เพราะฉะนั้น เมื่อมีการต้องอาบัติเกิดขึ้นในหมู่คณะ ย่อมเป็นหน้าที่ที่ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติร่วมกัน วิธีปฏิบัตินั้น ท่านแสดงไว้ในหลายที่หลายแห่งแต่เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วย่อมเกี่ยวข้องกับบุคคล ๓ ฝ่าย คือ ����������������ͤ�������ûԮ� ������� � ��÷Ѵ��� ����-���� ˹�ҷ�� ���-���. http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=4&A=7131&Z=7370&pagebreak=0 http://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=4&A=7131&pagebreak=0 ��������������ѧ���ͤ�������ûԮ� : [1], [2], [3], [4] ���������������ҹ��º����ûԮ���Ѻ��Ҩ���� :- http://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=4&siri=77 ��������������֡����ö������� :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=4&i=-245 �����������������ûԯ���Ѻ���Һ����ѡ���� :- http://84000.org/tipitaka/read/pali_read.php?B=4&A=7177 �������������The Pali Tipitaka in Roman :- http://84000.org/tipitaka/read/roman_read.php?B=4&A=7177 ���������������úѭ����ûԮ�������� � http://84000.org/tipitaka/read/?index_4 ���������������ҹ��º��Ѻ���ѧ��� Compare with English Translation :- https://84000.org/tipitaka/english/metta.lk/04i224-e.php#topic16 https://suttacentral.net/pli-tv-kd4/en/brahmali#pli-tv-kd4:16.1.0 https://suttacentral.net/pli-tv-kd4/en/horner-brahmali#Kd.4.16 ๑. พระศาสดาทรงบัญญัติพระวินัยไว้เพื่ออะไร ? ๑. เพื่อป้องกันความประพฤติเสียหายของภิกษุสงฆ์ และเพื่อชักนำความประพฤติของภิกษุสงฆ์ให้ดีงาม ฯ ๒. สิกขาบทที่มีมาในพระปาติโมกข์ มีเท่าไร ? ว่าโดยหมวดมีอะไรบ้าง ? ๒. มี ๒๒๗ สิกขาบท ฯ มี ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยะ ๗๕ อธิกรณสมถะ ๗ ฯ ๓. อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติ มีเท่าไร ? ต้องด้วยไม่ละอาย มีอธิบายอย่างไร ? ๓. มี ๖ อย่าง ฯ ภิกษุรู้อยู่แล้ว และละเมิดพระบัญญัติด้วยใจด้านไม่รู้จักละอาย ชื่อว่าต้องด้วยไม่ละอาย ฯ ๔. เมื่อภิกษุต้องอาบัติแล้ว จะพึงปฏิบัติอย่างไร ? ๔. พึงบอกภิกษุด้วยกันในวันนั้น และพึงแก้ไขตามวิธีนั้น ๆ ฯ ๕. สังหาริมทรัพย์ และ อสังหาริมทรัพย์คือทรัพย์เช่นไร ? ภิกษุจะต้องอาบัติถึงที่สุดในเพราะลักทรัพย์ทั้ง ๒ อย่างนั้นเมื่อใด ? ๕. สังหาริมทรัพย์ คือทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ อสังหาริมทรัพย์ คือทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ ฯ สำหรับสังหาริมทรัพย์ ภิกษุจะต้องอาบัติถึงที่สุด ในเมื่อทำให้ทรัพย์นั้นเคลื่อนจากที่เดิม ส่วนอสังหาริมทรัพย์ จะต้องอาบัติถึงที่สุด ในเมื่อเจ้าของทอดกรรมสิทธิ์ ฯ ๖. ภิกษุรู้ตัวว่าต้องอาบัติสังฆาทิเสส จึงแสดงอาบัตินั้นต่อภิกษุอีกรูปหนึ่ง อย่างนี้จะพ้นจากอาบัตินั้นได้หรือไม่ เพราะเหตุไร ? ๖. พ้นไม่ได้ เพราะอาบัติสังฆาทิเสสนั้น ภิกษุผู้ต้องจะพ้นได้ด้วยอยู่กรรม ฯ ๗. ที่ลับตา กับที่ลับหู ต่างกันอย่างไร ? ที่ลับทั้ง ๒ นั้น เป็นทางให้ปรับ อาบัติได้มากน้อยกว่ากันอย่างไร ? ๗. ต่างกันอย่างนี้ ที่ที่มีสิ่งกำบัง เห็นกันไม่ได้ เรียกว่า ที่ลับตา ที่ที่ไม่มีสิ่งกำบัง เห็นกันได้ แต่ฟังเสียงพูดกันไม่ได้ยิน เรียกว่า ที่ลับหู ฯ ที่ลับตา เป็นทางให้ปรับอาบัติได้มากกว่า คือตั้งแต่ปาราชิก สังฆาทิเสส ถึง ปาจิตตีย์ ส่วนที่ลับหู เป็นทางให้ปรับอาบัติตั้งแต่สังฆาทิเสสลงมา ฯ ๘. ภิกษุรับนิมนต์แล้ว จะไปที่อื่นก่อนหรือหลังฉัน ต้องปฏิบัติอย่างไร ? ถ้าไม่ทำเช่นนั้น ต้องอาบัติอะไร ? ๘. ต้องปฏิบัติอย่างนี้ คือ ต้องบอกลาภิกษุอื่นก่อน ฯ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ ๙. ผ้าอาบน้ำฝนมีกำหนดขนาดไว้เท่าใด ? ถ้าทำเกินกว่าขนาดนั้นต้องอาบัติ ก่อนจะแสดงอาบัตินั้น ต้องทำอย่างไร ? ๙. ยาว ๖ คืบ กว้าง ๒ คืบครึ่ง โดยคืบพระสุคต ฯ ต้องตัดให้ได้ขนาดเสียก่อน ฯ ๑๐. หมวดสารูปในเสขิยวัตร ว่าด้วยเรื่องอะไร ? ข้อว่า “ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน” คือไม่ทำอย่างไร ? ๑๐. ว่าด้วยธรรมเนียมควรประพฤติในเวลาเข้าบ้าน ฯ คือ ไม่นั่งเท้าแขนข้างเดียวก็ตาม สองข้างก็ตามในบ้าน ฯ |