ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร

บทความงาน > บทความตามสายงาน > งานการตลาด > ปัจจัยทำการตลาดที่แข็งแกร่ง

Show

ปัจจัยทำการตลาดที่แข็งแกร่ง

  • 13 August 2014

ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร
ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร
ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร
ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร
ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร
ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร
ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร

          คงไม่มีธุรกิจใดหลีกเลี่ยงการทำการตลาดได้ เพราะการตลาดเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกำไร ขึ้นชื่อว่าธุรกิจย่อมต้องการกำไรจริงไหมคะ แล้วปัจจัยทำการตลาดที่สำคัญ ที่ทำให้มีกำไรมีอะไรบ้างมาดูกัน

          โดยสรุปแล้วมีอยู่ 3 ปัจจัยทำการตลาดที่สำคัญ ได้แก่ ราคาขายสินค้า และราคาบริการ ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า และการสื่อสารกับลูกค้า

1. ราคาขายสินค้าและราคาบริการ

          เพราะราคาขายมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ และยังมีผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วย จึงควรมีการตั้งราคาขายเหมาะสม และก่อนที่เราจะตั้งราคาขายนั้น เราต้องทำอะไรบ้าง

      • ทำวิจัยตลาด เพื่อค้นหาราคาที่ผู้บริโภคพึงพอใจ
      • สำรวจราคาขายของคู่แข่ง
      • สำรวจความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อราคาขายของคู่แข่ง

          เมื่อทราบปัจจัยที่สำคัญแล้ว ก็สามารถกำหนดราคาขายได้ ซึ่งราคาขายต้องเป็นธรรม ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค ในขณะเดียวกันก็ต้องกำหนดราคาที่ไม่แตกต่างจากคู่แข่งมากนัก แต่ก็ต้องทำให้องค์กรอยู่รอดได้ด้วย ฯลฯ

          การค้นหาความเหมาะสมของราคาขาย สามารถดูได้จากหลายปัจจัย ถ้ายอดขายไม่เพิ่มขึ้น อาจเป็นเพราะตั้งราคาแพงเกินไป เนื่องจากการกำหนดราคาไม่สามารถทำได้ตามใจนักลงทุน แต่ต้องพิจารณาจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ กำลังซื้อ พฤติกรรมของผู้บริโภค ฯลฯ ประกอบด้วยเสมอ

          และอาจต้องใช้กิจกรรมทางการตลาดกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อ ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชั่นพิเศษต่าง ๆ หรือแม้แต่การลดราคาขาย เป็นต้น

2. ราคาขายสินค้าและราคาบริการ

          การจัดจำหน่ายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้สินค้าขายได้หรือไม่ ไม่ว่าสินค้าจะดีสักเพียงใด แต่ถ้าเข้าไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายก็ไม่มีประโยชน์ที่จะขาย ดังนั้นจึงควรมีกลยุทธ์รูปแบบต่าง ๆ ในการดึงดูดความสนใจจากลูกค้า เช่น

      • จัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้สินค้าและบริการนั้นเข้าถึงลูกค้ามากที่สุด
      • สำรวจว่า ผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากน้อยเพียงใด
      • เอาใจใส่ในเรื่องการจัดวาง การตกแต่งร้าน หรือกลยุทธ์อื่น ๆ ที่ทำให้ลูกค้าสนใจ
      • ผนึกกำลังกับพันธมิตร เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค
      • ทบทวนระบบการขายและพัฒนารูปแบบการกระจายสินค้า

3. การสื่อสารกับลูกค้า

          ธุรกิจระดับแนวหน้าให้ความสำคัญในเรื่องการสื่อสารกับลูกค้าเป็นอย่างมาก ซึ่งต่อไปไม่ว่าธุรกิจขนาดย่อมหรือระดับท้องถิ่นก็จะต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ไม่ควรปล่อยให้ธุรกิจเติบโตตามธรรมชาติ เพราะจะใช้เวลานานและอาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มักจะซื้อสินค้าในแบรนด์ที่คุ้นหูคุ้นตาเท่านั้น

          หากสินค้าใดไม่มีการส่งเสริมการขาย หรือการสื่อสารให้เป็นที่รู้จัก สินค้าดังกล่าวก็แทบไม่มีโอกาสในการขายเลยเราสามารถสื่อสารกับผู้บริโภคได้หลากหลายรูปแบบ อาทิ

    • ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร
      การโฆษณา
    • การจัดกิจกรรมพิเศษ
    • การให้พนักงานสวมใส่เสื้อที่มีโลโก้สินค้า
    • การแต่งร้านให้สะดุดตา

          ผู้ประกอบการควรค้นหาปัจจัยทำการตลาด หรือรูปแบบการส่งเสริมการขายที่เหมาะสมกับธุรกิจ หากวิธีที่ใช้อยู่ไม่ได้ผลก็ต้องคิดหากลยุทธ์อื่นๆ แทน แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรนิ่งนอนใจอยู่เฉยๆ เพราะในขณะที่เราหยุดอยู่กับที่นั้น คนอื่นอาจก้าวแซงหน้าเราไปแล้วก็ได้ เราควรต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขยันเรียนรู้ว่ามีกิจกรรมอะไรบ้างที่ทำให้การตลาดเข้มแข็งและก้าวไปถึงเป้าหมาย ได้สำเร็จ

ที่มา : ส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อขยายธุรกิจระหว่างประเทศ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

ยังจำวันที่คุณจำใจต้องดูโฆษณาทางทีวีเพียงเพื่อรอดูรายการโปรดของคุณมั้ยครับ ซึ่งเราจำเป็นต้องรอให้มันจบ เพราะไม่มีปุ่ม “ข้ามโฆษณา” แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ไปอย่างสิ้นเชิง เพราะสื่อที่เรารับชมทางออนไลน์ แม้จะมีโฆษณา แต่ก็มีทางเลือกให้กดข้ามได้ไม่ต้องดูจนจบ หรือถ้าไม่อยากดู โฆษณา ก็สามารถสมัคร Premium Package ได้อย่างที่เราเห็นในแพลตฟอร์มอย่าง Youtube หรือ Netflix เป็นต้น นี่เป็นเพียงบางตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนของการที่เทคโนโลยีได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงการตลาด อย่างน้อยก็ทำให้การตลาดมีความ “เป็นมนุษย์” มากขึ้น ซึ่งวันนี้เราจะมาเปิดประเด็นเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของโลกการตลาดจากผลกระทบของเทคโนโลยีกันครับ

เทคโนโลยี ส่งผลกระทบต่อการตลาดอย่างไร?

ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้สร้างโอกาสมากมายให้กับธุรกิจ ธุรกิจต่างๆ สามารถโต้ตอบกับลูกค้าผ่านเทคโนโลยียุคใหม่ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ อาทิ การส่งข้อความออนไลน์ และการโฆษณาดิจิทัล เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆย่อมทำให้ส่วนประสมทางการตลาดเกิดความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งหากย้อนกลับไปในยุคก่อนนี้ โมเดล 4Ps ถูกจุดกระแสครั้งแรกโดย James Culliton ในปี ค.ศ.1948 ซึ่งเขาเรียกโมเดลนี้ว่า “Mixer of Ingredients” แต่ต่อมา ในปี ค.ศ.1964 Neil H. Borden ได้เสนอชื่อใหม่ว่า “ส่วนประสมทางการตลาด” หรือ “Marketing Mix” แทน ซึ่งเป็นโมเดลที่รวมปัจจัยต่างๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการตลาดอย่างครอบคลุม โดยสามารถจำแนกได้เป็น 4 ปัจจัยที่สำคัญได้แก่

  • ผลิตภัณฑ์ (Product)
  • ราคา (Price)
  • ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place)
  • การส่งเสริมการขาย (Promotion)

อย่างไรก็ตามในปี 1981 Booms และ Bitner ได้สร้างส่วนประสมการตลาดแบบขยายขึ้นใหม่ โดยได้เพิ่มอีกสามองค์ประกอบที่สำคัญ ได่แก่ หลักฐานทางกายภาพ (Physical Evidence) ผู้คน (People) และกระบวนการ (Process) ซึ่งในปัจจุบัน เมื่อเทคโนโลยีต่างๆ ได้เข้ามามีบาทบาทมากขึ้นต่อการตลาด ส่วนประสมการตลาดแบบขยายจึงมีความเหมาะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ในบริบทของการตลาดปัจจุบัน ทั้งสำหรับการตลาดบริการและบริการออนไลน์ และถ้าจะประเมินผลกระทบของเทคโนโลยีที่มีต่อส่วนประสมทางการตลาดแต่ละข้อ เราสามารถอธิบายให้เห็นภาพได้ดังต่อไปนี้ครับ

  • ราคา (Price)

กลยุทธ์การกำหนดราคาสำหรับแต่ละผลิตภัณฑ์และบริการเปลี่ยนแปลงไปหลังจากการเกิดขึ้นของโลกดิจิทัล ด้วยการแข่งขันระหว่างองค์กรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้อมูลของคู่แข่งเป็นสิ่งที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย และโปร่งใสมากขึ้นสำหรับผู้บริโภค ดังนั้นจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจในการกำหนดราคาผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนอย่างโปร่งใส ธุรกิจจำเป็นต้องเข้าใจว่าผู้บริโภคออนไลน์คาดหวังอะไรจากพวกเขา และมีแนวโน้มว่าจะต้องจ่ายเท่าใดสำหรับมูลค่าของผลิตภัณฑ์ที่กำหนด 

  • ผลิตภัณฑ์ (Product)

คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์มีบทบาทสำคัญในการทำตลาดผลิตภัณฑ์ให้ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม บนโลกของอินเทอร์เน็ต ผู้บริโภคไม่สามารถมองเห็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่แท้จริงได้ ดังนั้นรูปแบบของผลิตภัณฑ์บางอย่างจึงถูกดัดแปลงด้วยการใช้เทคโนโลยี ตัวอย่างเช่น หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ ภาพถ่ายดิจิทัล และการจ่ายบิลออนไลน์ ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบไปจากผลิตภัณฑ์ดั้งเดิม องค์ประกอบนี้ในส่วนผสมทางการตลาดเกี่ยวข้องกับการที่ธุรกิจที่เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าของตน (แทนที่จะเลือกลูกค้าที่เหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์) 

และด้วยความสะดวกรวดเร็วของอินเทอร์เน็ต บริษัทจำนวนมากได้มีการปรับแต่งผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายได้ตามความต้องการของผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น Nike และ Vans นั้นเปิดโอกาสให้นักช้อปออนไลน์ได้ปรับแต่งรองเท้าของตน เช่น โทนสี และ การออกแบบ ตลอดจนผลิตภัณฑ์ที่ผลิตตามสั่งอื่นๆ ได้แก่ แว่นตา เสื้อผ้า ไม้กอล์ฟ จักรยาน คันเบ็ด และซีดี เป็นต้น 

  • ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place)

องค์ประกอบของส่วนประสมทางการตลาดข้อนี้เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ตัวเลือกในการจัดจำหน่ายต่างๆ และมองหากลยุทธ์การจัดวางตำแหน่งที่ดีที่สุด เพื่อการเข้าถึงลูกค้า ซึ่งผลกระทบจากอีคอมเมิร์ซทำให้มีการเข้าถึงทางภูมิศาสตร์ที่กว้างกว่าที่เคยเป็นมาในแบบไร้พรมแดน เทคโนโลยีได้เข้ามาช่วยลดต้นทุนการขนส่ง และช่วยให้เคลื่อนย้ายผู้คนและผลิตภัณฑ์ได้ ต้นทุนที่ลดลงซึ่งเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ตลาดใหม่และการย้ายการดำเนินงานไปยังประเทศใหม่ๆ สามารถสร้างโอกาสทางการตลาดและธุรกิจใหม่ๆ ได้

โดยทั่วไปแล้ว ผู้บริโภคจะใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อลดต้นทุน ค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีให้บริการ หรือเพิ่มความสะดวกในการชอปปิ้ง เนื่องจากความเร็วของอินเทอร์เน็ต ลูกค้ามักจะคาดหวังการเข้าถึงข้อมูลการสนับสนุนลูกค้าอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ราคา และตัวเลือกในการจัดส่ง พวกเขามักจะคาดหวังว่าความรวดเร็วในการกระจายสินค้าเช่นกัน ดังนั้นในยุคดิจิทัลผู้บริโภคออนไลน์จึงคาดหวังว่าระบบการสั่งซื้อและการชำระเงินต้องง่ายและปลอดภัย ทั้งยังต้องการความมั่นใจว่าคำสั่งซื้อจะยกเลิกได้ทันที และมีวิธีคืนสินค้าที่ง่ายและต้นทุนต่ำ หากพวกเขาพบว่าสินค้าไม่เป็นไปตามความต้องการของพวกเขา

  • การส่งเสริมการตลาด (Promotion) 

นี่คือจุดที่ธุรกิจตัดสินใจว่าจะใช้สื่อแบบดั้งเดิม หรือ สื่อออนไลน์ต่างๆ อย่างไร เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ในการตลาดแบบดั้งเดิม การโฆษณามักจะไม่เกี่ยวข้องกับวิธีการสื่อสารมวลชนแบบทางเดียวที่จ่ายโดยผู้สนับสนุน แต่ด้วยอินเทอร์เน็ต การตลาดเชิงโต้ตอบเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งช่วยให้ผู้โฆษณาสามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้โดยตรง และสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ การใช้โซเชียลมีเดียได้เปลี่ยนแปลงจำนวนธุรกิจที่ใช้กิจกรรมส่งเสริมการขายแบบดั้งเดิม (เช่น โฆษณาทางทีวี) และการโฆษณาในสื่อประเภทอื่น เช่น หนังสือพิมพ์ 

ทุกวันนี้ ผู้สนับสนุนและผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดียมักใช้เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์และบริการ ธุรกิจจำนวนมากใช้เครือข่ายโซเชียลมีเดีย เช่น LinkedIn, Facebook, Instagram หรือ Twitter หรือแม้แต่ TikTok เพื่อโปรโมตธุรกิจของตน เพียงแค่สร้างบัญชีบนเครือข่ายเหล่านี้ พวกเขาสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างง่ายดายภายในเวลาไม่กี่วัน และสามารถแชร์ข้อความได้ภายในไม่กี่นาที 

  • ประชากร (People)

องค์ประกอบนี้เกี่ยวข้องกับบุคคลที่อยู่เบื้องหลังบริษัท ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม มันเกี่ยวข้องกับด้านธุรกิจขององค์กรที่สนับสนุนบริษัทและสื่อสารคุณค่าทางธุรกิจให้กับลูกค้าของตน การบริการลูกค้าที่ดีมีความสำคัญในสภาพแวดล้อมออนไลน์เนื่องจากการโต้ตอบกับผู้บริโภคไม่ได้อยู่ในรูปแบบกายภาพ ดังนั้นองค์กรจึงต้องวางแผนการตอบสนองและกลยุทธ์ในการทำให้ลูกค้ามีความสุขตลอดเวลา เช่น ธุรกิจจำนวนมากใช้แชทบอทบนเว็บไซต์เพื่อติดต่อผู้ใช้โดยตรงเพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเสนอวิธีที่ยอดเยี่ยมในการตอบคำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าสงสัยและมีคำถาม

  • หลักฐานทางกายภาพ (Physical Evidence)

หมายถึงองค์ประกอบต่างๆ ของประสบการณ์ในการบริการ เช่น สิ่งอำนวยความสะดวก การออกแบบภายใน หรือแม้แต่เครื่องแบบพนักงาน อย่างไรก็ตาม ในสภาพแวดล้อมออนไลน์ หลักฐานเหล่านี้จะไม่มีองค์ประกอบทางกายภาพ ดังนั้นการออกแบบเว็บไซต์จึงมีความสำคัญ เนื่องจากโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นช่องทางที่สำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจออนไลน์ การออกแบบเว็บไซต์ส่งผลต่อประสบการณ์การบริการที่ลูกค้าต้องเผชิญเมื่อโต้ตอบกับธุรกิจออนไลน์

บทวิจารณ์ของลูกค้าเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของหลักฐานทางกายภาพที่สามารถพบได้ทางออนไลน์ และผู้มีอิทธิพลทางสังคมจำนวนมากส่งเสริมและตรวจทานผลิตภัณฑ์ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจในระหว่างกระบวนการซื้อ กระบวนการ หมายถึงกระบวนการที่เกี่ยวข้องในการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการให้กับลูกค้า “การเดินทาง” ของผู้ใช้ที่เข้าสู่เว็บไซต์ จากนั้นซื้อผลิตภัณฑ์ และได้รับแจ้งเกี่ยวกับการจัดส่งหลังจากทำธุรกรรมเสร็จสิ้น มีความสำคัญมากกว่าที่เคย ธุรกิจอาจได้รับประโยชน์จากนักออกแบบ UX (ประสบการณ์ผู้ใช้) เพื่อให้แน่ใจว่าเส้นทางของผู้ใช้จะราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ผ่านการออกแบบเว็บไซต์ที่น่าดึงดูด ด้านเทคนิคอื่นๆ ของเว็บไซต์อาจส่งผลต่อกระบวนการเดินทางของผู้ใช้ เช่น ความเร็วของเว็บไซต์ การเพิ่มประสิทธิภาพอุปกรณ์ และการเพิ่มประสิทธิภาพอีคอมเมิร์ซ

  • กระบวนการ (Process)

หมายถึงกระบวนการที่เกี่ยวข้องในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ และบริการให้กับลูกค้า “การเดินทาง” ของผู้ใช้ที่เข้าสู่เว็บไซต์ จากนั้นซื้อผลิตภัณฑ์ และได้รับแจ้งเกี่ยวกับการจัดส่งหลังจากทำธุรกรรมเสร็จสิ้น มีความสำคัญมากกว่าที่เคย ธุรกิจอาจได้รับประโยชน์จากนักออกแบบ UX (ประสบการณ์ผู้ใช้) เพื่อให้แน่ใจว่าเส้นทางของผู้ใช้จะราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ผ่านการออกแบบเว็บไซต์ที่น่าดึงดูด ด้านเทคนิคอื่นๆ ของเว็บไซต์อาจส่งผลต่อกระบวนการเดินทางของผู้ใช้ เช่น ความเร็วของเว็บไซต์ การเพิ่มประสิทธิภาพอุปกรณ์ และการเพิ่มประสิทธิภาพอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจใดๆ ที่เข้าใจ 7P ที่กล่าวถึงข้างต้นของส่วนประสมการตลาดแบบขยาย และผลกระทบที่เทคโนโลยีมีต่อสิ่งเหล่านี้ ควรจะสามารถดำเนินกิจกรรมทางการตลาดของตนได้ดีด้วยการผสมผสานกลยุทธ์ดิจิทัลเข้ากับการตลาดได้อย่างลงตัว

เทคโนโลยีที่พร้อมเปลี่ยนโลกการตลาด

ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร

ในช่วงแรกเมื่อมีการนำรูปแบบการตลาดดิจิทัลเข้ามาใช้ หลายคนมองข้ามความสำคัญและทำการตลาดแบบเดิมต่อไป แต่ในไม่ช้าทุกคนก็ตระหนักได้ว่าการมีตัวตนบนโลกออนไลน์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แม้การตลาดแบบดั้งเดิมยังคงมีอยู่ แต่การตลาดดิจิทัลและเทคโนโลยีในการทำการตลาดสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ดีขึ้น ทุกวันนี้ เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือร้านค้าอีคอมเมิร์ซของคุณอยู่ต่อหน้าโลกที่แสดงถึงธุรกิจและคุณค่าของคุณ สิ่งนี้จะเป็นไปไม่ได้หากไม่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเหลือ

ส่วนที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของธุรกิจ คือ การตลาด ดังนั้น บริษัทต่างๆ จึงต้องให้ความสนใจและรักษากลยุทธ์ทางการตลาดของตนในปริมาณที่เหมาะสม ธุรกิจต่างๆ ต้องมีแผนพร้อมที่จะเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ และนำไปใช้ในกลยุทธ์ทางการตลาดของตน คุณไม่สามารถละเลยเทคโนโลยีและคาดหวังว่าธุรกิจของคุณจะเติบโต เทคโนโลยีได้เปลี่ยนวิธีการซื้อและขายผลิตภัณฑ์และมีผลกระทบโดยตรงต่อการตลาด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่บริษัทต่างๆ จะเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนำไปใช้ในกลยุทธ์ทางการตลาดของตน

อย่างไรก็ตาม นักการตลาด อาจสงสัยและกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มของเทคโนโลยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในด้านการตลาด และวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วของมัน  เช่น หลายคนอาจกังวลและสงสัยว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเปลี่ยนการตลาดในปี 2565 และปีต่อๆ ไปอย่างไร? หรือ อะไรจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะกระตุ้นการตลาด? ตลอดจนเทคโนโลยีเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงการตลาดอย่างไร? ดังนั้น เรามาดูเทคโนโลยีที่สำคัญบางอย่างที่คาดว่าจะปฏิวัติการตลาดทั้งในปีนี้และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้ากันครับ

  • ปัญญาประดิษฐ์ (AI) 

การเพิ่มขึ้นของปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือแมชชีนเลิร์นนิงได้เกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ความซับซ้อนของการพัฒนา AI ในอนาคตคือจุดที่เทคโนโลยีนี้จะเข้ามาอยู่ในตัวของมันเอง คำว่าปัญญาประดิษฐ์ใช้เพื่ออธิบายเครื่องจักรที่เลียนแบบการทำงานขององค์ความรู้ที่มนุษย์เชื่อมโยงกับจิตใจมนุษย์อื่นๆ เช่น การเรียนรู้และการแก้ปัญหา และ เครื่องมือเช่น Chatbots สามารถตอบสนองต่อคำถามของลูกค้าจำนวนมากได้พร้อม ๆ กัน ในอัตราที่เร็วกว่าที่มนุษย์สามารถทำได้

เราทุกคนทราบดีว่า AI มีส่วนสนับสนุนทางการตลาดอย่างไร มันช่วยให้ธุรกิจรวบรวมข้อมูลผู้ใช้และแสดงโฆษณาและคำแนะนำแก่ผู้ใช้ที่มีความสนใจคล้ายกัน ผู้บริโภคจำนวนมากมีข้อกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับ AI และการรวบรวมข้อมูล แต่ AI กำลังช่วยให้ธุรกิจจำนวนมากทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยนำเสนอเนื้อหาที่สอดคล้องกับความสนใจของพวกเขาแก่ผู้ชม มันจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับแบรนด์ที่จะต้องควบคุมบุคลิกของผู้บริโภคและเข้าใจว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายของพวกเขาในการจัดหาสิ่งที่พวกเขาต้องการให้กับลูกค้า ตลาด AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ในปี 2020 ตลาด AI ทั่วโลกมีมูลค่า 51 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะสูงถึง 641 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2571 ตั้งแต่การสร้างเนื้อหา ไปจนถึงการขับเคลื่อนแชทบอทที่ตอบคำถามของลูกค้า ไปจนถึงการระบุพฤติกรรมผู้บริโภค AI กำลังพัฒนาเพื่อทำให้กระบวนการทำงานอัตโนมัติมากขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้ ในอนาคต AI จะทำงานร่วมกับโปรแกรม Customer Relationship Management (CRM) เพื่อรวบรวมและตีความข้อมูลดิบในแบบเรียลไทม์ ระยะเวลาในการขายจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการทำแผนที่การเดินทางของลูกค้าจะละเอียดยิ่งขึ้น ระบุความชอบของบุคคลเกือบจะก่อนที่พวกเขาจะทำ ไม่ว่าจะเป็นทางออนไลน์หรือขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปในร้านค้า เช่น เราจะสามารถเดินเข้าไปในร้านค้า ธุรกิจ หรืองานอีเวนต์ และมีข้อเสนอที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการของเราอย่างลึกซึ้งโดยอาศัยข้อมูลของเราและการทำโปรไฟล์ของส่วนตลาดของเรา

  • เทคโนโลยี เมตาเวิร์ส (Metaverse)

เมื่อ Facebook กลายเป็น Meta ในเดือนตุลาคม บริษัทได้ก้าวไปอีกขั้นใน Metaverse ซึ่งเป็นโลกเสมือนจริงที่เชื่อมต่อกันสำหรับการเชื่อมต่อทางสังคมและการโต้ตอบผ่านอินเทอร์เน็ตและชุดหูฟังเสมือนจริง เช่นเดียวกับเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ดูเหมือนจะไม่สำคัญในตอนแรก Metaverse มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนการตลาด ขณะนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่ Metaverse กำลังจะมาถึง ไม่มีใครรู้ว่ามันจะใหญ่แค่ไหน แต่การไม่เตรียมพร้อมสำหรับมันคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ แบรนด์ใหญ่ๆ มากมาย เช่น Nike และ Adidas ได้เริ่มสำรวจแนวคิดของ Metaverse แล้ว บริษัททั้งสองนี้ได้เริ่มทำงานเกี่ยวกับรองเท้าเสมือน

  • เทคโนโลยี VR และ AR

Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR)  คือ การจำลองวัตถุในสภาพแวดล้อมแบบโต้ตอบ 3 มิติ เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่สมจริง เทคโนโลยีทั้งสองกำลังปรับปรุงวัตถุในโลกแห่งความเป็นจริงโดยใช้ภาพ เสียง หรือสิ่งกระตุ้นทางประสาทสัมผัสอื่นๆ ซึ่งเทคโนโลยี AR ได้เข้ามาแทนที่แล้วในตลาด โดยมีร้านเฟอร์นิเจอร์หลายแห่งพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือที่ใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อให้ลูกค้าวางเฟอร์นิเจอร์ในห้องผ่านกล้องมือถือและดูว่าเหมาะสมหรือไม่ และนี่คือความสะดวกสบายที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับลูกค้าและธุรกิจ นอกจากนี้ แบรนด์ประเภทอื่นๆ ได้ใช้เทคโนโลยีนี้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น แอปของ Gucci ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถลองสวมรองเท้าได้แบบเสมือนจริง

ในส่วนของ VR แม้ว่าจะยังไม่เป็นกระแสหลักอาจเนื่องมาจากต้นทุนและประสบการณ์การใช้งานบางอย่าง แต่ VR มีศักยภาพที่จะเป็นวิธีการตลาดที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากช่วยให้คุณได้สัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะมีอยู่ในชีวิตจริงหรือไม่ก็ตาม คุณสามารถให้ลูกค้าได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์และบริการของคุณโดยไม่ต้องซื้อ คุณสามารถใช้ VR เพื่อพาลูกค้าไปเยี่ยมชมร้านค้าหรือโชว์รูมเพื่อรับประสบการณ์ที่สมจริงได้

VR และ AR ให้การสุ่มตัวอย่างจากประสบการณ์และให้โอกาสลูกค้าได้ดื่มด่ำก่อนซื้อจริง เป็นการเพิ่มมูลค่าเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นของผลิตภัณฑ์หรือบริการ ซึ่งสามารถช่วยให้ลูกค้าลดความเสี่ยงต่อความไม่แน่นอน ดังนั้นจึงช่วยเพิ่มความพึงพอใจในแบรนด์และช่วยสร้างยอดขายให้แก่ธุรกิจได้

  • เทคโนโลยี WEB 3.0

แม้ว่า Web 2.0 ยังคงเป็นอินเทอร์เน็ตเวอร์ชันปัจจุบันอย่างที่เราทราบ แต่ Web3 มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Web 3.0 ได้แก่ สกุลเงินดิจิทัล บล็อกเชน โทเค็นที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ และองค์กรอิสระที่กระจายอำนาจ การกระจายอำนาจถือเป็นเวทย์มนตร์ของ Web 3.0 ที่จะช่วยให้ธุรกิจและผู้ใช้สามารถจัดเก็บและเข้าถึงข้อมูลจากทั่วทุกมุมโลกได้พร้อมๆ กัน ซึ่งแตกต่างจาก Web 2.0

Web3 สามารถปฏิวัติการตลาดได้เช่นกัน น่าจะเป็นมากกว่าโซเชียลมีเดียหรือการตลาด SEO มันสามารถปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ได้มากกว่าที่เคยและช่วยให้นักการตลาดสร้างเนื้อหาที่สมจริงยิ่งขึ้น เพราะ ด้วย Web3ที่เน้นหนักไปที่ AI และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ คอมพิวเตอร์จะสามารถเข้าใจมนุษย์ได้ดีขึ้นเพื่อให้ผลการค้นหาดีขึ้น และการรวม Web 3.0 เข้ากับ Metaverse จะช่วยให้นักการตลาดสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและน่าติดตามสำหรับการโฆษณาและการสื่อสาร

เทคโนโลยีกำลังปฏิวัติโลกให้ดีขึ้นอย่างแท้จริง ผู้ที่ใช้ประโยชน์จากมันย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่า เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Web 3.0 จะช่วยให้นักการตลาดและธุรกิจ กระจายอำนาจกระบวนการของพวกเขา และสิ่งนี้จะช่วยให้พวกเขาทำลายไซโล ทำธุรกรรมที่รวดเร็วและปลอดภัย และปรับปรุงความสัมพันธ์กับลูกค้าของพวกเขา เทคโนโลยีไม่เคยหยุดพัฒนา แต่จะเปลี่ยนแปลงการตลาดต่อไป ในปัจจุบันและอนาคต กุญแจสู่ความสำเร็จสำหรับธุรกิจส่วนใหญ่คือการเตรียมพร้อมสำหรับการปฏิวัติครั้งนี้

  • เทคโนโลยี Customer 360º

เนื่องจากความสำคัญของเนื้อหาและการปรับแต่งประสบการณ์ของลูกค้า ตลอดจนความต้องการที่เพิ่มขึ้นของบริษัทต่างๆ ที่ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้บริโภค การสร้างโปรไฟล์ลูกค้าแบบ 360 องศา จึงเป็นหนึ่งในแนวโน้มที่สำคัญที่สุดสำหรับอนาคต เมื่อเราพูดถึงโปรไฟล์ลูกค้า 360º เรากำลังหมายถึงโครงสร้างของฐานข้อมูลที่รวมข้อมูลลูกค้าทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างโปรไฟล์ที่สมบูรณ์แบบ ทุกวันนี้ บริษัทส่วนใหญ่มีข้อมูลลูกค้ามากกว่าที่พวกเขาใช้ สาเหตุหลักประการหนึ่งคือข้อมูลลูกค้าถูกเก็บไว้ในระบบต่างๆ ในแผนกต่างๆ กล่าวคือ ข้อมูลลูกค้าจะไม่เป็นหนึ่งเดียว และไม่มีการแชร์ข้อมูล ทำให้แผนกการตลาดไม่สามารถมีมุมมองสำหรับลูกค้าเพียงคนเดียวที่สมบูรณ์ได้ อย่างไรก็ตาม มีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาเปลี่ยนเกม นั่นคือ แพลตฟอร์มข้อมูลลูกค้า (CDP) CDP จะเป็นหนึ่งในระบบเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในการตลาดในอีก 5 ปีข้างหน้านับต่อจากนี้

ความสำคัญของ เทคโนโลยี ต่อการตลาด

ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร

เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็วมีผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจ แม้แต่อุตสาหกรรมการตลาดก็ยังต้องการการยกระดับและกลวิธีใหม่ๆ เพื่อนำศักยภาพของเทคโนโลยีมาใช้ เทคโนโลยีในด้านการตลาด หรือ MarTech ช่วยให้บริษัทต่างๆ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า สร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และช่วยให้เติบโตอย่างเหนียวแน่น นอกจากนี้ยังช่วยให้ธุรกิจพัฒนาวิธีการทำการตลาดผลิตภัณฑ์ของตนอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด ต่อไปนี้คือเหตุผลสี่ประการที่เทคโนโลยีมีความสำคัญต่อการตลาด

1. เทคโนโลยี ช่วยให้ก้าวทันคู่แข่ง

เทคโนโลยีส่งผลต่อวัฒนธรรมธุรกิจ ความสัมพันธ์ และความปลอดภัย Martech ช่วยให้คุณก้าวไปพร้อมกับคู่แข่งและอาจนำคุณไปข้างหน้า มันช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้าของคุณเพื่อดูว่าคุณกำลังนำเทรนด์เทคโนโลยีล่าสุดมาใช้ในธุรกิจของคุณ

2. เทคโนโลยี สร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพคือหัวใจสำคัญของการตลาดที่ประสบความสำเร็จ Martech ยืนยันการสื่อสารของคุณกับลูกค้าของคุณและให้การแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วในการสอบถาม นอกจากนี้ยังให้การโต้ตอบที่ดีขึ้นและเร่งกระบวนการจัดส่งในที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ต่างๆ

3. เทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

ด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยี ธุรกิจต่างๆ สามารถเร่งกระบวนการปฏิบัติงานของตนได้ ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีในการตลาดช่วยให้คุณเข้าใจกระบวนการทางธุรกิจได้เร็วขึ้น ประหยัดทรัพยากรและเงิน นอกจากนี้ยังช่วยจัดการคลังสินค้า ลูกค้าสัมพันธ์ และการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ

4. เทคโนโลยี เพิ่มความสามารถในการวิจัย

แบรนด์จำเป็นต้องได้รับโอกาสใหม่ๆ สำหรับการเติบโตเพื่อธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เทคโนโลยีให้ข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจและข้อมูลที่เชื่อถือได้เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาด Martech ให้มุมมองเสมือนจริงของตลาดและรูปแบบในอนาคตสำหรับการออกแบบกลยุทธ์ใหม่

 

แหล่งที่มา : 

https://brightminded.com

https://www.forbes.com

https://blog.kale.bismart.com

 https://blog.theexpertcafe.com

บทความแนะนำ

ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร

ส่องพลังแห่ง อินโฟกราฟิก ที่ช่วยติดปีกให้ Content Marketing

อินโฟกราฟิก เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง ในการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนในรูปแบบที่เข้าใจง่ายซึ่งสามารถแชร์กับผู้ชมในวงกว้างได้อย่างง่ายดาย และนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีต่อ Content Marketing ของคุณ.....

09
Feb

ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร

Copywriting คืออะไร มีส่วนสำคัญอย่างไรต่อการตลาด?

Copywriting ถือเป็นกระบวนการสำคัญที่ล้วนนำไปสู่การสร้างการรับรู้ที่สะท้อนคุณค่าของแบรนด์ออกไปสู่สาธารณชน และนำมาซึ่งความสำเร็จของแบรนด์อย่างไม่ต้องสงสัย.....

26
Dec

ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร

แชร์ 30 เทคนิค ทำ Content Marketing ให้ Traffic วิ่งเข้าเว็บเพิ่มขึ้น!

คอนเทนต์ที่ดี มีเนื้อหาและข้อมูลที่ครอบคลุม หากไม่มีเทคนิควิธีและกลยุทธ์ในการจัดการ บางครั้งก็อาจไม่มีคนคลิกเข้ามาชม 30 เทคนิค เพื่อเพิ่ม Traffic เข้าเว็บไซต์ ที่เรามาแบ่งปันวันนี้จะช่วยเพิ่มจำนวนคนคลิกเข้าเว็บให้คุณได้ครับ.....

16
Aug

ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร

เคล็ดลับจากมืออาชีพทำตารางคอนเทนต์ Social Media อย่างไรให้ปัง

วันนี้เราก็มีสัมภาษณ์พิเศษในหัวข้อ “เคล็ดลับจากมืออาชีพทำตารางคอนเทนต์ Social Media อย่างไรให้ปัง” กับคุณกวาง Content Director จาก Talka.....

29
Mar

ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร

8 กลยุทธ์การทำ Content Marketing ในแบรนด์ความงาม

ธุรกิจด้านความงามมีการแข่งขันที่สูงทำให้การทำคอนเทนต์คุณจะต้องวางแผนเป็นอย่างดีและตอบโจทย์มากที่สุด ซึ่งในบทความนี้เรามีเคล็บลับมาบอกกัน.....

04
Mar

ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร

แจก! ตัวอย่าง Content Marketing ที่ใช้ได้จริงในทุกธุรกิจ

บทความนี้เราจึงมีตัวอย่างของคอนเทนต์รูปแบบต่าง ๆ มาให้ชมกัน เพื่อเป็นไอเดียในการนำไปต่อยอดคอนเทนต์ของทุกท่าน.....

18
Feb

ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร

5 วิธีเล่าเรื่อง Storytelling แบรนด์ของคุณให้น่าจดจำพร้อมตัวอย่าง

ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการเล่าเรื่องแบรนด์ของคุณให้น่าจดจำกัน เพื่อสร้างความไว้วางใจ ความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์.....

21
Dec

ถ้าไม่มีตลาดจะส่งผลอย่างไร

อัปเดตก่อนใคร! เทรนด์คอนเทนต์ ปี 2022

มาดูกันค่ะว่าเทรนด์การตลาดคอนเทนต์ที่คุณจะสามารถนำไปใช้ในการวางกลยุทธ์คอนเทนต์ในปี 2565 มีอะไรที่น่าจับตามองบ้าง.....

ถ้าไม่มีกลยุทธ์การตลาดจะเป็นอย่างไร

หากคุณทำการตลาดไปเรื่อยๆ โดยไม่วางกลยุทธ์ ไม่ศึกษากลุ่มผู้ชมหรือกลุ่มเป้าหมาย คุณจะไม่สามารถรับรู้ถึงความต้องการจริงๆ ของพวกเขาได้เลย ซึ่งสิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะคุณจะได้เปรียบมากกว่า ถ้าคุณเข้าใจตลาด เข้าใจความแตกต่างของลูกค้า คู่แข่ง ข้อเสนอ รวมถึงเครื่องมือในการสื่อสารด้วย

การตลาดมีความสำคัญต่อธุรกิจอย่างไร

การตลาดมีความสำคัญต่อธุรกิจหรือองค์การ คือ 1. สร้างกำไรให้กับธุรกิจ 2. สร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าให้กับธุรกิจ ก่อให้ธุรกิจมีรายได้เพิ่มขึ้น 3. ปัจจุบันการตลาดได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต สามารถทำให้ผลิตสินค้าได้คราวละมากๆ ซึ่งมีผลต่อการลดต้นทุนต่อหน่าวยในการผลิต

การตลาดมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไร

2.1 การตลาดช่วยให้ประชากรมีรายได้สูงขึ้น 2.2 การตลาดทำให้เกิดการหมุนเวียนของปัจจัยการผลิต 2.3 การตลาดช่วยสร้างความต้องการในสินค้าและบริการ 2.4 การตลาดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศ

การตลาดมีความสำคัญอย่างไรต่อการดำเนินชีวิต

การตลาดมีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต และยกระดับความเป็นอยู่ของมนุษย์ ในสังคม ทำให้เกิดการพึ่งพาอาศัยกันอย่างเป็นระบบในสังคมมนุษย์แต่ละคน สามารถประกอบ อาชีพที่ ตนเองถนัดและได้ใช้ความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคลได้ อย่างเต็มกำลังความสามารถ และการตลาดมีบทบาทอย่างใหญ่หลวงต่อความเจริญเติบโต และพัฒนาการทางเศรษฐกิจของ ...