันมาใช้แก้ปัญหาตรงนี้ และทำกิจกรรมได้อย่างราบรื่น จุดควรพัฒนา - กิจกรรมบางขั้นตอนใช้ระยะเวลามากน้อยขึ้นอยู่กับบริบทของผู้เรียน บางครั้งครูอาจเสริม หรือชี้ประเด็นให้เห็นแนวทางจะช่วยได้มากขึ้น - ควรส่งเสริมให้นักเรียนในกลุ่มมีบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจน และทำให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมมากขึ้น จะทำให้นักเรียนแต่ละได้รับการฝึกฝนทักษะอย่างรอบด้าน ประวัติศาสตร์ เป็นวิชาที่ว่าด้วยพฤติกรรมหรือเรื่องราวของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในอดีต ร่องรอยที่คนในอดีตสร้างเอาไว้ เป้าหมายของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ คือ การเข้าใจสังคมในอดีตให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด เพื่อนำมาเสริมสร้างความเข้าใจในสังคมปัจจุบัน ความสำคัญของประวัติศาสตร์ สามารถสรุปได้ดังนี้ 1. ประวัติศาสตร์ช่วยให้มนุษย์รู้จักตัวเอง กล่าวคือ ทำให้รู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับขอบเขตของตน ขณะเดียวกันก็รู้เกี่ยงกับขอบเขตของคนอื่น 2. ประวัติศาสตร์ช่วยให้เกดความเข้าใจในมรดก วัฒนธรรมของมนุษยชาติ ความรู้ ความคิดอ่านกว้างขวาง ทันเหตุการณ์ ทันสมัย ทันคน และสามารถเข้าใจคุณค่าสิ่งต่างๆในสมัยของตนได้ 3. ประวัติศาสตร์ช่วยเสริมสร้างให้เกิดความระมัดระวัง ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ฝึกฝนความอดทน ความสุขุมรอบคอบ ความสามารถในการวินิจฉัย และมีความละเอียดเพียงพอที่จะเข้าใจปัญหาสลับซับซ้อน 4. ประวัติศาสตร์เป็นเหตุการณ์ในอดีตที่มนุษย์สามารถนำมาเป็นบทเรียน และประยุกต์ใช้ในกระบวนการแก้ไขปัญหา และวิกฤตการณ์ต่างๆ ให้เป็นไปตามหลักจริยธรรม คุณธรรม ทั้งนี้เพื่อสันติสุขและพัฒนาการของสังคมมนุษย์เอง ลักษณะและประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ หมายถึง ร่องรอยของสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ สร้างสรรค์ รวมทั้งร่องรอยของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในอดีต และเหลือตกค้างมาถึงปัจจุบัน ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องนำทางในการศึกษา สืบค้น แสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยงกับเรื่องราวในอดีตของมนุษย์ได้ในระดับหนึ่ง หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ตามแบบสากล คือ 1. หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ จารึก บันทึก จดหมายเหตุร่วมสมัย ตำนาน พงศาวดาร วรรณกรรมต่างๆ บันทึกความทรงจำ เอกสารราชการ หนังสือพิมพ์ กฎหมาย งานวิจัย งานพิมพ์ทางประวัติศาสตร์ เป็นต้น ( ผนังถ้ำที่เป็นรูปวาดแต่สามารถแปลความหมายได้ จะถือว่าเป็นหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น ผนังขิงสุสานฟาโรห์ ) 2. หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ หลักฐานทางโบราณคดี หลักฐานจากการบอกเล่าและสัมภาษณ์ หลักฐานด้านศิลปกรรม สถาปัตยกรรม นาฏกรรมและดนตรี หลักฐานทางมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณี คติความเชื่อ วิถีชีวิตของกลุ่มชนต่างๆ ฯลฯ ( กำแพงเมือง เมืองโบราณ โครงกระดูก นับว่าเป็นหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ) ����ѵ���ʵ�� ������ʵ�� �ؤ���Ӥѭ �������з�ջ >> ����� �����ѵ���ʵ�� ��ѹ� 2 �ѡɳФ��
�ѡ����ѵ���ʵ�줹�á ��ѡ�ҹ�ҧ����ѵ���ʵ�� ����ª��ͧ����ѵ���ʵ�� ������ؤ����ѵ���ʵ��
|